ตอนที่ 209 ปราบกบฏ
โทเท็ตสิ มันคืออนิม่าของคาการิ หากให้เทียบระดับของอนิม่าแล้วคงจะไม่เกินไปเลยหากบอกว่าอนิม่าของเขาเก่งกาจที่สุดในคิไค
พลังของมันมหาศาลมากจนทำให้รันที่อยู่ใกล้ๆ ถูกแรงกดดันจากร่างของเขาจนแทบหมดสติ แต่ด้วยจิตใจที่ต้องการจะปกป้องน้องชายและคลิมเอาไว้เธอจึงสามารถประคองสติเอาไว้ได้อยู่
รันน่าจะเป็นเพียงผู้เดียวในขณะนี้ที่จับตามองการต่อสู้ของคาการิและอูรุย สำหรับเธอที่ไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้ สิ่งที่เธอเห็นก็มีเพียงการเคลื่อนไหวไปมารากกับหมอกของทั้งสอง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นด้วยบรรยากาศและเสียงที่สั่นไหวมันก็เพียงพอจะบอกถึงความรุนแรงในการต่อสู้ได้ดี
การต่อสู้นี้มันคือโลกที่เหนือไปอีกขั้นของเธอ หากเธอเข้าไปแทรกกลางระหว่างนั้นร่างกายของเธอคงกลายเป็นเศษเนื้อในพริบตา เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วเธอก็ตัดสินใจจะไม่เข้าไปยุ่งอะไรอีก
ไม่สิ เธอไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่แรก ถึงอูรุยจะพยายามสังหารคาการิกับเธอ แต่ความจริงที่ว่ารันกับนากายามะนั้นคือศัตรูกันก็ไม่เปลี่ยนแปลง ถึงตอนนี้เขาจะมาปกป้องรันเอาไว้แต่การกระทำของคาการิในมุมของรันก็ไม่ต่างอะไรกับการจัดการพวกขโมยเหยื่อของตน
หากทั้งสองร่วงไปพร้อมๆ กันเลยรันคงจะดีใจมาก แต่เธอไม่สามารถฝากความหวังกับเรื่องอะไรแบบนั้นได้หรอก ระหว่างที่ทั้งสองสู้กันรันก็ต้องพยายามถอยห่างจากที่นี้ให้ได้มากที่สุด
「――ท่านพี่!」
เมื่อได้ยินเสียงเรียก รันก็หันกลับมาแล้วพบกับยามาโตะที่กำลังดูอาการของคลิมผู้สูญเสียแขนขวาไป ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นยามาโตะหรือคลิมที่ทำแต่แขนขวาของคลิมตอนนี้ถูกพันเอาไว้ด้วยเชือกเพื่อห้ามเลือดแล้ว
คลิมยังไม่ได้หมดสติไป แต่ลักษณะการหายใจของเขาค่อนข้างติดขัด สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก น่าจะไม่สามารถขยับได้ด้วยตัวเองไหว
รันก็เลยให้คลิมยืมไหล่อีกข้างของเธอและปล่อยคาการิสู้กับอูรุย เลือดของคลิมไหลรินจนทำเสื้อผ้าของรันเปื้อน แต่เธอก็เลือกจะไม่สนใจ ส่วนยามาโตะก็ช่วยพยุงคลิมที่เอวอีกทางเพื่อไม่ให้เขาล้มลง เนื่องจากเขาเด็กอยู่จะให้ยืมไหล่แบบรันก็คงไม่ไหวนี่เนอะ
「….ปล่อยฉัน….ไว้คนเดียวซะ」
「ขอปฏิเสธค่ะ!」
รันพูดปฏิเสธคลิมทันที จนทำให้เขาขมวดคิ้วออกมาแล้วพยายามจะปัดร่างของรันออกห่าง ทว่าการเคลื่อนไหวของเขากลับอ่อนแอมากเสียจนถึงจะเป็นรันก็รับมือกับเขาได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดเลยว่าคลิมอ่อนแรงลงมากจริงๆ เจ้าตัวที่เห็นสภาพตัวเองแบบนั้นก็แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา หากปล่อยไว้แบบนี้คลิมได้ตายแน่ถึงจะหนีออกจากที่นี่พ้น
ตัวเลือกอย่างการรีบไปขอความช่วยเหลือจากคนในค่ายก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง คนพวกนั้นน่าจะพอช่วยเหลือเธอได้
ทว่าหากเธอทำเช่นนั้น สองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่อาจจะเล็งมาทางเธอแทนก็ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเลือกตัวเลือกนั้นได้
ที่สำคัญที่สุดคือเธอลังเลที่จะเชื่อใจคาซากิ เขาจะยอมช่วยเธอจริงหรือ ถึงพวกนั้นจะมาช่วยเธอจริง แต่พวกเขาจะรับมือกับคาการิหรือยอมช่วยคลิมหรือเปล่า เธอวางใจไม่ลงเลย
แต่ก็เป็นเรื่องจรองที่พวกเธอในตอนนี้ไร้ซึ่งกำลังในการหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบากด้วยตัวเอง ในระหว่างที่รันกำลังลำบากใจว่าจะทำเช่นไรดี ก็เหมือนว่าเธอพลาดโอกาสที่จะหลบหนีไปเสียแล้ว
――เสียงปะทะของโลหะที่รุนแรงเป็นพิเศษดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ
พอรันหันกลับไปก็พบว่า สิ่งที่เข้ามาในสายตาเธอเป็นอย่างแรกคือดาบของอูรุยที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
นานะชิกิคือวิชาดาบที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์สามารถต่อกรกับอาภรณ์วิญญาณได้ ทว่าจองจำมันก็ไม่ใช่ของที่มีประโยชน์หากอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบจากมัน
ยิ่งไปกว่านั้นคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ของเขาคือหมาป่าทมิฬคาการิ หนึ่งในผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในคิไค
เวลาที่อูรุยใช้ต่อสู้กับคาการิมาจนถึงตอนนี้คือประมาณ 100 ดาบ แม้อูรุยจะเป็นผู้ใช้นานะชิกิที่แข็งแกร่งที่สุด แต่นี่ก็คือขีดจำกัดที่เขาสามารถต่อกรกับคาการิได้
อย่างไรก็ตาม แม้อูรุยจะสูญเสียดาบของเขาไปแล้ว ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะสติหลุดอะไรเลย เขาเลือกจะถอยไปราวกับต้องการเชื้อเชิญให้คาการิไล่ล่าเขา
คาการิก็ไม่ได้ตั้งใจจะบุกเข้าไปในทันทีถึงศัตรูจะเสียอาวุธไป เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากจะมีใครสักคนที่ฝึกทั้งศาสตร์การต่อสู้ด้วยอาวุธและมือเปล่า นอกจากนี้อีกฝ่ายอาจจะยังเหลือไพ่ตายไว้กำจัดตนก็ได้
ปกติแล้วคาการิไม่ใช่พวกคิดมากระหว่างการต่อสู้นัก แต่บรรยากาศที่ไม่อาจหยั่งถึงของศัตรูตรงหน้า ทำให้เขาต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ
รันที่เฝ้าดูอยู่ข้างสนามไม่อาจอ่านความตั้งใจของพวกเขาได้เลย ทว่าเธอก็ไม่อาจจะละสายตาจากการต่อสู้ทั้งสองได้สักที
และแล้วเสียงของดาบที่ล่องลอยอยู่ในอากาศก็กระทบลงถึงพื้น
มันเป็นช่วงวินาทีเดียวกับที่ร่างของอูรุยหายไปในความมืด รันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะล่าถอยหรือโจมตีอกครั้ง
แต่เมื่อนับเลขในใจอย่างช้าๆ จนถึง 10 รันก็พบกับคำตอบ คาการิพ่นลมหายใจออกมาโดยปราศจากความรู้สึกตึงเครียด ราวกับเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทุกอย่างจบลงแล้ว
「ไม่ไหวๆ นั่นมันบ้าอะไรกันน่ะ? เจ้าหมอนั่นเป็นยมทูตหรือปีศาจจากขุมนรกไหนกันนะ ไม่เห็นพี่ฮาคุโร่บอกมาก่อนเลยว่ามีตัวแบบนี้อยู่ในทัพกบฏ」
เขาบ่นถึงพี่ชายที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ จากนั้นคาการิก็เดินไปเก็บเสื้อคลุมของเขาแล้วหันกลับไปมองทางรันและคนอื่นๆ
รันก็ทำได้เพียงแค่ยืนตัวแข็ง เธอรู้ตัวแล้วว่ามันสายเกินไปที่จะหนีหรือออกไปขอความช่วยเหลือ ถึงตอนนี้รันพยายามจะตะโกนขอความช่วยเหลือก็คงโดนคาการิพุ่งมาปิดปากเอาแน่ จะหนีก็ไม่น่ารอดด้วย
ทั้งที่เธอควรจะหนีออกไปตั้งแต่ที่คาการิกับอูรุยกำลังทะเลาะกันแท้ๆ เธอทำได้เพียงเสียใจที่ตัดสินใจอะไรช้าไปหมด ขณะที่คาการิเดินเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ
ในจังหวะนั้นเองก็มีร่างเล็กๆ ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อปกป้องรันเอาไว้
「ข้าอยากจะคุยกับท่านคาการิครับ ในฐานะที่เขาเป็นน้องชายของกษัตริย์นากายามะ」
คาการิก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมา ก่อนจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วหยังหน้าอย่างมีความสุข
「ก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้านี่แหละคาการิแห่งนากายามะ ทางท่านก็คงจะเป็นท่านยามาโตะสินะ? 」
「ครับ ถึงอาจจะดูไร้มารยาทไปบ้างสำหรับการพบเจอกันครั้งแรก แต่ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านสักหน่อย」
「คำถามเหรอ เอาสิ ส่วนเรื่องตอบได้ไหมก็อีกเรื่องนะแต่จะฟังก่อนละกัน」
คาการิรู้สึกประทับใจในตัวยามาโตะนิดหน่อยและคิดว่าเด็กคนนี้จะพูดอะไรออกมา
คาการินั้นไม่ได้มีความตั้งใจจะฆ่าสองพี่น้องอยู่แล้ว อันที่จริงก็กะจะปล่อยไปหลังจากถามคำถามสักสองสามเรื่อง
ทว่าคาการิก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดของยามาโตะ
「คาซานจะขอจำนนต่อนากายามะครับ ข้าจะยอมยกหัวของข้าให้กับท่าน แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนจากนี้ก็อยากจะให้ช่วยไว้ชีวิต เคิร์ต ท่านพี่แล้วก็พวกทหารครับ」
「หืม? เจ้าเข้าใจความหมายของการยกหัวให้ข้าใช่ไหม…..คงรู้สินะ จากสีหน้านั่น」
「ครับ」
ยามาโตะพยักหน้า
ยามาโตะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่หลงเหลือของคาซาน หากยามาโตะตายไปก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชุบชีวิตคาซานขึ้นมาอีก
หากนากายามาะจับยามาโตะได้เขาก็จะถูกประหาร ยามาโตะก็รู้เรื่องนี้ดี ยิ่งไปกว่านั้นเขายังบอกคาการิให้ปล่อยพวกคนรอบข้างของเขาไป โดยไม่ได้ร้องขอชีวิตตัวเองเลย
เขารู้ถึงคุณค่าของตัวเองและเตรียมพร้อมที่จะตายแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำเพื่อคนรอบตัวเขา
หากเป็นตอนที่คาการิอายุได้ 8 ปี เขาจะมีความคิดมากมายขนาดนี้หรือเปล่านะ ระหว่างที่คาการิคิด รันก็ตะโกนออกมา
「ยามาโตะ เอาอีกแล้วนะเจ้าน่ะ….!」
พี่สาวได้จ้องมองไปยังน้องชายของเธออย่างไม่พอใจ จากท่าทางของเธอเหมือนเด็กคนนี้จะเคยพูดเรื่องนี้กันบ่อยแล้วแน่ๆ
คาการิหัวเราะออกมา ก็จริงว่าเขาไม่คิดจะฆ่าสองพี่น้องตั้งแต่แรก แต่พอมาเจอแบบนี้เขาก็หมดความตั้งใจที่จะฆ่าไปอย่างสิ้นเชิงเลย
「เข้าใจแล้ว นากายามะจะยอมรับการยอมจำนนของคาซาน ข้าสัญญาว่าพวกเราจะไม่กระทำอะไรที่เลวร้ายกับคนของท่านยามาโตะ」
หลังพูดจบ คาการิก็หันไปทางรันก่อนจะล้วงกระเป๋าที่หน้าอกแล้วหยิงน้ำเต้าลูกเล็กออกมาแล้วโยนไปทางรัน
รันก็รับมันเอาไว้ก่อนจะมองกลับไปหาคาการิอย่างสงสัย
「……สิ่งนี้คือ? 」
「มันคือสมุนไพรน่ะ เจ้าสามารถเอาให้มนุษย์ที่ชื่อว่าเคิร์ตนั่นดื่มแล้วก็ชะโลมลงบาดแผลเขาได้」
มันคือโพชั่นสมุนไพรที่ฮาคุโร่สร้างขึ้นในฐานะบิชอปของลัทธิแห่งแสงซึ่งได้ผลดีทั้งใช้ภายในและภายนอก ระหว่างที่ตอบคำถามของรันคาการิก็เดินไปหยิบแขนขวาของเคิร์ตที่ถูกตัดทิ้งไป เนื่องจากเป็นการฟันที่เฉียบคมมากร่องรอยแผลมันเลยพอมีความเป็นไปได้ที่จะเอากลับมาต่อใหม่
คาการิที่กำลังจ้องมองแขนนั้นก็หันไปดูร่างของชายหนุ่มผมสีขาวที่มีเอกลักษณ์
ชายคนนี้คือหนึ่งในพวกคนเฝ้าประตูแน่ จำได้ว่าเคยเห็นตอนอยู่บนเกาะด้วยหรือพวกคนเฝ้าประตูจะอยู่เบื้องหลังกบฏคาซานจริงๆ ตามที่พี่ฮาคุโร่คิดกันนะ นอกจากนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่ลัทธิจะเกี่ยวข้องด้วย แต่ก็แปลกว่าทำไมพวกคนของลัทธิถึงต้องพยายามฆ่าเจ้าหญิงแห่งคาซานกับคนเฝ้าประตูด้วยล่ะ?
ถ้าคิดง่ายสุดก็คงเป็นการปิดปาก หลังจากมองว่ากบฏคาซานน่าจะไปไม่รอด ลัทธิก็เลือกจะปิดปากคนที่รู้ความลับของพวกเขา เพื่อไม่ให้ทางนากายามะสาวตัวไปถึงได้ ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี
แต่สัญชาตญาณของคาการิบอกว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
ดังนั้นเขาจึงต้องตามหาข้อมูลเพิ่มวิธีการที่เร็วที่สุดก็คือการกลับไปแลกเปลี่ยนข้อมูลกับพวกพี่น้องของเขา นอกจากนี้ก็ยังมีตัวเลือกอย่างการรีดข้อมูลจากสองพี่น้องด้วยการทรมานหนึ่งในพวกนี้ แต่การทรมานผู้หญิงกับเด็กไม่ใช่ทางของคาการิ
แทนที่จะทำแบบนั้น ใช้หนี้บุญคุณที่เขามาช่วยเอาไว้ยังจะดีกว่าซะอีกถึงแม้จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของฮาคุโร่ที่บอกให้บดขยี้กองทัพกบฏให้สิ้นซาก แต่เขาน่าจะยอมปล่อยไปหากพิจารณาถึงเรื่องที่คาการินำกลับมาด้วย นั่นคือสิ่งที่คาการิคิด
ตอนนี้พวกคนในค่ายเริ่มรู้สึกตัวถึงสิ่งผิดปกติแล้ว ก็เริ่มออกตามหารันและตะโกนชื่อเรียก
คนที่ออกตามหามีไม่ถึง 10 คน คาการิสามารถจัดการพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็แค่ความคิดเผื่อๆ ไว้ เขาอยากจะพิสูจน์ความจริงใจของสองพี่น้องด้วย
เขามองว่าจะลองให้สองพี่น้องพยายามโน้มน้าวพวกทหารดู
ส่วนผลที่ได้ก็คือ รันกับยามาโตะบอกพวกทหารถึงการทรยศของพวกลัทธิแห่งแสงและประกาศเจตนารมในการยอมจำนนต่อนากายามะ แน่นอนว่าหากเป็นช่วงเวลาปกติพวกคาซากิและทหารคงจะไม่พอใจ แต่ด้วยการทรยศของพวกลัทธิแห่งแสงก็คงเป็นเรื่องยากที่กลุ่มกบฏจะเดินหน้าต่อได้
เหนือสิ่งอื่นใด พวกคาซานรู้ถึงความแข็งแกร่งของคาการิดี จึงไม่มีความกล้าจะต่อต้านหรือเผชิญหน้ากับเขาอีก
ส่งผลทำให้กลุ่มกบฏคาซานถูกปราบเร็วกว่าที่หลายคนคิด
***
ในขณะเดียวกันการต่อสู้ของโซระกับโดกะก็คงดำเนินต่อไป
นับตั้งแต่ที่เริ่มสู้ ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วถึงสามหน ทว่าทั้งสองก็ยังต่อสู้กันอย่างสุดกำลังโดยไม่หยุดพัก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ นอกจากนี้ที่แห่งนี้คือคิไค ขุมนรกที่แค่อยู่เฉยๆ ก็สร้างความเหนื่อยล้าให้กับร่างกายได้แล้ว การต่อสู้อย่างสุดกำลังถึง 3 วัน 3 คืนได้ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นคงเรียกได้ว่าสุดยอด
อันที่จริง พวกเขาไม่เหลือจุดประสงค์ในการต่อสู้เดิมไปแล้ว สิ่งที่พวกเขามีก็เพียงการทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับอีกฝ่าย
พวกเขาต้องพยายามให้มากกว่านี้ ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดที่เหมือนจะฉีกร่างออกได้เป็นชิ้นๆ กำลังหลั่งไหลเข้ามาในร่างเขา แต่ถ้าเขายอมแพ้เสียตอนนี้หัวของเขาได้ระเบิดเป็นลูกแตงโมแน่――ทั้งโซระและโดกะต่างก็คิดแบบเดียวกัน แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง
เพราะหากเขาหยุดมือลง พวกเขาก็จะตายทันที
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดจะหยุดหรือสนใจสิ่งอื่น ทั้งสองยังคงต่อสู้กัไปเนื่อยๆ แทนที่จะเรียกว่าการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับคิจิน มันควรจะเรียกว่าการต่อสู้ระหว่างสองสัตว์ร้ายมากกว่า พวกเขาขับเคลื่อนเข้าหากันด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ถูกดึงออกมาถึงขีดสุด พวกเขาจะต่อสู้กันต่อไปจนกว่าจะมีฝ่ายใดล้มลง
มันคือการต่อสู้ที่สุดผิดปกติ ไคลอากับเออซูร่า หรือพวกคนของนากายามะต่างก็พยายามจะสอดมือเข้าไปช่วยอยู่หลายครั้ง
ก็จริงว่าคงจะช่วยไม่ได้มากนัก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็หวังว่าจะให้พวกโซระหรือโดกะมีเวลาพักหายใจบ้าง การใช้พลังคิต่อเนื่องจะสร้างภาระให้กับร่างกายสูง ยิ่งเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ความกังวลที่ร่างของผู้ใช้จะแตกสลายไปเสียก่อนจะถูกศัตรูฆ่าก็สูงขึ้นด้วย
ทว่าถึงพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะหากมีใครเข้าแทรกระหว่างการต่อสู้นี้ คนผู้นั้นคงจะถูกโซระกับโดกะฆ่าทิ้งในวินาทีต่อมาแน่ สำหรับพวกเขาแล้วสิ่งที่เห็นตรงหน้ามีเพียงร่างของอีกฝ่าย สิ่งอื่นคือผู้บุกรกที่แสนน่ารำคาญเท่านั้น
หากจะหวังให้การตายของผู้เข้าไปแทรกดึงสติทั้งสอง ก็บอกเลยว่าคงจะห่างไกล คนในที่แห่งนั้นสัมผัสถึงความเป็นไปได้นั้นไม่ได้เลย
――ในที่สุดก็มีบางอย่างที่จะมาเปลี่ยนสถานการณ์ในตอนนี้
พวกทหารของนากายามะเป็นฝ่ายแรกที่เห็นว่ามีการปรากฏตัวของคิจินตนหนึ่ง
เป็นร่างของชายที่สวมชุดคลุมยาวหลวมๆ ของฝ่ายบุ๋นภายในวัง เขาดูไม่ใช่ทหารแต่ก็มีความโด่ดเด่นแม้จะเป็นในสนามรบแห่งนี้ จากนั้นไคลอากับคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นร่างของเขาแล้ว
พวกเธอสัมผัสได้ว่าคิจินตนนี้แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงจิตคุกคาม ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังของคิจินตนนี้ที่เอ่อล้นออกมาเท่าโดกะ เขาไม่น่าจะเป็นคนที่สามารถหยุดการต่อสู้ครั้งนี้ได้เลยสักนิด
อย่างไรก็ตามพวกคิจินทุกตนกลับคุกเข่าให้คิจินที่ปรากฏตัวขึ้น
หากเขาคือบุคคลที่พวกคิจินตั้งใจเรียกมาโดยเฉพาะก็หมายความว่าเขาน่าจะมีไพ่ตายที่พอจะหยุดการต่อสู้ของทั้งสองได้ เมื่อคิดได้แบบนั้นไคลกับกับเออซูร่าก็เตรียมจะใช้อาภรณ์วิญญาณ แต่ก่อนจะได้ทำเช่นนั้นเสียงของคิจินตนนั้นกลับเร็วกว่าพวกเธอ
แม้จะเป็นน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่ก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงอันแรงกล้า คิจินตนนั้นกำลังเปิดใช้งานเรียกอนิม่าของตนออกมา
「จงหัวเราะ คอนตัน (ปีศาจแดงไร้หน้า) 」
ทันทีที่ไคลอากับเออซูร่าได้ยินเสียงนั้น วิสัยทัศน์ของพวกเธอก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ทั้งเสียง กลิ่น ประสาทสัมผัสทุกอย่างหายไปจนสิ้น หากเป็นช่วงเวลานี้ถึงจะเอาอะไรยัดเข้าปากพวกเธอก็คงไม่สามารถรับรสมันได้เป็นแน่
ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ถูกผนึก
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมันได้ครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ มันกลืนกินโซระและโดกะที่กำลังต่อสู้กันเข้าไปเสียแล้ว
——-
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code