ตอนที่ 223 ฟื้นคืน
เสียงการก่อสร้างซ่อมแซมดังขึ้นทั่วเขาไดโกะ
ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกนากายามะ แต่ผมก็มีส่วนไปช่วยพวกเขาด้วยนะเออ
คือทางโดกะกับคาการิก็ไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนให้ค่ายนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมอะไรหรอก แต่มันพอจะใช้เป็นฐานชั่วคราวให้พวกทหารที่บาดเจ็บจากเก็นโฮพักผ่อนให้หายดีกันเท่านั้นเอง
จากที่ผมได้ยิน เหมือนว่าเดิมทีรอบๆ นี้ก็มีมอนสเตอร์ชุกชุมอยู่แล้ว หลังเก็นโฮมาโจมตี ก็มีมอนสเตอร์อีกประมาณ 2 กลุ่มได้ที่บุกเข้ามา
ตรงนั้นทางกองทัพนากายามะก็จัดการกันไปเองโดยผมไม่ได้ยุ่งอะไร เหมือนจะมีคนบาดเจ็บนิดหน่อยด้วย เอาเป็นว่าสุดท้ายพวกเขาก็ตั้งใจจะทิ้งค่ายนี้นั่นแหละแต่ก่อนหน้านี้ก็ต้องซ่อมแซมระดับต่ำๆ ไว้ก่อน
พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็เลยอยากจะช่วยด้วยนิดหน่อยถึงทางนั้นจะไม่ขอก็เถอะ ยังไงตอนนี้คลิมกับเออซูร่าก็บาดเจ็บอยู่ด้วย แถมก่อนหน้านี้ตอนพวกมอนสเตอร์มันบุกมาก็เป็นผมนี่แหละที่ระเบิดหลังคาที่พักไปดอกหนึ่ง การเช็ดก้นตัวเองมันก็สำคัญอ่ะนะ
ถึงจะบอกว่าเออซูร่าได้รับบาดเจ็บหนัก แต่เธอก็ฟื้นตัวพอจะเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว ทว่าจะให้ไปจับดาบลุยเลยก็คงไม่ไหว
พอพิจารณาจากสภาพของเธอในตอนแรกแล้ว ก็คงบอกได้แค่ว่าฟื้นตัวเร็วจนน่าตกใจจริงๆ จนสามารถมาช่วยงานซ่อมแซมเล็กๆ กับผมได้
「เลือดของโซระนี่สุดจะหยั่งถึงจริงๆ ถึงขนาดเอาไปทำโพชั่นได้ด้วยแต่แทนที่จะเรียกว่าโพชั่นฉันว่ามันเป็นอิลิกเซอร์ด้วยซ้ำ ชวนให้นึกถึงตำนานอย่างเฮนจาคุซุย (ยาคืนชีพ) เลยจริงๆ แอบน่าอิจฉาเหมือนกันนะ ผมดันไม่มีอะไรแบบนั้นเลย」
ระหว่างที่เธอพูดแบบนั้น เออซูร่าก็ยื่นหัวเจาะมาให้ผมเจาะรูไม้
ผมรับมันมาแล้วก็ยักไหล่ให้
「ก็นะ――โพชั่นที่ใช้รักษาคลิมก็ได้มาจากเลือดของฉันที่ได้พวกพ้องซึ่งเป็นจอมเวทย์ทำขึ้น เพราะการดื่มเลือดของฉันตรงๆ มันมีผลรุนแรงเกินไปเสียจนอาจจะทำให้อาการของคนดื่มเข้าไปหนักกว่าเดิม ก็เลยไม่มีโอกาสได้ใช้สักที」
เพราะแบบนั้นแหละผมก็เลยไม่ได้ใช้เลือดของผมให้คลิมดื่มโดยตรง หมอนั่นยังไงก็รอดอยู่แล้วไม่จำเป็นหรอก กลับกันทางเออซูร่านั้นสาหัสมากจริงๆ เสียจนมองว่าถึงจะพาไปให้หมอรักษายังไงก็ไม่ไหว
บาดแผลยาวตั้งแต่หัวไหล่ของเธอมันยากจะห้ามเลือดได้จริงๆ หากปล่อยไว้ยังไงเธอก็ต้องตายแน่ๆ
ผมก็เลยเลือกเสี่ยงเดิมพัน
กับตอนที่ผมทำกับมิโรสลาฟที่เจียนตายเพราะพวกโกซุ ผมทำการฉีกกระชากเนื้อส่วนแขนของผมแล้วเอาเข้าปากตัวเองก่อนจะนำมาเข้าปากของเออซูร่า
อาการบาดเจ็บของเออซูร่านั้นหนักกว่ามิโรสลาฟมาก บอกตามตรงผมก็ทำใจเผื่อไว้แล้วด้วยว่าอาจจะไม่ไหว แต่ก็คงเพราะเลเวลของผมมันสูงขึ้นกว่าในอดีตมาก จากการกลืนกินพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานหลายตัว ดังนั้นผลของเลือดเลยสูงขึ้นตามแน่
เออซูร่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผมก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วนี่นะ
「แล้วก็อีกอย่าง ฉันไม่คิดหรอกนะว่าเลือดของฉันมันจะได้ผลกับทุกคน คิดซะว่าโชคดีที่รอดแล้วกัน หลังจากนี้ก็พยายามรักษาตัวแล้วอย่าคาดหวังว่าคราวหน้าจะรอดแบบนี้นะ」
ผมพูดออกไปแบบนั้น เพราะผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นพ่อพระช่วยเหลือทุกคนด้วยเลือดของผมที่มีผลราวกับอิลิกเซอร์หรอกนะ
ตอนผมยังเป็นเด็ก แม่ก็เคยเล่านิทานเรื่องเจ้าชายคนหนึ่งที่มอบสมบัติแและเสื้อผ้าขนสัตว์มากมายให้กับเหล่าผู้ยากไร้ จนสุดท้ายตัวเองไม่เหลืออะไรแหละแข็งตายไปด้วย ไร้สาระชะมัด
สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุดก็คือตัวเอง แม้ว่าบางทีผมจะพยายามเสียสละตัวเองเพื่อช่วยผู้อื่น แต่นั่นมันก็ทำตามความสะดวกใจของผม หากมีใครมาเรียกร้องให้ผมต้องเสียสละ ผมก็ไม่ลังเลหรอกนะท่าจะงัดอาภรณ์วิญญาณออกมาฟาดมันสักดอก
พอเออซูร่าเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ เธอก็มองผมด้วยสีหน้าที่จริงจัง
「อื้อ ผมเข้าใจดี แล้วก็จะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครด้วย หากในอนาคตผมต้องเผชิญกับเรื่องร้ายจนชีวิตตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย ผมก็จะไม่เป็นฝ่ายเรียกร้องขอเลือดของนาย สาบานด้วยซื่อเออซูร่า อุตการ์ซ่าเลย」
「โฮ่ ตอบได้เข้าท่าเลยนี่ ให้ตายสิพอเธอเป็นแบบนี้ไอ้ฉันมันก็อดอยากจะช่วยไม่ได้ด้วยสิ เอาเถอะแต่ถ้ามีคราวหน้าคงต้องมาค่าแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมหน่อยละกัน」
ว่าแล้วผมก็หัวเราะกันออกมาราวกับคุยเล่นกัน ส่วนตัวก็แอบวางแผนเอาเรื่องนี้ไปแหย่เธอในอนาคตด้วยแหละ ทว่าทางเออซูร่ากลับพูดต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง
「ไม่ได้หรอก สำหรับผมแล้วเรื่องในครั้งนี้ผมก็อยากจะตอบแทนให้มันถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องรอถึงคราวหน้า ในฐานะที่นายช่วยชีวิตผมเอาไว้ ว่ามาสิโซระนายต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนผมก็จะยอมทำตามแม้นายจะไม่ต้องการแต่ผมก็เต็มใจจะทำจริงๆ นะ」
「เรื่องนั้นถือว่าหายกันเถอะ ยังไงสุดท้ายเธอก็คือคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ด้วยเหมือนกันนะ เพราะตอนแรกฉันสัมผัสไม่ได้ถึงตัวตนของอูรุยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอฉันคงโดนบั่นหัวทิ้งไปแล้ว」
ไร้ซึ่งเจตนาฆ่า ไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งสัมผัสใดๆ เขาเดินเข้ามาภายในห้องนั้นแล้วก็เหวี่ยงดาบเฉยๆ ขนาดผมนึกย้อนกลับไปยังอดรู้สึกขนลุกไม่ได้เลย
หากเป็นผมในตอนพร้อมสู้ ผมก็ไม่มีปัญหาที่จะต้องรับมือกับเขาหรอก แต่ในตอนที่ผมไม่ทันตั้งตัวนี่งานหยาบเลย แถมอีกฝ่ายยังมีเทคนิคที่ทรงพลังอีกด้วย
ไม่ว่าโซลอีทเตอร์จะมีความสามารถในการฟื้นฟูดีขนาดไหน แต่ถ้าหัวกับตัวแยกจากกันทุกอย่างก็จบ
ดังนั้นสำหรับผมเออซูร่าคือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้อย่างไม่ต้องสงสัย แถมจะให้ผมไปขอเธอกินวิญญาณแลกกับการที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้มันก็ทำไม่ได้อีก ดังนั้นผมเลยกะว่าจะขอให้เธอมาช่วยเป็นคู่ซ้อมแบบจริงจังให้กับผมเพื่อเพิ่มทักษะของผม
――แล้วก็นะ
ระหว่างที่ผมกับเออซูร่ากำลังจ้องตากันได้สักพัก พอเธอรู้สึกตัวก็เหมือนจะทำหน้าสับสนนิดหน่อยก่อนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ก็นั่นสิน้า ผมกับเธอก็จ้องตากันมาได้พักหนึ่งแล้ว――อันที่จริงอาการประมาณนี้ก็เริ่มมาตั้งแต่ที่เธอตื่นมาคุยกับผมไหวนั่นแหละ น้ำเสียงที่เธอใช้คุยกับผมก็ดูจะเร็วขึ้นกว่าปกติด้วย
มันคือสิ่งที่เออซูร่าไม่เคยเป็นมาก่อน
เหตุผลก็คงเดาไม่อยาก แม้แต่เด็กก็ยังรู้ด้วยซ้ำ เธอคงนึกถึงตอนที่ผมใช้ปากประกบเพื่อให้เลือดกับเธอ คาการิที่รู้เรื่องนี้เข้าก็เหมือนตั้งใจจะมาแหย่เรื่องเสียงร้องด้วยนี่นะ
แต่ถึงผมจะรู้สาเหตุของอาการที่เออซูร่าเป็นแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี
แต่จะให้พูดขอโทษที่เอาปากไปประกบกับเธอเข้ามันก็แปลกๆ ไหมล่ะ ที่ผมทำไปมันเป็นเรื่องของการช่วยชีวิตล้วนๆ ไม่ได้มีเจตนาอะไรอื่นแอบแฝงเลยนะเอ้อ
กลับกันมันก็เหมือนกับการช่วยคนจมน้ำนั่นแหละ ดังนั้นฝ่ายถูกช่วยก็ไม่น่าจะต้องเป็นกังวลอะไร ผมเคยพูดเรื่องนี้กับคลอเดียมาก่อนแล้วด้วย แต่ไอ้นั่นมันก็เป็นก่อนที่ผมจะลงมือจัดการอ่านะ…..
หลังจากคิดไปคิดมา ผมก็เลยตัดสินใจปล่อยผ่านไปทั้งอย่างนั้นเลยแล้วให้อีกฝ่ายกับเวลาเป็นตัวแก้ไขปัญหาแทน นี่แหละคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรกระทำ――ละมั้งนะ!
ระหว่างนั้นเอง ผมก็เห็นร่างของไคลอาที่วิ่งมาทางผม ไม่ใช่ว่าเธอกำลังดูแลคลิมร่วมกับสองพี่น้องคิจินอย่างรันกับยามาโตะหรอกเหรอ
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงหันไปมองทางไคลอา ก็เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอไม่สามารถซ่อนสีหน้าแห่งความสุขของเธอได้เลย แล้วเหตุผลเดียวที่เธอจะสามารถแสดงใบหน้าแบบนี้ออกมาก็คงมีเรื่องเดียว
「คุณโซระ!」
ไคลอาวิ่งมาถึงผมแล้วหอบหายใจ ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาด้วยสีหน้าปีติยินดี
ก็อย่างที่เดาเอาไว้ คลิมฟื้นแล้ว
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code