ตอนที่ 227 นักบุญดาบคนแรก และ….
แล้วก็มากันที่เรื่องของนักบุญดาบผู้ก่อตั้งสำนักมายาดาบเดียวขึ้น ฮีโร่ผู้กอบกู้โลก เมื่อ 300 ปีก่อน
นักบุญดาบคนแรก มิตสึรุกิ คาซึมะ
แน่นอนว่าผมก็รู้จักชื่อนี้ เพราะเป็นชื่อที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกันหากชื่อนี้จะเป็นที่รู้จักกันในหมู่คิจิน แน่นอนว่าในสายตาของพวกเขานักบุญดาบผู้นี้คือสิ่งที่แสนน่ารังเกียจ
คำว่าผู้ทรยศ ย่อมไม่ใช่คำที่จะเรียกอีกฝ่ายที่เอาชนะตนเองได้อยู่แล้ว แต่เป็นสิ่งที่ใช้เรียกใครบางคนที่เคยเป็นพวกพ้อง
การที่โซไซซึ่งเป็นคิจินบอกว่าคาซึมะเป็นผู้ทรยศ ก็หมายความว่านักบุญดาบคนนี้เคยร่วมรบเคียงข้างพวกคิจินมาก่อน
ส่วนคู่ต่อสู้ของพวกเขาก็น่าจะเป็นพวกเผ่าพันธุ์ในตำนาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือนักบุญดาบก็เป็นหนึ่งในผู้กล้าแนวหน้าที่เข้าต่อสู้กับภัยร้ายตามที่พระคัมภีร์ของลัทธิเขียนไว้
ในนั้นจะเขียนตำนานเอาไว้ประมาณว่า พวกเขาคือเหล่าผู้ท้าทายเผ่านพันธุ์ในตำนาน ฝังความชั่วร้าย ผนึกงู และกอบกู้โลก หากมองจากจุดนี้นักบุญดาบคนแรกกับนักบุญโซเฟียจากลัทธิแห่งแสงก็น่าจะใกล้ชิดกันพอสมควร
ทว่ามันก็มีจุดที่แปลกๆ ตามที่จักรพรรดิเคยบอกว่าพวกลัทธิแห่งแสงนั้นบูชาผืนโลกและมองว่าเผ่านพันธุ์ในตำนานคือผู้ส่งสารจากพระเจ้า ตำนานของนักบุญโซเฟีย อาเซอร์ไรท์ที่ปิดผนึกพวกมันจึงดูขัดแย้งกับสิ่งที่จักรพรรดิพูด
แล้วฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่ผิดกันล่ะ หรืออาจจะผิดทั้งคู่ก็ได้ ความจริงในอดีตอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายกล่าวอ้าง
หากสามารถไขปริศนานี้ได้ ความจริงเมื่อ 300 ปีก่อนก็คงจะถูกเปิดเผยเช่นกัน แล้วระหว่างคิดนั้นเอง
――สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น
『คิดจะนอนไปอีกนานแค่ไหนกัน』
มันเป็นเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่รู้เพราะอะไรจึงคุ้นเคยเสียเหลือเกิน
ในขณะเดียวกันภาพของนักดาบคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม
ใบหน้าอันอ่อนเยาว์และดูกล้าหาญ เค้าโครงดูเป็นคนที่เฉียบแหลมและชาญฉลาด โดยรวมแล้วไร้ที่ติใดๆ เพียงแค่มองเขาก็รู้เลยว่าชายคนนี้เกิดมาเพื่อยืนเหนือผู้อื่น
เขาน่าจะอายุประมาณ 20 ปี มีดวงตาสีดำ น่าจะเป็นคนทวีปตะวันออก ใบหน้าก็หล่อเหลา หากแต่จะมีก็แค่รอยย่นตรงกลางระหว่างคิ้วที่เกิดจากการแสดงใบหน้าอันบูดบึ้ง
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่แต่ชายคนนี้ก็คงสร้างความทรงจำที่ไม่มีวันลืมให้กับผู้พบเห็นแน่
แล้วคนที่ไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำของผมมันโผล่ออกมาได้ยังไงกันล่ะ ผมไม่ได้หลอนไปเองแน่
ทว่าความรู้สึกแบบนี้ ผมว่าผมคุ้นๆนะ มันเหมือนกับตอนที่โซลอีทเตอร์แสดงความทรงจำได้ผมได้เห็นตอนเจอเบฮีมอธที่ทะเลทรายคาตาลาน…
◆◆◆
「…พี่ ไอ้นี่มันใช่สิ่งที่พี่ควรจะพูดกับคนที่ตัวเองกระทืบจนต้องคลานเข่าลงไปนอนกับพื้นหรือไง?」
ชายหนุ่มที่ล้มลงกับพื้นทรายส่งเสียงร้องออกมา
ทางคนที่ถูกเรียกว่าพี่ชายนั่นก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่แยแสนัก
「ไอ้เจ้าบ้านี่ หากนายคิดจะหลบนายก็คงหลบได้สบายอยู่หรอก ฉันรู้นะว่านายแค่ไม่อยากใช้เวลามาฝึกนานก็เลยตั้งใจรับการโจมตีของฉันไป ให้ตายสิ」
「เป็นไปไม่ได้หรอก! ใครกันที่กล้าเล่นกลสกปรกกับพี่กัน! เป็นที่รู้กันอยู่แล้วนี่นาว่าไม่มีใครบนเกาะแห่งผืนป่านี้ที่สามารถหลบเลี่ยงทักษะอันแกร่งกล้าของพี่ได้ แล้วฉันจะไปรอดได้ยังไงกันเล่า! 」
ชายหนุ่มชื่นชมทักษะของพี่ชายตน แม้อาจจะดูเป็นการยอไปบ้างแต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านคำพูดนั้นถือเป็นของจริง
อย่างไรก็ตามคนที่ถูกชมก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรและตอบกลับอย่างสงบ
「หากยังเหลือแรงพูดขนาดนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการฝึกต่อนะ เอ้าลุกขึ้นมาเตรียมตัวซะ」
「……ครับๆ ลุกแล้วครับ」
ชายหนุ่มยืนขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เนื่องจากรู้จักกันมานานก็พอรู้แหละว่าอยู่แบบนี้ต่อไปคงไม่ช่วยอะไร
พอเห็นชายหนุ่มทำตัวแบบนี้ คนเป็นพี่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
「ทักที่ในแง่ของทักษะดาบนายเก่งกว่าฉันมากแท้ๆนะ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราต่างกันก็คือความกระตือรือร้นของนายในการฝึกฝนนี่แหละ」
หากน้องชายของเขาใช้เวลาและทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเทียบเท่ากับที่ตนทำ คนเป็นพี่มองว่าน้องชายคงจะชนะเขาได้อย่างง่ายดาย
มันคือพรสวรรค์ที่คนผู้น้องเก็บเอาไว้
ทว่าถึงจะมีพรสวรรค์สักแค่ไหนแต่ถ้าไม่เอาออกมาใช้ก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนหินริมทาง การจะทำให้ก้อนหินกลายเป็นอัญมณีงดงามได้เราก็ต้องทำการขัดเกลามัน
「พ่อกับลุงก็ถูกพวกเผ่าพันธุ์ในตำนานฆ่าตายไปแล้วนะ ตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันกับนายนี่แหละที่เป็นสายเลือดของมิตสึรุกิ จากนี้คนที่จะทำให้ตระกูลรุ่งเรืองได้ก็มีแค่พวกเราแล้วนะ」
「สุดท้ายก็คงต้องตามรอยพ่อไป ถูกใช้เป็นหมากแล้วทิ้งโดยพวกสำนักนานะชิกินั่นอีกสิน้า」
พอได้ยินเสียงบ่นของน้องชาย คิ้วของคนเป็นพี่ก็กระตุกขึ้น
จากนั้นชายหนุ่มก็พูดต่อโดยไม่สนใจพี่ชาย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจจนแทบจะอ้วกออกมา แน่นอนว่าความรู้สึกพวกนี้ไม่ได้มุ่งไปยังพี่ชายเขา
「กฎแห่งตระกูลโฮโว ขับไล่ความชั่วร้ายด้วยกายที่เป็นมนุษย์งั้นเหรอ เพื่อการนั้นศาสตร์แห่งนานะชิกิจึงเกิดขึ้น เหอะ! ไร้สาระชะมัด ต้องการบุกเข้ามาโจมตีเอาจังหวะสุดท้ายหลังใช้คนอื่นเป็นโล่สิ ถึงจะสมกับเป็นนานะชิกิหน่อย การโจมตีเพียงครั้งเดียวเพื่อสังหารอีกฝ่ายงั้นเหรอ ช่างพูดจาใหญ่โตเสียจริง」
ปากของชายหนุ่มยังพูดไม่จบ ราวกับอยากระบายความคับข้องใจที่แน่นอยู่ภายในอกให้หมดไป แต่ยิ่งพูดเท่าไหร่มันก็ยิ่งโผล่ออกมามากขึ้น
「ตั้งแต่แรกแล้ว นานะชิกิมันก็เป็นของไว้ฆ่าพวกคิจินไม่ใช่หรือไงกัน พอเผชิญหน้ากับพวกเผ่านพันธุ์ในตำนานมันจะไปต่างอะไรกับเทคนิคสำนักอื่น อย่างครั้งก่อนคนจากสำนักนานะชิกิก็บาดเจ็บสาหัสโดยที่ทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย ไอ้แบบนี้ภารกิจที่ได้รับมาจากตระกูลโฮโซหลังจากนี้มันจะไปรอดจริงเหรอ」
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ยังจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างต่ำๆ 20 – 30 ปีถึงจะบรรลุศาสตร์ได้ เนี่ยนะถามจริง
ทว่าถึงจะถามตัวเองว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้เหรอ ก็คงตอบว่าไม่
ยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับพวกเผ่านพันธุ์ในตำนานได้อยู่แล้ว ถึงใจไม่อยากจะฝึกนานะชิกิ แต่มันก็ดันไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้มาแทน
ในโลกที่เป็นแบบนี้ไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะเอาชนะพวกมันได้
「――บ่นจนพอใจหรือยัง?」
หลังจากชายหนุ่มหยุดพูด ผ่านไปสักสิบวิคนเป็นพี่จึงเริ่มถามเขา
ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วก้มหัวขอโทษ
「ขอโทษทีนะพี่ที่ต้องมาทนฟังฉันบ่นซ้ำๆแบบนี้」
จากที่เห็นคงจะเกิดเรื่องทำนองนี้กับสองพี่น้องบ่อยๆ
ว่าแล้วพวกเขาก็เริ่มฝึกกันต่อ ถึงความเป็นไปได้มันจะน้อยสักเพียงใด แต่ก็ยังมีความหมายมากกว่าการฝันถึง พลัง ที่ไม่มีอยู่จริง
ชายหนุ่มถือดาบขึ้นมาด้วยท่าทีที่จริงจัง ก่อนจะมองไปยังใบหน้าของพี่ชายตน มิตสึรุกิ คาซึมะ ชายผู้ไม่สามารถลบรอยย่นระหว่างคิ้วให้หายไปได้สักทีตั้งแต่พ่อและลุงตายจากไป
พอเห็นแบบนี้ก็ไม่อยากจะให้พี่ชายของตนต้องมาแบกรับภาระอันหนักอึ้งบนบ่าของเขาเลย
หากคิดเสียว่านี่เป็นการทำเพื่อพี่ชายของเขา ไม่ใช่ตระกูลโฮโซ แรงใจในการฝึกฝนมันก็พอจะมีเพิ่มขึ้นบ้าง ถึงจะดูไร้จุดหมายก็ตามที
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code