กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 50 แอบฟังแผนการของตระกูลฉิน

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        สองคนนี้เก็บงำลมหายใจ ลมปราณเล็ดลอดออกมาเบาบาง ที่แท้พวกเขากำลังพยายามปิดบังลมปราณของตัวเอง อวิ๋นโม่อาศัยลมปราณเบาบางนี้ตรวจสอบระดับวรยุทธ์ของพวกเขา มีอยู่คนหนึ่งที่อยู่ระดับเปลี่ยนชีพจรขั้นแปดชั้นฟ้า อีกคนเป็นระดับเปลี่ยนชีพจรขั้นเก้าชั้นฟ้า ในเมืองกวนซาน ความสามารถเช่นนี้นับเป็นยอดฝีมือแล้ว เพราะทั่วทั้งเมืองมีเพียงไม่กี่คนที่บรรลุถึงระดับเปลี่ยนชีพจร 

        “หึๆ อินทรีตัวนั้นไม่ธรรมดา ส่วนต่างๆ ของมันสามารถทำเงินได้ไม่น้อย เด็กนั่นมีโชคไม่เลว” คนหนึ่งกล่าวเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

        “จะออกไปจัดการมันหรือไม่ บนตัวเจ้าเด็กนั่นน่าจะมีของดีอยู่ไม่น้อย” อีกคนหนึ่งถาม แววตาปรากฏความละโมบ

        “แล้วไปเถอะ วันนี้พวกเราไม่ได้ออกมาล่าสัตว์ แต่มีธุระสำคัญ” 

        “คนตระกูลฉินพวกนั้น ปล่อยให้รอไปก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับพวกมันมากเกินไป พวกมันมาขอร้องพวกเรา ปล่อยให้รอสักพักจะเป็นไรไป”  

        “อย่าคิดดูถูกตระกูลฉิน ถึงหัวหน้าจะบรรลุระดับก่อจิตขั้นกลางแล้ว แต่หากเปรียบเทียบกับตาเฒ่าตระกูลฉินก็ยังด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง ครั้งนี้อันดับสองของตระกูลฉินมาหารือกับพวกเราด้วยตัวเอง อย่าชักช้าจะดีกว่า”

        “ช่างน่าเสียดาย เช่นนั้นก็ปล่อยเจ้าเด็กนี่ไปสักครั้ง ถือว่ามันโชคดี พวกเราไปกันเถอะ”

        คนทั้งสองกระโดดพุ่งออกไปในทิศทางเดียวกัน

        “สองคนนั้นน่าจะเป็นโจรบนภูเขาเหนือเมฆา” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว เขาได้ยินคำว่าตระกูลฉินสองคำ หรือว่าตระกูลฉินและพวกโจรจะร่วมมือกัน 

        ‘ไปดูดีกว่า!’ อวิ๋นโม่ตัดสินใจไปสังเกตการณ์สักหน่อย หากตระกูลฉินและพวกโจรร่วมมือกัน จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ 

        อวิ๋นโม่แผ่ญาณหยั่งรู้ออกไป ติดตามคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด เคลื่อนที่อยู่บนต้นไม้ ปราดเปรียวราวกับชะมด

        โจรภูเขาสองคนนี้ว่องไวมาก ทั้งยังคุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่อวิ๋นโม่คงถูกสลัดทิ้งไปแล้ว ทั้งสองคนวกไปวนมา สุดท้ายค่อยวิ่งเข้าไปในหุบเขาสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง อวิ๋นโม่ยืนมองจากบนที่สูงจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากลางหุบเขามีกระโจมหลังหนึ่ง สีสันกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมรอบด้านจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน หากไม่มองอย่างถี่ถ้วนไม่มีทางสังเกตเห็น 

        “ใคร?” 

        เมื่อเข้าใกล้หุบเขา ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรคนหนึ่งก็กระโดดออกมาขวางโจรภูเขาสองคนนั้น

        “ฮ่าๆๆ ล่าสัตว์น่ะ!” โจรคนหนึ่งหัวเราะ มองคนตรงหน้าพร้อมแลบลิ้น

        ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นได้ยินก็ร่างแข็งค้าง รีบถอยหลังไปหลายก้าวแล้วสอบถามต่อ “ล่าสัตว์? แล้วมาทำอะไรที่นี่?” 

        “ที่นี่มีคนรู้ว่าเหยื่ออยู่ไหน ต้องมาที่นี่จึงจะจับเหยื่อได้”

        “เป็นพวกเจ้า เข้าไปเถอะ”

        ทั้งสองคนยังแกล้งข่มขู่คนผู้นั้นอีกรอบค่อยเดินเข้าไปในกระโจมอย่างยิ้มแย้ม หลังจากโจรสองคนเข้าไปแล้ว คนเฝ้าทางเข้าก็เช็ดเหงื่อเย็นพลางพูดกับตนเอง “โจรบนภูเขาเหนือเมฆาช่างน่ากลัวจริงๆ แค่พวกมันมองมาไม่กี่ครั้ง ข้าก็รู้สึกเหมือนตกลงไปในคุกน้ำแข็งแล้ว หากไม่ใช่เพราะเบื้องบนต้องการร่วมมือกับพวกมัน ข้าก็ไม่ขอติดต่อกับคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด” 

        คนผู้นี้ถูกจัดให้เป็นองครักษ์ลับเฝ้าที่นี่ แต่ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ไม่ไกลจากตรงนั้นมีเงาดำสายหนึ่งขยับออกจากพุ่มไม้ มุ่งไปทางกระโจม

        “เป็นเขานั่นเอง!” อวิ๋นโม่แผ่ญาณหยั่งรู้เข้าไปในกระโจม พบว่าด้านในมียอดฝีมือระดับก่อจิตคนหนึ่ง เขาคือคนที่ยืนอยู่กับฉินเหอหลินในงานประมูลวันนั้น คนผู้นี้อยู่ระดับก่อจิตขั้นสองชั้นฟ้า น่าจะเป็นบุคคลที่โจรทั้งสองกล่าวว่า เป็นอันดับสองในตระกูลฉิน

        “ทำไมแมงป่องพิษถึงไม่มา” เห็นหน้าโจรภูเขาสองคน ยอดยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลฉินเผยสีหน้าไม่พอใจนัก เขาเป็นถึงระดับก่อจิต อีกฝ่ายกลับส่งแค่ระดับเปลี่ยนชีพจรสองคนมา นี่หมายความว่าอะไร

        โจรสองคนนี้แม้เป็นเพียงระดับเปลี่ยนชีพจร แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับก่อจิตตระกูลฉินก็ไม่มีความยำเกรงสักเท่าไร เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนหนึ่งก็กระแทกตัวนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม กล่าวอย่างไม่ดังไม่เบาว่า “หัวหน้าของพวกเรามีงานรัดตัว ไม่ว่างมา เจ้ามีธุระอะไร บอกกับพวกข้าก็ได้แล้ว หากมีเหตุสมควรให้หัวหน้าของพวกเราลงมือ พวกเราก็จะถ่ายทอดคำพูดไป เขาย่อมต้องลงมือ” 

        ผู้แข็งแกร่งระดับก่อจิตตระกูลฉินเดิมคิดจะระเบิดอารมณ์ แต่ไปๆ มาๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงผ่อนคลายลง

        “ครั้งนี้เรียกพวกเจ้ามา เพราะต้องการทำงานใหญ่ร่วมกับพวกเจ้า”

        “เอ๋ ใหญ่แค่ไหน? วันๆ พวกเราพี่น้องล่าสัตว์อยู่บนเทือกเขาเหนือเมฆา รายได้ไม่น้อย หากไม่ถูกใจ พวกเราไม่เพียงไม่ร่วมมือ แต่ยังจะคิดค่าเสียเวลาด้วย” 

        “หึๆ เจ้าวางใจเถอะ เหยื่อครั้งนี้ตัวใหญ่ ต้องให้แมงป่องพิษลงมือ จึงจะฆ่าได้”

        “ไม่ต้องอมพะนำแล้ว ว่ามาเถอะ ตกลงแล้วพวกเราต้องจัดการใคร” อีกคนคว้าผลไม้บนโต๊ะขึ้นมายัดใส่ปาก ขณะพูดน้ำผลไม้ก็ไหลเยิ้มออกมาตลอดเวลา ยอดฝีมือตระกูลฉินมองแล้วต้องขมวดคิ้ว

        “พวกเจ้าสมควรรู้ว่าตอนนี้ในเมืองกวนซานอำนาจของใครที่กำลังรุ่งโรจน์”

        “ใครจะไม่รู้ล่ะ ก็ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่หรือ มียอดฝีมือระดับท่องพันลี้หนุนหลัง แม้แต่พวกเรายังต้องกริ่งเกรงอยู่บ้าง”

        “คงไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการให้พวกเราจัดการตระกูลอวิ๋นกระมัง หากเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว พวกเราล่าเหยื่อก็ต้องดูพลังของเหยื่อด้วย ให้พวกเราเล่นงานตระกูลอวิ๋น เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นไอ้โง่หรือ”

        “เหยื่อในครั้งนี้เป็นตระกูลอวิ๋นจริงๆ!”

        “บัดซบ พวกเราไป!”

        “ช้าก่อน!”

        “ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ตระกูลอวิ๋นยิ่งใหญ่ พวกเราไม่สามารถยั่วยุ” 

        “ตระกูลอวิ๋นมีอำนาจ ตระกูลฉินของข้าย่อมรู้ดี คิดหรือว่าพวกเรามาหาเจ้าโดยไร้การวางแผน พวกเจ้าลองฟังแผนการของข้าก่อน หากฟังจบแล้วยังคงไม่อยากร่วมมือ ข้าก็จะไม่รั้งพวกเจ้าอีก”

        “เหอะๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะลองฟัง ตกลงแล้วตระกูลฉินของเจ้ามีแผนการแยบคายอะไร” โจรสองคนเดินกลับมา นั่งลงบนเก้าอี้

       …………………

        “ตระกูลฉินไม่ยอมเลิกราจริงๆ!”

        สุดท้ายตระกูลฉินกับพวกโจรก็ตกลงร่วมมือกัน อวิ๋นโม่ฟังแผนการของพวกมันแล้วก็เกิดความคิดฆ่าฟันขึ้นมา หากปล่อยให้แผนนี้ของขุมกำลังทั้งสองเป็นจริง ตระกูลอวิ๋นคงต้องถูกล้มล้าง แม้ท้ายที่สุดแล้วอวิ๋นโม่อาจอาศัยความสามารถคลี่คลายลงได้ แต่ถึงตอนนั้นความสูญเสียที่เกิดขึ้นคงไม่อาจเรียกคืนได้แล้ว

        ตามแผนการของพวกมัน พวกอวิ๋นต้ามั่วบิดาของอวิ๋นเสวียนเซิง ผู้อาวุโสสาม อวิ๋นหลานเหอ และท่านผู้นำตระกูลจะถูกสังหารทั้งหมด ถึงตอนนั้นต่อให้อวิ๋นโม่โค่นล้มตระกูลฉินพร้อมทั้งกวาดล้างพวกโจรภูเขาก็ไม่อาจทำให้คนเหล่านี้ฟื้นคืนมาได้

        สุดท้ายอวิ๋นโม่ก็เลือกที่จะผละจากไปเงียบๆ ไม่ได้ผลีผลามเข้าไปฆ่าคนเหล่านี้ เพราะเขาคิดจะยืมมือพวกมันจัดการเรื่องยุ่งยากบางอย่าง

        อวิ๋นโม่เก็บแผนการส่วนตัวเอาไว้ก่อน เขาวิ่งไปตามเส้นทางบนเทือกเขาเหนือเมฆา มุ่งค้นหากลุ่มล่าสัตว์ของตระกูลอวิ๋น 

        “สมควรเป็นแถบนี้” อาศัยเงื่อนงำจากข้อมูลที่ได้ยินมาจากตระกูลฉิน ในที่สุดอวิ๋นโม่ก็พบกลุ่มล่าสัตว์ของตระกูลอวิ๋น

        แม้ตอนนี้ยังสว่างอยู่ แต่กลุ่มล่าสัตว์ตระกูลอวิ๋นก็ตั้งกระโจมแล้ว พอเห็นคนแปลกหน้าผู้หนึ่งบุกเข้ามา คนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามก็ตื่นตัวทันที

        “ผู้มาโปรดหยุดเท้า ที่นี่คือที่พักแรมของตระกูลอวิ๋น!” คนหนุ่มกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว มองอวิ๋นโม่อย่างระแวดระวัง ผู้เอ่ยประโยคนี้คืออวิ๋นหลานเหอ หัวหน้ากลุ่มล่าสัตว์ขนาดเล็กของตระกูลอวิ๋น แม้ดูแล้วอวิ๋นโม่จะไม่มีพลังปราณ เป็นแค่ระดับเสริมกำลัง แต่อวิ๋นหลานเหอรู้ดีว่าคนที่สามารถเคลื่อนไหวบนเทือกเขาเหนือเมฆาเพียงลำพังย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

        อวิ๋นต้ามั่วยืนอยู่ข้างกายอวิ๋นหลานเหอ ในมือถือขวานวิญญาณที่ประมูลได้ในวันนั้น พลังแข็งแกร่งกระจายออกมาจากร่างกาย ตรงเข้าโอบล้อมอวิ๋นโม่

        “ตอนนี้พวกเจ้าตกอยู่ในอันตราย ตระกูลฉินและแมงป่องพิษร่วมมือกัน คิดจะสังหารพวกเจ้า”

        “ฮ่าๆ”

        เมื่อได้ยินคำพูดของอวิ๋นโม่ คนตระกูลอวิ๋นเกือบทั้งหมดก็ส่งเสียงหัวเราะ

        “เจ้ามาเพื่อล้อเล่นงั้นหรือ ตอนนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นของเรากำลังรุ่งเรือง ตระกูลฉิน พวกมันกล้าร่วมมือกับแมงป่องพิษมาเล่นงานพวกเราตระกูลอวิ๋นด้วยหรือ”

        “น้องชาย ครั้งหน้าหากจะโกหก รบกวนเจ้าพูดอะไรที่เป็นไปได้สักหน่อย ตอนนี้แม้แต่ตระกูลหวังก็ยังไม่กล้าหาเรื่องตระกูลอวิ๋นเรา แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลฉินยังจะกล้าก่อเรื่อง”

        “ฮ่าๆๆ ต่อให้ตระกูลฉินและแมงป่องพิษร่วมมือกัน ตระกูลอวิ๋นของพวกเราก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย”

        “น้องชาย ฉวยโอกาสที่พวกเรายังอารมณ์ดีอยู่ รีบไปเสียเถอะ พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”

        ทุกคนต่างผ่อนคลาย คิดว่าแค่บังเอิญเจอคนหลอกลวง แต่มีคนผู้หนึ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด อยากพุ่งเข้ามาสังหารอวิ๋นโม่จนแทบทนไม่ไหว

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท