Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก – ตอนที่ 64

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

 

 

 [เกราะเท้าเกล็ดมังกร]

[ระดับ A]

[ทนไฟ ขั้น3/ ดูดกลืนไฟ ขั้น3]

[พละกำลังเพิ่มขึ้น 5/ ความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้น 10%/ ความเสียหายที่สร้างด้วยเท้าเพิ่มขึ้น 5%]

[เกราะเท้าที่สร้างขึ้นจากเกล็ดและหนังของมังกรเพลิง มีความทนทานต่อไฟเป็นอย่างมาก และยังสามารถดูดกลืนไฟได้อีกด้วย ความเสียหายที่สร้างด้วยเท้าเพิ่มมากขึ้นตามระดับไฟที่ดูดซับ]

[ทักษะพิเศษ: พลังแห่งไฟ] [ความเสียหายที่สร้างด้วยเท้าเพิ่มขึ้น 5% ในทุกครั้งที่พลังแห่งไฟสะสมพลังขึ้นหนึ่งขั้น (สะสมพลังได้มากสุดห้าขั้น – หากไม่มีการดูดกลืนไฟเพิ่ม ระดับพลังแห่งไฟจะคงอยู่ได้ห้านาทีก่อนจะกลับเป็นศูนย์)]

 

 อินกองตรวจดูค่าสถานะของรองเท้าที่เขาสั่งทำระหว่างเดินทางไปยังปราสาทธันเดอร์ดูม

 

 หลังจากอ่านคำอธิบายอันยาวเหยียด อินกองก็สวมรองเท้าสั่งทำพิเศษด้วยรอยยิ้ม

 

“เจ๋งเป้ง”

 

 แม้ค่าพละกำลังจะถือว่าน้อยสำหรับอุปกรณ์ระดับ A แต่ความคล่องแคล่วที่เพิ่มขึ้นถึง 10% ถือว่ายอดเยี่ยม ยิ่งเลเวลของอินกองเพิ่มขึ้น ค่าสถานะของเขาก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ความคล่องแคล่วที่เพิ่มจากเกราะเท้านี้ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 เพียงค่าสถานะ ก็ทำให้อินกองพอใจแล้ว มิหนำซ้ำเกราะเท้านี้ยังมีทักษะพิเศษติดตัวมาด้วย

 

‘หนังมังกรเพลิง’

 

 มังกรเพลิงในบทกวีแห่งผู้กล้าขึ้นชื่อเรื่องสีอันแดงแป๊ด จนผู้เล่นอายเกินกว่าจะสวมใส่ นั่นทำให้อินกองถือว่าโชคดีที่เกราะเท้าของเขาสีไม่แดงมาก ออกค่อนข้างไปทางโทนดำ เหลือสีแดงเพียงเล็กน้อย?

 

‘ส่วนเรื่องดูดกลืนไฟก็ใช้ไฟร์แอร์โรว์ได้’

 

 อาจจะยุ่งยากนิดหน่อยที่จะให้ไฟร์แอร์โรว์สร้างความเสียหายเกินระดับทนไฟขั้น3 แต่การฝึกฝนจะแก้ปัญหาและทำให้ไฟร์แอร์โรว์มีระดับที่เพิ่มขึ้น

 

 อินกองลูบคลำเกราะเท้าพลางจินตนาการถึงลูกเตะเท้าไฟ ไม่ต่างจากคนบ้าเห่อรองเท้าใหม่ ก่อนกรีนวินด์จะกระซิบแทรกขึ้นมา

 

‘ข้ามีดีกว่ารองเท้านั่นเยอะนะนายท่าน’

 

 เพื่อกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น อินกองได้อธิบายเฟลิซีเกี่ยวกับรองเท้าไปเป็นที่เรียบร้อย นั่นทำให้โล่ไวท์อีเกิ้ลเรืองแสงสีเขียวออกมาเป็นระยะ

 #มีคน… มีเทพารักษ์แอบอิจฉารองเท้าสตั๊ดนะเอ้ออออ

 

 อินกองยังคงลูบคลำเกราะเท้าต่อไปพลางพูดออกมา

 

“กรีนวินด์ไม่ใช่ไวท์อีเกิ้ลซะหน่อย”

 

‘จะถือว่าข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับไวท์อีเกิ้ลแล้วก็ว่าได้ และไวท์อีเกิ้ลยอดเยี่ยมมาก ฉะนั้นก็หมายความว่าข้ายอดเยี่ยมมาก’

 

 มันดูเป็นตรรกะที่แปลกพิสดารมาก กรีนวินด์นั่งกอดอกบนไวท์อีเกิ้ลด้วยร่างอันโปร่งแสง พลางมองมาที่อินกองอย่างไม่ชอบใจ

 

 นั่นทำให้อินกองถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

“ตอนแรกเราก็คิดว่าอย่างเท่ ดูขลังเหมือนพวกเทพในตำนาน… ”

 

‘นายท่าน?’

 

“ไม่มีอะไร… กรีนวินด์เจ๋งที่สุด”

 

 อินกองใช้มือข้างเดียวกับที่ลูบคลำเกราะเท้ามาลูบคลำไวท์อีเกิ้ล

 

‘อุ ข้ารู้สึกแย่อีกแล้ว… ต่อเลยนายท่าน’

 

 กรีนวินด์หลับตาพริ้มโดยมีอินกองลูบหัวนาง

 #ทาสแมวทั้งหลายจงบูชากรีนวินด์ซะ วะฮะฮะฮ่า (@´ー`)ノ゙(⌒ω⌒)

 

 เฟลิซีที่เห็นอินกองพูดคนเดียวมองไปยังไวท์อีเกิ้ลอย่างไม่มั่นใจ

 

“หรือว่าเธอคุยกับกรีนวินด์อยู่?”

 

“ใช่ครับ นางงอนนิดหน่อย”

 

‘ข้าไม่ได้งอน ข้าเพียงแค่พูดความจริง’

 

 ไวท์อีเกิ้ลเรืองแสงสีเขียวขึ้นอีกครั้งจากการโต้ตอบของกรีนวินด์ อินกองยังคงลูบหัวนางต่อไปทำให้นางรู้สึกดีขึ้น และแสงจากไวท์อีเกิ้ลก็เลือนลง

 

 เฟลิซีถามต่อ

 

“พอจะมีวิธีให้พวกเราเห็นนางได้อย่างเธอไหม?”

 

“น่าจะพอเป็นไปได้ครับ”

 

 กรีนวินด์ฟื้นพลังมามากหลังจากนางเข้าไปสิงสถิตในไวท์อีเกิ้ล มันมากพอที่จะให้นางปรากฏตัวด้วยกายเนื้อ

 

“กัมมะสนใจไหม?”

 

 คำถามของอินกองสร้างความลังเลให้กับกัมมะที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของตัวรถ

 

“ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าหากข้าพระพุทธเจ้าไม่พบนาง”

 

 แน่นอนว่ากัมมะอยากพบกรีนวินด์ ผู้เป็นถึงเทพารักษ์แห่งที่ราบอินคา ทว่าจะด้วยอะไรก็ตามแต่ นางสังหรณ์ว่านั่นอาจจะทำให้ศรัทธาของนางในตัวกรีนวินด์หมดไป

 

“ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึก”

 

 คารัคพูดขึ้นพลางตบไหล่ปลอบกัมมะ

 

 ฉากที่เห็นทำให้เฟลิซีหัวเราะออกมา ก่อนนางจะเปลี่ยนหัวข้อ

 

“แล้วนั่นก็คือเกราะอันใหม่ที่ว่าสินะ?”

 

“ผมชอบมันมากทีเดียว ใส่แล้วไม่รู้สึกเทอะทะเกะกะแม้แต่น้อย”

 

 สิ่งที่กล่าวถึงมิใช่เกราะขา แต่เป็นเกราะหนังตัวใหม่ที่อินกองแลกมาจากคลังสมบัติ

 

 เป็นเกราะหนังระดับ B ตัวเกราะไม่ได้เบามาก แต่ด้วยอาคมที่ปลุกเสกทำให้อินกองไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมัน ซ้ำยังมีอาคมที่เพิ่มความอึดของผู้สวมใส่อีก 10%

 

‘แล้วก็ยังมีคุณสมบัติต้านทานธาตุอีก’

 

 เกราะตัวนี้มีคุณสมบัติต้านทานธาตุมาตรฐานทั้งสามชนิด ไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า แม้คุณสมบัติต้านทานนี้จะไม่สูงเท่าเกราะเท้าเกล็ดมังกร แต่มันก็สามารถลดความเสียหายให้เขาได้พอสมควร

 

 เฟลิซีมองชำเลืองตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

“เธอนี้ดูล่ำซำขึ้นมากนะ?”

 

 เกราะหนังปลุกเสกที่แลกมาจากคลังสมบัติของวังหลวง

 

 เกราะเท้าเกล็ดมังกรสั่งทำพิเศษจากหนังมังกรเพลิง

 

 โล่วิเศษไวท์อีเกิ้ลพร้อมเทพารักษ์กรีนวินด์สิงสถิต

 

 พสุธากัมปนาท ที่แสดงผลงานออกมาแล้วหลายครั้ง

 

 อัสสุภูติราตรีที่ต่อต้านเวทมนตร์…

 

“ครับ เหมือนผมจะขาด ก็แค่หมวกเท่านั้น?”

 

 อินกองตอบออกมาอย่างกันเอง แต่ในใจเขาคิดอีกอย่าง

 

‘ยังไม่พอหรอก’

 

 มีเพียงอินกองกับกรีนวินด์เท่านั้น ที่รับรูว่าพสุธากัมปนาทและไวท์อีเกิ้ลเป็นมรดกตกทอดจากมังกรบรรพกาล

 

 อินกองมีความทะเยอทะยานที่จะรวบรวมของวิเศษของมังกรบรรพกาลให้ครบทั้งหกชิ้น และเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวก็ยังไม่อาจทำให้เขาพอใจได้

 

‘เราต้องหามาให้ได้มากที่สุด รวมถึงพวกกำไลกับตุ้มหูด้วย’

 

 นี่คือสถานการณ์จริง ไม่ใช่ในเกมที่จะมีจำกัดช่องใส่เครื่องประดับ

 

‘ไม่งั้นเสียชื่อเจ้าชายหมด’

 

 เชื้อพระวงศ์ควรจะมีเครื่องประดับให้สมยศ

 

 นอกจากนี้เขายังวางแผนเพิ่มกำลังรบให้กับคารัคและกัมมะด้วยอุปกรณ์ทั้งหลายด้วย

 

 ดวงตาของอินกองลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น

 

 ด้านเฟลิซีก็จ้องมองยังเกราะเท้าของอินกอง เพราะนางรู้ถึงวัตถุดิบที่ใช้สร้างมันขึ้นมา

 

 นางเป็น ‘เอลฟ์รัตติกาล’ ทำให้นางจิตใจมั่นคงไม่รู้สึกอิจฉา นางกลับยินดีที่เขาได้รับการสนับสนุนจากสุรด้วยซ้ำ นั่นเพราะฉัตรสูญเสียแม่และไม่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าคนธรรพ์แต่อย่างใด

 

 เรื่องนี้เป็นความลับที่แม้แต่ดาฟเน่กับเดเลียก็ไม่รับรู้

 

 เฟลิซียกพัดขึ้นมาปิดหน้าของนางก่อนจะพูดเข้าประเด็นหลัก

 

“งั้นก่อนเราจะถึงที่หมาย ฉันจะบอกรายละเอียดพื้นฐานคร่าวๆ”

 

 แน่นอนว่าทุกสายตาก็หันไปมองนาง

 

“ฉัตร เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าวิธีการบุกเข้ายึดมีอยู่สองวิธีหลักๆ ใช้จำนวนบุกจู่โจมเข้าไป หรือใช้หัวกะทิจำนวนไม่มากเข้ายึด”

 

 วิธีแรกเป็นอะไรที่ฟังดูง่ายแต่ป่าเถื่อน เพราะนั่นเรียกได้ว่าเป็นการส่งทหารไปตายท่ามกล่างห่าธนูและกับดักจำนวนมาก

 

 เฟลิซีที่ห่วงใยทหารของนางรังเกียจและไม่คิดจะใช้วิธีนี้

 

“ซึ่งแน่นอนว่าเราจะใช้วิธีที่สอง ซึ่งหัวกะทิที่ว่าก็คือแค่ทั้งหมดที่อยู่ในรถเลื่อนนี่”

 

 เฟลิซีชี้ไปยังเดเลียที่อยู่ด้านข้าง

 

“เดเลียคอยนำทางให้ นางเป็นนักล่าสมบัติฉะนั้นนางจะคอยตรวจหาและปลดกับดักให้พวกเรา”

 

 หากนี้เป็นเกม RPG ก็คือหน้าที่ของอาชีพสายโจรนั่นเอง

 

 หลังจากเดเลีย เฟลิซีก็ชี้ไปยังสมาชิกที่เหลือ

 

“ดาฟเน่จะทำหน้าที่คอยรักษาฟื้นฟู ฉันจะคอยสนับสนุนจากด้านหลัง ส่วนฉัตรกับคารัคเป็นแนวหน้าคอยป้องกันพวกเรา”

 

“รับทราบ”

 

“หม่อมฉันจะทำเต็มความสามารถ”

 

“แล้วก็… ”

 

 เฟลิซีหันไปทางกัมมะ ที่รอคอยหน้าที่อย่างจดจ่อ

 

 เฟลิซีนึกถึงความสามารถโดยรวมของกัมมะก่อนจะมอบหน้าที่ให้กับนาง

 

“เธอคอยคุ้มกันดาฟเน่ คอยระวังภัยอยู่ข้างๆนาง”

 

“เชื่อมั่นในตัวเราได้เลย”

 

 หลังจากแบ่งหน้าที่ให้สมาชิกเรียบร้อย เฟลิซีก็หันกลับมาทางอินกองอีกครั้ง

 

“พวกเรามีข้อมูลไม่มากเกี่ยวกับปราสาทธันเดอร์ดูม แม่ทัพกาซบาลเสียชีวิตที่อุโมงค์เชื่อมระหว่างตัวปราสาทกับเหมือง ทำให้งานขุดเจาะทั้งหมดถูกระงับ”

 

 หรือในอีกความหมายก็คือ ไม่มีความคืบหน้าใดใดทั้งสิ้น

 

“งานนี้ไม่มีเวลาจำกัด เพราะงั้นพวกเราวางแผนได้โดยที่ไม่ต้องรีบร้อน”

 

 เฟลิซีชำเลืองไปยังเดเลีย เป็นสัญญาณให้นางนำถุงออกมาจากใต้เบาะ ภายในมีหน้ากากกันแก๊สที่ทำจากหนังสีดำ

 

“ไอ้นี่คือ? มันเอาไว้ใช้ทำอะไร?”

 

 คารัคกระพริบตาอย่างสับสน เฟลิซีหัวเราะในท่าทีของเจ้าออร์ค ก่อนจะหยิบหน้ากากมาสาธิตวิธีการใช้งาน

 

“นี่คืออุปกรณ์ที่ใช้สวมป้องกันก๊าซพิษในเหมือง มันมีคุณสมบัติในการแก้พิษ ทำให้หายห่วงเรื่องก๊าซพิษได้ในระดับหนึ่ง”

 

 เฟลิซีหยิบหน้ากากส่งให้คารัค แม้ใบหน้าของมันจะมีขนาดใหญ่กว่านางมาก แต่หน้ากากก็สามารถปกปิดจมูกและปากของเจ้าออร์คได้

 

 เดเลียยิ้มให้กับท่าทางของคารัคก่อนจะหันไปทางอินกอง

 

“ข้าพระพุทธเจ้าสืบหามาได้ว่า ท่านพลโทกาซบาลเสียชีวิตเนื่องมาจากติดอยู่ในอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยก๊าซพิษ ทว่าข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่านอกจากรายละเอียดเหล่านี้แล้ว ภายในต้องมีภยันตรายชนิดอื่นอยู่อีกเป็นแน่ ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูรที่มีความเป็นไปได้ว่าจะอาศัยอยู่ในช่องอุโมงค์ปราสาทมาด้วยเพคะ”

 

 รายงานของนางมีรูปภาพและรายละเอียดประกอบคำอธิบายอย่างชัดเจน

 

 แม้อินกองจะรู้ถึงศัตรูที่รอพวกเขาอยู่แล้วก็ตาม รายงานของเดเลียก็ช่วยยืนยันรายละเอียดทั้งหลายได้อย่างดี

 

‘เหมือนในเกมเลย’

 

 อินกองอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดอ่อนและวิธีต่อสู้กับสัตว์อสูรทั้งหลาย เขาเตรียมข้ออ้างว่าอ่านเจอจากในบันทึก แต่ก็ไม่ได้ใช้เพราะไม่มีใครสงสัยในข้อมูลของเขา

 

 หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก…

 

 รถเลื่อนของพวกเขาก็มาถึงที่หมาย

 

&

 

 เหมืองที่เชื่อมโยงกับปราสาทธันเดอร์ดูมถูกปิดตายเพราะก๊าซพิษที่รั่วไหลขึ้นมาจากใต้ดิน

 

 แม่ทัพกาซบาลพบจุดจบลงที่นี่ นั่นทำให้ไม่มีผู้ใดอยากจะเข้าใกล้มากนัก

 

‘มันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ?’

 

 หรือว่าก๊าซพิษจะร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิด?

 

 อินกองเป็นผู้นำในปฏิบัติการครั้งนี้ก็จริง แต่เขาไม่ต้องทำอะไรมาก เฟลิซีเข้าไปพูดคุยกับสมาชิกคณะสำรวจที่ยี่สิบเจ็ดที่ยังประจำการอยู่บริเวณโดยรอบ ส่วนเดเลียก็สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับแม่ทัพกาซบาลเพิ่มเติม

 

 อินกองเลือกที่จะปล่อยงานให้กับผู้เชี่ยวชาญ แล้วเข้าไปพักผ่อนในที่พักที่ถูกจัดเตรียมไว้

 

 ในเช้าวันถัดมา

 

 เฟลิซีอธิบายแผนการให้กับทหารท้องที่และคณะสำรวจที่เหลืออยู่ นางอธิบายว่ากองหนุนจากเอลฟ์รัตติกาลจะตามมาสมทบในภายหลัง ก่อนนางจะเดินกลับมาหาอินกองที่รออยู่หน้าทางเข้าเหมือง

 

“ไปกันเถอะ”

 

 ชุดของนางต่างไปจากชุดที่ใส่ยามปกติ นางสวมเสื้อหนังเช่นเดียวกับอินกองและหน้ากากกันแก๊ส ชุดของนางมีกระเป๋าอยู่มากมาย ให้ความรู้สึกว่าเป็นชุดสำหรับนักสำรวจอย่างแท้จริง

 

 คณะของอินกองเดินทางเข้าสู้เหมืองโดยมีเดเลียถือคบเพลิงนำหน้า เส้นทางเป็นเพียงทางตรงดิ่ง ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ทหารท้องที่นำทางแต่อย่างใด

 

 มีก๊าซพิษรั่วไหลขึ้นมาเข้มข้น จนแน่นถึงระดับเอวของพวกเขา บ่งบอกถึงปริมาณรอยรั่วจากการทดลองสำรวจหลายครั้ง

 

 ต้องขอบคุณหน้ากากที่เฟลิซีเตรียมมา ทำให้พวกเขาสามารถหายใจได้โดยสะดวก

 

 แต่ก็สมกับเป็นมืออาชีพ เฟลิซียังคงตื่นตัวรอบคอบ นางให้เดเลียนำเข้าไปก่อนแต่ผู้เดียว เพื่อตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของหน้ากากกันแก๊ส

 #เดี๋ยวนะ ไหนบอกรักชีวิตทหาร? นี่เล่นให้คนสนิทเข้าไปเป็นเหยื่อลองเชิงซะ…

 

 หลังจากเดินลงทางที่ไม่ชันมากไปได้ราว 50 เมตร ก็พบโพรงขนาดใหญ่ เป็นทางเข้าอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังปราสาทธันเดอร์ดูม

 

 เดเลียหันมาให้สัญญาณกับเฟลิซีและอินกอง ก่อนจะเดินเข้าโพรงที่พบ ทางเข้าดูเหมือนจะเป็นอุโมงค์ขนาดเล็กก่อนจะขยายขนาดขึ้นภายใน

 

“ฉันว่าน่าจะเป็นตรงนั้น”

 

 ท่านกลางหมอกพิษอันเข้มข้น เฟลิซีชี้ไปยังปลายอุโมงค์ที่เห็นอยู่สุดทาง

 

 อินกองมองไปยังแผนที่ย่อของเขาก่อนจะพยักหน้ายืนยัน อีกฟากหนึ่งเป็นปราสาทธันเดอร์ดูมไม่ผิดเพี้ยน

 

 จุดหมายอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้พวกเขาเร่งฝีเท้าขึ้น และเมื่อพวกเขามาได้ครึ่งทาง

 

 คารัคก็หยุดเดินอย่างกระทันหัน เดเลียที่เดินนำกุมอกของนางแน่นอย่างเจ็บปวด กัมมะและดาฟเน่ต่างก็พยายามชะโงกตัวเพื่อสูดหายใจ

 

 ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เฟลิซีก็แสดงความเป็นมืออาชีพออกมาด้วยการกางมือออกพร่อมร่ายคาถา

 

“สายลม!”

 

 สายลมพัดกระจายปัดเป่าก๊าซพิษออกจากบริเวณรอบตัวนาง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ก๊าซพิษแพร่กลับมารวดเร็วเกินกว่านางจะร่ายเวทมนตร์ซ้ำได้อีกครั้ง นางทรุดตัวลงร้องครวญคราง

 #เก่งนี่แต่ก็ยัง… อ่อน..หัด..!

 

 ก๊าซพิษมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ไม่สิ ต้องเรียกว่ามีบางอย่างถูกเติมเข้ามาในก๊าซพิษเสียมากกว่า

 

 เดเลียทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหวก่อนจะหมดสติ กัมมะเอาตัวเข้ากำบังดาฟเน่ที่หมดแรง แม้แต่เจ้าออร์คคารัคก็ทรุดลงเข่ากองกับพื้น

 

 ก๊าซพิษมีสีเปลี่ยนไป จากสีออกเทาเป็นเหลืองปนดำ มีเงาของบางอย่างคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

 

 แขนที่ยาวและมือที่บิดเบี้ยว นัยน์ตาสีเหลืองที่ส่องประกายท่ามกลางความมืดราวเฉกเช่นสัตว์ร้าย ร่างกายที่ดำทมิฬกลืนกินไปกับรอบข้าง

 

 พวกมันมีจำนวนหกตัว หนึ่งในนั่นเฝ้ามองเหยื่อล้มลงทีละตน ก่อนจะชูมือให้สัญญาณพวกพ้อง เงาทั้งห้าทยอยคืบคลานเข้าไปใกล้ มีดกระดูกในมือของพวกมันเงื้อขึ้นอย่างหิวกระหาย

 

 ก่อนจะพุ่งลงไปยังร่างไร้การป้องกันของเดเลีย

 

เคล้ง!

 

 ลมปราณสีขาวปะทุขึ้นท่ามกลางหมอกควัน บางอย่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับมีชีวิต ทิ้งแสงสีเขียวให้เห็นตามเส้นทางที่มันเคลื่อนที่

 

ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!

 

 เสียงเนื้อถูกเชือดเฉือนดังขึ้นก่อนร่างเงาสองร่างจะล้มกองกับพื้น ไวท์อีเกิ้ลพุ่งโจมตีพวกมันอย่างไม่ให้ตั้งตัว ในระหว่างที่อินกองก็พุ่งเคลื่อนที่เข้าหาพวกมันเช่นกัน

 

 ในพริบตาที่ไวท์อีเกิ้ลพุ่งเข้าหาสัตว์ร้ายตัวที่สาม อินกองก็เคลื่อนที่มาอยู่ตรงหน้าศัตรูของเขา หมัดของเขาเงื้อเสยคางอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ศัตรูมีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องออกมา

 

 ร่างของมันลอยขึ้นก่อนจะตกกระแทกพื้น เหลือเงาร้ายเพียงแค่สองตัวเท่านั้น หนึ่งในนั้นเป็นเป้าหมายของไวท์อีเกิ้ล อินกองพุ่งเป้าไปยังร่างที่ชูมือให้สัญญาณพรรคพวกในตอนแรก เป็นการเคลื่อนที่ในพริบตาด้วยเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ

 

“ด-ได้ไง?”

 

 ร่างนิรนามพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ พวกพ้องทั้งห้าของมันถูกจัดการลงภายในไม่กี่วินาที่

 

 แม้กระทั้งพลโทของทางวังจอมมารยังไร้ซึ่งแรงขัดขืนและสิ้นชีวิตท่ามกลางสถานการณ์นี้ แต่กลับมีผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ!

 

“พูดแบบนี้ แสดงว่าแกไม่รู้จักพระเอกซะแล้ว”

 

 [กายาชาตรี ขั้น2]

[ทักษะเพิ่มเติม: เซรุ่มร้อยพิษ ขั้น1.]

[เพิ่มความทนทานและภูมิคุ้มกันต่อพิษอย่างมาก]

 

 คำตอบดังขึ้นก่อนกำปั้นเหล็กของอินกองจะกระแทกเข้าใส่หน้าของมัน

 

 

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Status: Ongoing
จู-อินกอง เกมเมอร์หนุ่มผู้กำลังกระดี้กระด้าเนื่องจากเกมโปรดของเขาได้รับการนำกลับมาทำใหม่ให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี VR  แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เขาหลุดเข้ามาเผชิญกับเรื่องต่างๆ ราวกับเข้ามาอยู่ในเกมโปรดที่ว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบทบาทของเขาดันเป็นตัวประกอบกระจ้อยร่อยที่จะถูกฆ่าตายกลางเกม  จู-อินกองจึงต้องใช้ประสบการณ์เกมที่เขาสั่งสมเอาไว้หาหนทางเอาตัวรอดจากความตายที่กำลังมาเยือน โดยหารู้ไม่ว่าเขามิเพียงกำลังเปลื่ยนโชคชะตาตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงชะตาตัวละครรอบข้างและโลกทั้งใบ  นี่คือเรื่องราวของจู-อินกอง ผู้เป็นพระเอกของโลกใบนี้(?)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท