เมื่อเซี่ยเจิงเริ่มร้องขึ้น ชวีเสี่ยวปอก็เงียบไป ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงแค่ชวีเสี่ยวปอที่เงียบไปเท่านั้น แต่รอบๆ ตัวเขาก็เงียบสงบลงไปด้วยเช่นกัน แม้แต่เสียงร้องของแมลงหรือว่าเสียงเห่าของสุนัขที่อยู่นอกหน้าต่างก็ถูกกลบไปด้วยเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยเนื้อเสียงแหบอันมีเสน่ห์ของเซี่ยเจิง
เสียงของเซี่ยเจิงตอนร้องเพลงกับตอนพูดปกติไม่ค่อยจะเหมือนกันสักเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองง่วงแล้วหรือเปล่า เขารู้สึกตลอดเลยว่าทุกประโยคที่เซี่ยเจิงร้องออกมานั้นมันทั้งเบาและนุ่นนวล จนทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินเหยียบอยู่บนปุยฝ้ายอันอ่อนนุ่ม ชวีเสี่ยวปอหลับตาลง แล้วจึงผ่อนหายใจลงอย่างช้าๆ เข้าสู่ห่วงนิทราในที่สุด
ในคืนนี้ชวีเสี่ยวปอหลับสบายกว่าปกติ ถ้าหากไม่ใช่เพราะในตอนเช้ามีเสียงเปาะแปะๆ ที่ดังขึ้นมาอยู่พักหนึ่งปลุกเขาให้ตื่น เขาก็คงจะมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีก
“เสียงอะไร” ร่างกายเขายังไม่ตื่นดีสักเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอที่กำลังหลับตาอยู่ยกแขนขึ้นมาควานไปยังด้านข้าง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า “เซี่ยเจิง? ”
ไม่มีคนตอบกลับมา
ชวีเสี่ยวปอรีบลืมตาขึ้นมาทันที เขาถึงพบว่าในห้องไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเขา และเสียงเปาะแปะนี้ก็คือเสียงของฝนที่กระทบเข้ากับกระจก
“ตกแรงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าต่างสายตามองไปยังด้านนอก ฝนในฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาอย่างหนัก ดอกไม้เล็กๆ ในลานบ้านยังไม่ทันได้เก็บเข้าบ้านมา จึงทำให้ถูกลมพัดปลิวไปปลิวมาดูแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะออกไปช่วยพวกมัน ขณะนั้นประตูรั้วก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก เซี่ยเจิงถือร่มลายดอกไม้วิ่งฝ่าฝนกลับเข้ามา
“ฝนตกหนักขนาดนี้ นายไปไหนมา? ” ชวีเสี่ยวปอที่เดินลากรองเท้าออกไปยืนอยู่ใต้ชายคาบ้าน เห็นเซี่ยเจิงถือร่มที่เปียกชุ่มเอาไว้อยู่
แม้ว่าเซี่ยเจิงจะยังไม่ได้ตอบคำถามเขา ชวีเสี่ยวปอก็รู้ขึ้นมาทันทีว่าเขาไปทำอะไรมา เพราะว่ากลิ่นหอมของปาท่องโก๋ที่เพิ่งจะขึ้นมาจากกระทะและกลิ่นของเต้าฮวยร้อนๆ ได้ลอยเข้ามาในเตะจมูกเขาเข้าแล้ว
“ตอนที่ออกไปฝนไม่ได้ตกหนักขนาดนี้” เซี่ยเจิงยื่นอาหารเช้าในมือส่งให้ชวีเสี่ยวปอ จากนั้นเขาจึงถอดรองเท้าที่เปียกครึ่งหนึ่งออกไปเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทน “นายก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะเนี่ย”
“จริงเหรอ? กี่โมงแล้วอะ? ” ชวีเสี่ยวปอรับมาพลางแตะๆ ดู มันยังร้อนๆ อยู่เลย
“หกโมงกว่า” เซี่ยเจิงยกคางขึ้น แล้วพูดว่า “ไปหาชามมาใส่เต้าฮวยเถอะ นายจะได้กินตอนร้อนๆ เลย เดี๋ยวฉันจัดการดอกไม้ตรงลานบ้านสักหน่อย”
“รอฉันแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวฉันไปทำด้วย” ชวีเสี่ยวปอรีบเข้าไปในครัวหากะละมังใบเล็กมาใส่เต้าฮวยให้เรียบร้อย จากนั้นจึงออกมาช่วยเซี่ยเจิงย้ายกระถางดอกไม้เข้าบ้านไป ทั้งคู่ขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ด้านหลังก็ยังโดนฝนจนเปียกชุ่มอยู่ดี พอมีลมเย็นๆ พัดโชยมา จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอจามออกมาอยู่หลายที
“แม่นางหลินไต้อวี้ [1] เชิญท่านรีบเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” เซี่ยเจิงสะบัดน้ำที่อยู่บนศีรษะ แล้วชำเลืองมองชวีเสี่ยวครั้งหนึ่ง “ในตู้เสื้อผ้านายลองดูว่าตัวไหนใส่ได้ เลือกใส่เอาเองได้เลย”
ชวีเสี่ยวปอเดินกลับเข้ามาในห้อง จากนั้นจึงเปิดตู้เสื้อผ้าของเซี่ยเจิงออก สไตล์การแต่งตัวของเซี่ยเจิงแตกต่างจากเขามาก ที่โรงเรียนไม่ได้เข้มงวดนัก แต่ว่าการแต่งชุดนักเรียนเป็นข้อกำหนดขั้นพื้นฐานของโรงเรียน ดังนั้นเหล่าหนุ่มสาววัยรุ่นที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากลองทุกคนจึงได้เอาความคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวไปใส่ไว้ที่เสื้อด้านในและรองเท้า แต่เซี่ยเจิงนั้นสวนทางกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ในตู้เสื้อผ้าเขามีเพียงแค่สีดำ สีขาว และสีเทา สามสีพื้นฐาน
“ตัวนี้ละกัน” ชวีเสี่ยวปอพูดกับตัวเอง หลังจากเลือกอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงหยิบสเวตเตอร์ตัวสีเทาออกมาใส่
“ดูดีมาก” แล้วจู่ๆ เสียงของเซี่ยเจิงก็ดังขึ้นมาที่ด้านหลังของเขา ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอกำลังยืนอยู่หน้ากระจกแต่งตัว แล้วเขาก็มองเห็นเซี่ยเจิงที่กำลังยืนพิงประตูพร้อมทั้งมองมาที่ตัวเองในกระจกบานนั้น
“หลงความหล่อของฉันเข้าแล้วละสิ” ชวีเสี่ยวปอหันกลับมาสะบัดศีรษะให้เซี่ยเจิงอย่างทะเล้น
“นายอย่าทำแบบนี้เลย” เซี่ยเจิงจิ๊ปาก “ติ๊งต๊องสุดๆ ”
“ฉันติ๊งต๊อง? ” ชวีเสี่ยวปออึ้งไป จากนั้นจึงหันหลังกลับไปส่องกระจกดูอีกสองที “ติ๊งต๊องตรงไหน? ”
“ตรงนี้” เซี่ยเจิงชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง “ผมนายยาวแล้ว ตอนนี้เลยดูเหมือนกับลูกกีวีเลยอะ”
“ให้ตายเถอะ ทวดนายสิ !” พอเซี่ยเจิงพูดแบบนี้ ชวีเสี่ยวปอที่กำลังมองตัวเองอยู่ในกระจกรู้สึกก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาลูบศีรษะอย่างแรงสองครั้ง จากนั้นจึงยิ้มพลางพูดออกไปว่า : “ก็ฉันไม่เคยไว้ผมยาวเลยนี่ เดี๋ยวจะไปโกนออกแล้ว !”
“โกนให้โล้นไปเลยก็ดีนะ” เซี่ยเจิงพูด “เจ้าลูกกีวีไปล้างหน้าแล้วมากินข้าวกันเถอะ”
ในขณะที่ชวีเสี่ยวปอเดินออกมาจากห้องน้ำ เซี่ยเจิงก็กำลังนั่งรอเขาอยู่ที่ข้างๆ โต๊ะน้ำชา แม้แต่เก้าอี้ตัวเล็กเขาก็เอามาเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อันที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ตอนอยู่บ้านเวินลี่จะเป็นคนบังคับให้เขากินข้าวเช้า ซึ่งโดยปกติก็กินไปเพียงแค่สองคำชวีเสี่ยวปอก็หิ้วกระเป๋าวิ่งออกไปแล้ว แต่ในวันนี้ทันทีที่เขานั่งลง ดึงปาท่องโก๋ออกมาตัวหนึ่งแล้วยัดเข้าปากไป ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเหมือนได้หถูกเติมเต็มขึ้นมาอย่างประหลาด หรืออาจจะเป็นเพราะมันคือสิ่งที่เซี่ยเจิงฝ่าฝนตกหนักออกไปซื้อกลับมาให้เขา
“แล้วอีกเดี๋ยวฝนจะหยุดไหมเนี่ย? ” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังลานบ้านที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแอ่งน้ำเล็ก ทั้งสองคนกินไปด้วยพลางพูดคุยกันไปด้วย
“ไม่น่ารอด พยากรณ์อากาศบอกว่าจะตกถึงคืนนี้เลย” เซี่ยเจิงซดเต้าฮวยเข้าปากไปหนึ่งคำ “เดี๋ยวเรียกรถไปก็ได้”
“อืม” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “คุณป้าไม่กินข้าวเช้าเหรอ? ”
“แม่ยังไม่ตื่นเลย” เซี่ยเจิงมองไปยังประตูห้องนอนของแม่ที่ยังคงปิดสนิทอยู่ ในมือก็ปอกไข่ต้มน้ำชาไปด้วย “แล้วอีกอย่างแม่ก็ไม่ค่อยชอบกินของพวกนี้ด้วย ฉันต้มโจ๊กเอาไว้ให้แม่แล้ว”
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรต่อ เซี่ยเจิงปอกไข่ต้มน้ำชาเสร็จก็ส่งให้เขา ชวีเสี่ยวปอจึงยื่นมือออกไปรับมาโดยอัตโนมัติ แต่หลังจากที่รับมาแล้วเขาก็ผงะไปชั่วครู่
ท่าทางเช่นนี้ของทั้งคู่ดูเป็นธรรมชาติมาก ดูเป็นธรรมชาติจนรู้สึกเหมือนกับว่าเซี่ยเจิงควรทำแบบนี้ ส่วนชวีเสี่ยวปอเพียงแค่นั่งรอก็พอแล้ว
“เฮ้อ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจยาว “ฉันว่า”
“มีอะไรเหรอ? ” เซี่ยเจิงยังไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติไป
“นายเป็นแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเลียริมฝีปาก “ที่ดูแลคนอื่นจนเคยชิน? ”
“ดูแล? ” เซี่ยเจิงไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ “ฉันดูแลใครเหรอ? ”
“ก็…” ชวีเสี่ยวปอกัดไข่ต้มน้ำชาไปคำหนึ่ง “แบบนี้ไง ขนาดแม่ฉันยังไม่เอาไข่ต้มน้ำชาที่แกะเสร็จแล้วยื่นให้ฉันแบบนี้เลย”
“มีแบ่งว่าใครเป็นใครด้วย” เซี่ยเจิงหัวเราะ “ที่จริงแล้วฉันก็เคยแกะให้ไม่กี่คนหรอก นายน่าจะเป็นคนที่สองมั้ง”
“แล้วคนแรกใครอะ? ” ชวีเสี่ยวปอสงสัย
“แม่ฉันเอง”
“นายทำแบบนี้ฉันรู้สึกละอายใจขึ้นมาเลย” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจอีกครั้ง “รู้สึกเหมือนว่านายกำลังตอบแทนความแค้นด้วยความดีเลย”
“ไม่เลวนี่” เซี่ยเจิงอดไม่ไหวที่จะยื่นมือไปจิ้มท้องชวีเสี่ยวปอหนึ่งที “ในที่สุดนายก็ใช้สำนวนเป็นแล้ว”
ชวีเสี่ยวปอยืดหลังตรงขึ้นมาทันที พร้อมทั้งเบิกตากว้างพลางพูดว่า : “ฉันพูดจากใจจริง! ฉันอุตส่าห์ซึ้งแล้วนะเนี่ย นายนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ ”
“ช่างมันเถอะๆ ” เซี่ยเจิงทำท่าจะจิ้มไปที่ท้องเขาอีกครั้ง “ถ้าซึ้งใจก็กินไข่ต้มน้ำชาให้หมด แต่ถ้าไม่กินก็เอาคืนมา”
“ให้แล้วจะมาทวงคืนได้ไง? ฝันไปเถอะ” ชวีเสี่ยวปอยัดที่เหลืออีกครึ่งลูกเข้าปากไป เขาเคี้ยวอยู่นานและในที่สุดก็กลืนมันลงไป “บ้าเอ๊ย สำลักๆ ”
พอทานอาหารเช้าเสร็จ ชวีเสี่ยวปอก็ช่วยเก็บถ้วยชาม หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงเตรียมตัวไปโรงเรียน
แต่พอค้นจนทั่วบ้านแล้วก็มีเพียงร่มลายดอกไม้เหลืออยู่แค่คันเดียว ทั้งสองคนไม่มีทางเลือกจึงต้องเบียดกันอยู่ในร่มคันเดียวนั้น แล้วเดินออกไปยังปากซอย
………………………..
เชิงอรรถ
[1] หลินไต้อวี้ เป็นนางเอกในวรรณกรรมจีนเรื่อง ความฝันในหอแดง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวรรณกรรมจีน