“ขอบพระคุณสหายวิญญาณโลหิตที่มอบคัมภีร์นี้ให้ แต่สิ่งที่บันทึกอยู่ด้านในขัดแย้งกับเคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝน เกรงว่าข้าน้อยคงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาลับในนี้ได้” หลังจากผ่านไปแค่ชั่วครู่ หานลี่ก็กวาดตามองเนื้อหาในคัมภีร์อย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง แล้วสั่นศีรษะพลางวางคัมภีร์ลงบนโต๊ะ
“อันใด เคล็ดวิชาหลักที่สหายฝึกฝนคืออาคมของลัทธิขงจื๊อหรือ!” วิญญาณโลหิตชักสีหน้า แล้วเอ่ยอย่างฉงน
ถึงอย่างไรเสียแค่ดูก็รู้แล้วว่าทารกวิญญาณที่สองของหานลี่ฝึกฝนเคล็ดวิชามารที่ร้ายกาจมาก เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาสองชนิดที่ตรงกันข้ามกันในเวลาเดียวกัน ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในเผ่ามนุษย์ก็มีอยู่แค่สองสามคนเท่านั้น
“ไม่ใช่ แค่ผู้แซ่หานเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาจิตสัมผัสที่พิเศษชนิดหนึ่ง หากฝึกฝนวิญญาณโลหิตล่ะก็ จะเป็นอุปสรรคใหญ่ในภายภาคหน้า” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบขณะตอบกลับ
“ดูจากทารกวิญญาณที่สองของสหายที่ฝึกฝนจนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายแล้ว ข้าก็น่าจะรู้ว่าสหายหานน่าจะมีเคล็ดวิชาด้านจิตสัมผัสอื่นที่ไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต มิเช่นนั้นทารกวิญญาณเสริมที่พวกเราฝึกฝนออกมาได้นั้น ภายใต้พลังจิตสัมผัสที่ไม่เพียงพอ พลังยุทธ์ก็น่าจะด้อยกว่าเจ้าตัวมาก เหมือนกับข้า วิญญาณโลหิตที่สร้างร่างกายแยกนี้ ก็มีพลังปราณแค่ระดับหลอมสุญตาขั้นต้นเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้ข้าก็ขอเก็บกลับไป” วิญญาณโลหิตได้ฟังคำพูดของหานลี่ก็ไม่ได้เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมา สะบัดแขนเสื้อเก็บคัมภีร์กลับไป
“เมื่อเทียบเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตกับทารกวิญญาณที่สองแล้ว อันที่จริงก็แตกต่างกัน อย่างน้อยที่สุดหากทารกวิญญาณที่สองของข้าน้อยอยู่ห่างจากข้าเนิ่นนานเช่นสหาย เกรงว่าคงเกิดความยุ่งยากตั้งนานแล้ว” หานลี่มองหญิงสาวสวมชุดชาววังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา
“ก็จริง ในอดีตเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตต้องใช้เคล็ดวิชาลับหลอมโลหิตบวงสรวงจิตสัมผัส และไม่ต้องกลัวว่าร่างแยกจะเกิดการแว้งกัด มิเช่นนั้นใต้เท้าผลึกโลหิตที่สร้างเคล็ดวิชานี้ คงไม่มีชื่อเสียงเกรียงไกรขนาดนี้ในปีนั้น” วิญญาณโลหิตฉีกยิ้มเบิกบาน
หานลี่ได้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ แค่หัวเราะหึๆ ออกมา
“ใช่แล้ว วันนั้นข้าได้ยินสหายหานกล่าวว่ามีปัญหาอยากซักถามข้า แม้ว่าวิญญาณโลหิตจะได้รับความทรงจำของร่างเดิมมาไม่มากนัก แต่หากรู้จะต้องตอบสหายแน่” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็จะไม่เกรงใจแล้ว ประวัติความเป็นมาของข้าน้อย คิดดูแล้วสหายวิญญาณโลหิตคงได้ฟังมาบ้างแล้ว” หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของสวี่เจียวที่อยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถามอย่างใช้ความคิด
“วิญญาณโลหิตซักถามมาแล้วจริง สหายไม่เพียงเป็นผู้ที่มาจากแดนมนุษย์เหมือนกับร่างเดิมของวิญญาณโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นยังอาจจะได้รับเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ที่ข้าทิ้งเอาไว้ที่แดนล่าง ยามนี้กลับช่วยตระกูลสวี่ปลุกข้า ความบังเอิญนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก” หญิงสาวสวมชุดชาววังถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าสลับซับซ้อนเล็กน้อย
“และด้วยเหตุนี้ ผู้แซ่หานจึงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวในแดนมนุษย์ในยามนั้นนัก อยากให้สหายอธิบายให้ฟังสักหน่อย” หานลี่มุมปากกระตุก พลางเอ่ยอย่างจริงจัง
“สหายอยากถามเรื่องในแดนล่าง?” หญิงสาวพลันตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจเล็กน้อย
“อันใด มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ยิ่งกว่าไม่เหมาะ! หากสหายอยากถามเรื่องราวในแดนมนุษย์ เกรงว่าวิญญาณโลหิตคงไม่มีอันใดจะพูด” หญิงสาวสวมชุดชาววังหัวเราะขมขื่นออกมา
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยปากซักถามต่อ เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องพูดอันใดกับเขาแน่
ดังคาดหญิงสาวสวมชุดชาววังมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วก็เอ่ยขึ้น
“มิใช่วิญญาณโลหิตจงใจหลอกลวง แต่ความทรงจำของข้าไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับแดนมนุษย์ ทุกอย่างที่รู้ในแดนล่าง เป็นแค่ความทรงจำที่รางเลือนเท่านั้น”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าสหายสูญเสียความทรงจำของแดนมนุษย์ไปยามที่ผนึกวิญญาณโลหิต!” หานลี่เอ่ยถามอย่างฉงนเล็กน้อย
“มิใช่การสูญเสีย แต่เป็นเพราะยามที่ร่างเดิมถ่ายทอดความทรงจำมาตอนแรก ไม่ได้คัดลอกความทรงจำส่วนนี้มา” หญิงสาวเอ่ยอย่างมั่นใจมาก
“เหตุใดถึงเป็นสาเหตุนี้?”
“เรื่องนี้…วิญญาณโลหิตก็ไม่รู้เช่นกัน” หญิงสาวสวมชุดชาววังรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
หานลี่มุมปากกระตุก สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
หญิงสาวสวมชุดชาววังรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย แต่ที่นางมาเยี่ยมเยียนหานลี่ในครั้งนี้กลับยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นหลังจากลังเลเล็กน้อย กลับเอ่ยปากด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าควรถามหรือไม่”
หานลี่รู้สึกหมดคำพูดไปเสียแล้ว
ปัญหาของตนอีกฝ่ายไม่ตอบ กลับมาถามตนในพริบตา แต่ใบหน้าของเขากลับไม่เผยสีหน้าผิดแปลกใดๆ ออกมา กลับฉีกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“มีเรื่องใด สหายโปรดถามมาเถิด”
“ข้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ขอบังอาจถามสหายหานยามที่อยู่ในแดนมนุษย์ ได้รับอาวุธที่เกี่ยวข้องกับร่างเดิมของวิญญาณโลหิตหรือไม่? ยามที่ข้าพบกับสหายเมื่อสองสามวันก่อน ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยมากบนตัวของสหาย แม้ว่าจะไม่อาจนึกอันใดออก แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าสิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นของสำคัญของวิญญาณโลหิตและร่างเดิมมาก?” วิญญาณโลหิตสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมมาก
หานลี่ได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หลังจากมองหญิงสาวสวมชุดชาววังชั่วครู่ ถึงได้พยักหน้าอย่างช้าๆ “แม้ว่าสหายจะไม่อยากพูดมาก แต่ข้าว่าคงรู้ว่าหมายถึงสิ่งใดสินะ?”
สิ้นเสียง หานลี่พลันอ้าปาก พ่นลำแสงสีเขียวออกมา
ลำแสงนี้หมุนคว้าง ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นหม้อใบเล็กสีเขียว และร่อนลงมาบนฝ่ามือของหานลี่
นั่นคือหม้อนภาสูญ
“หม้อวิญญาณสูญ อ๋อ ไม่ถูก เป็นหม้อนภาสูญ…”
วิญญาณโลหิตเห็นสมบัติชิ้นนี้ก็ร้องอุทานออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี แต่ทันใดนั้นแววตาคู่งามพลันตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อนในทันที
“อ๋อ สหายจำสมบัติชิ้นนี้ได้!” หานลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยขณะเอ่ยถาม
“น่าจะไม่ผิดสินะ แม้ว่าข้าจะจำเรื่องราวในแดนมนุษย์ไม่ได้ แต่แค่เห็นหม้อใบนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้จักชื่อของมัน และยิ่งไปกว่านั้นจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา ดูเหมือนว่าจะคล้ายคลึงกับหม้อวิญญาณสูญที่ร่างเดิมของข้ามี น่าจะเป็นสิ่งที่ร่างเดิมของข้าหลอมขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใด สมบัติชิ้นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับข้า” วิญญาณโลหิตมองหม้อใบเล็ก แล้วเอ่ยพึมพำออกมา
“สำคัญมาก!” หานลี่เผยสีหน้าลึกซึ้งออกมา
“ข้าก็บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะร่างเดิมของข้าทิ้งความคิดที่เด่นชัดเอาไว้ในวิญญาณโลหิตหรือไม่ สหายหานข้าเองก็จะไม่อ้อมค้อม หม้อนภาสูญนี้ ข้ายอมตอบแทนทุกอย่างเพื่อให้ได้มันกลับมา ขอแค่ยอมตกลงเรื่องนี้ พี่หานจะเสนอเงื่อนไขอันใดก็เอ่ยออกมาเถิด” หลังจากที่วิญญาณโลหิตเงียบขรึมไปเล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างจริงจังออกมา
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ลูบไล้ใต้ค้าง ยามนั้นไม่ได้เอ่ยปากตอบอันใดออกมา
“สวี่เจียว เอาสิ่งนั้นออกมา!” วิญญาณโลหิตเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พลันหันหน้าไปออกคำสั่งกับสวี่เจียวที่อยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“…ขอรับ ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิต!” สวี่เจียวได้ยินคำพูดของหญิงสาวสวมชุดชาววัง คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ออกมา แต่หลังจากนั้นก็กัดฟัน ฉับพลันนั้นพลันสะบัดข้อมือไปทางกำไลเก็บของ
หมอกลำแสงสีขาวม้วนวนออกมา กล่องหยกขนาดน้อยใหญ่สองใบ รวมทั้งถุงหนังสีฟ้าใบหนึ่ง ปรากฏขึ้นบนโต๊ะด้านข้างหานลี่อย่างเงียบเชียบ
“ในนี้มี ‘ดอกหยกมาร’ อายุสามหมื่นปีอยู่ต้นหนึ่ง สามารถควบคุมพลังของมังกรวารีแปดตัวในสมบัติ ‘มีดมังกรวารีทั้งแปด’ ได้ รวมทั้งศิลาวิญญาณระดับสุดยอดสามสิบล้านก้อน วิญญาณโลหิตจะใช้ของสามอย่างนี้แลกกับหม้อนภาสูญในมือของสหาย! สหายหานคิดอย่างไร? เรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ข้าติดค้างน้ำใจสหาย รอข้ากลับมาจากที่เผ่ามนุษย์ จะต้องขอบคุณอย่างหนักแน่” วิญญาณโลหิตเอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ชั่วพริบตานั้นจิตสัมผัสก็ทะลวงผ่านของสามสิ่งบนโต๊ะไป
ด้านในเหมือนกับที่หญิงสาวสวมชุดชาววังกล่าวไว้อย่างไรอย่างนั้น
ดอกวิญญาณสีดำมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนเคล็ดวิชามารเป็นอย่างมาก ใบมีดประหลาดสีฟ้าที่สลักมังกรวารีแปดตัวเอาไว้ ถุงหนังที่เต็มไปด้วยศิลาวิญญาณระดับสุดยอด
ยกมือขึ้น กล่องหยกใบเล็กที่บรรจุดอกวิญญาณสีดำเอาไว้ถูกหานลี่ดูดเข้ามาในมือ
“พี่หานมีเจตนาใด?” วิญญาณโลหิตขมวดคิ้วดำขลับ ท่าทางไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ดอกหยกดำดอกนี้มีประโยชน์ต่อผู้แซ่หานก็จริง ศิลาวิญญาณและสมบัติวิญญาณชิ้นนี้กลับไม่ต้องหรอก ข้าน้อยไม่ได้ขาดแคลนสมบัติวิญญาณหรือศิลาวิญญาณ แม้ว่าผู้แซ่หานจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ก็รู้จักตอบแทนคุณคนอยู่บ้าง ปีนั้นข้าน้อยได้เปลวน้ำแข็งสวรรค์และหม้อใบนี้มาจากแดนล่าง นั่นก็เคยช่วยข้าโจมตีศัตรูจนพ่ายไปสองสามครั้ง แค่จุดนี้ผู้แซ่หานไม่มีทางเอ่ยปากก็ขอมากไปแน่ และยิ่งไปกว่านั้นดอกหยกดำดอกนี้ก็เป็นสมุนไพรที่เกิดเฉพาะในแดนมาร แม้ว่าระดับความล้ำค่าจะไม่เทียบเท่ากับสมบัติวิญญาณ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
จากนั้นหม้อใบเล็กในมือของหานลี่ก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็มาอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น
การเคลื่อนไหวและคำพูดของหานลี่ เห็นได้ชัดว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของหญิงสาวสวมชุดชาววัง ใบหน้าฉายแววประหลาดใจออกมาพลางมองหม้อใบเล็กตรงหน้า
แต่หญิงสาวผู้นี้ก็เป็นแค่คนธรรมดา หลังจากลังเลไปชั่วครู่ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบออกมา
“น้ำใจของสหาย วิญญาณโลหิตขอเป็นตัวแทนตระกูลสวี่และตัวข้าขอบคุณสหาย จากนี้หากสหายมีเรื่องให้ช่วยเหลือ ก็มาหาที่ตระกูลสวี่เถิด แม้ว่าวิญญาณโลหิตจะมีพลังยุทธ์ไม่สูงส่ง แต่ก็มั่นใจว่าพอจะช่วยได้”
หลังจากที่หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยสั้นๆ สองสามประโยค ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีโลหิตปรากฏออกมา
หม้อใบเล็กสีเขียวตรงหน้า และของที่เหลืออีกสองสิ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็คารวะหานลี่เล็กน้อย แล้วเดินออกจากประตูหอคอยโดยมิได้พูดอันใดอีก
“เช่นนั้นชนรุ่นหลังต้องขอตัวลาแล้ว”
สวี่เจียวเห็นสถานการณ์ค่อนข้างแปลกประหลาด ก็รีบร้อนลุกขึ้นคารวะหานลี่ แล้วไล่ตามไปติดๆ
แววตาของหานลี่เปล่งประกายขณะมองไปที่ประตูหอคอย หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้ว่าเขาจะไม่ได้คำตอบที่อยากรู้จากปากของวิญญาณโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้เบาะแสที่แน่ชัดของร่างเดิม แต่หลังจากที่มอบหม้อนภาสูญให้หญิงสาวผู้นี้แล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก
ความไม่แน่ใจเดิมที่ว่าจะกลายเป็นอุปสรรคในการฝึกฝนทางสายมารราวกับไม่สำคัญอีกต่อไป ผลกระทบจากการสาบานกับชายหนุ่มแซ่เวิงในปีนั้นก็แก้ไขได้ในยามนี้แล้ว
แม้ว่าหม้อนภาสูญจะเป็นสมบัติวิญญาณที่ไม่เลว แต่เห็นได้ชัดว่าสมบัติชิ้นนี้น่าจะมีประโยชน์ด้านที่ยังไม่รู้อยู่ด้วย มิเช่นนั้นแค่อานุภาพในการต่อสู้ของมันนั้นก็คงไม่ได้ดีไปกว่าสมบัติวิญญาณชิ้นอื่นๆ ในร่างของเขา
ยามนี้มอบออกไปย่อมรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับทำใจให้ไม่ได้
ยามนี้ในเมื่อกำจัดอุปสรรคทางสายมารในใจของตนได้แล้ว และยังสร้างความสัมพันธ์อันดีกับวิญญาณโลหิตของตระกูลสวี่และชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็งได้อีกด้วย ทั้งยังได้ดอกหยกมารสีดำที่ตนแค่เคยได้ยินมาจากในตำนาน ก็ไม่นับว่าขาดทุนแล้ว
ทว่าก็จัดการเรื่องของที่นี่ได้พอสมควรแล้ว ถึงยามที่ต้องไปจากตระกูลสวี่แล้ว ช่วงเวลาต่อจากนี้อยู่ห่างจากงานหมื่นสมบัติอีกแค่ไม่กี่ปี พอจะท่องเที่ยวในแดนเทียนหยวนก่อนแล้วค่อยไปได้
หานลี่เองก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่หัวบันไดอย่างแช่มช้า พลางขบคิดอย่างมีแผนการ