สิ้นเสียงในเมืองศิลาพลันมีเงาสีโลหิตสิบกว่ากลุ่มพุ่งออกมา แล้วกลายเป็นหมอกโลหิตระเบิดออก
ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นโลหิตพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า รับการโจมตีจากกระบี่ลำแสงและยอดเขาสามลูกที่อยู่ด้านนอกทีระลอกๆ
เช่นนั้นเขตอาคมเมืองศิลาที่เดิมตกอยู่อันตราย ก็กลับมามั่นคงอีกครั้ง
หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมโกรธเกรี้ยวแล้วร้องตะโกนออกมา ฉับพลันนั้นพลันอ้าปากพ่นสายฟ้าสีทองหนาเท่าถังน้ำออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมาที่ระลอกคลื่นโลหิต
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
จุดที่สายห้าไปถึง พลันมีกลิ่นไหม้โชยมา ชั่วพริบตาระลอกคลื่นสีโลหิตที่อยู่รอบๆ พลันหายวับไไป
“อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตราย”
กลางระลอกคลื่นโลหิตพลันมีเสียงร้องอุทานว่า “เอ่” ดังขึ้น แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ระลอกคลื่นโลหิตรอบด้านรวมตัวกันอย่างรวดเร็วและหมุนคว้างกลายเป็นสาวน้อยร่างกายอรชรอ้อนแอ้นสวมกระโปรงสั้นสีโลหิตและสัตว์ประหลาดหัวหมาป่าตัวเป็นหมีสูงสองสามจั้ง
สาวน้อยดูแล้วมีอายุไม่ถึงสิบห้าสิบหกปี มือถือกระเช้าดอกไม้สีเขียวมรกต ร่างกายอรชรอ้อนแอ้น หน้าตางดงาม ผิวพลันขาวผ่องดุจหยกงาม ดวงตาสดใสกลอกไปมา ให้ความรู้สึกเย้าย้วนอย่างที่เปรียบมิได้
แม้ว่าหานลี่ที่มีระดับจิตใจขนาดนี้มองไปก็อดที่จะรู้สึกตกตะลึงไม่ได้
หานลี่พลันใจหายวาบ รีบกระตุ้นอาคมหลอมจิตสัมผัส ถึงได้ทำให้จิตสัมผัสได้สติตื่นขึ้นมา แต่สายตาที่มองไปยังหญิงสาวกลับเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน เมื่อขยับจิตสัมผัสก็กวาดผ่านไป
“ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย”
หานลี่อดที่จะประหลาดใจไม่ได้
อานุภาพของหญิงสาวที่เพิ่งปรากฏตัวไม่ด้อยไปกว่าระดับมหายาน แต่กลับมีพลังยุทธ์แค่ระดับผสานอินทรีย์ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
กลับเป็นสัตว์ประหลาดหัวหมาป่าตัวเป็นหมีสิบกว่าตัวที่เรือนกายเต็มไปด้วยสีแดงโลหิต ทุกคนมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่เมื่อรวมตัวกันกลับแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับมหายานธรรมดาๆ ออกมา
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว คาดเดาประวัติความเป็นมาของหญิงสาวสวมกระโปรงโลหิตในใจ การโจมตีในเมืองผ่อนกำลังลง เงากระบี่ทั่วท้องฟ้าสลายหายไป ยอดเขาสามลูกสูงสองสามร้อยจั้งพลันรวมตัวกันอยู่กลางอากาศ
“เจ้าคือผู้ใด เป็นคนของเผ่าแมงมุมซิวหลัวหรือ?” วานรยักษ์เปล่งเสียงอู้อี้ตะโกนด้วยเสียงเหี้ยมเอ่ยถาม
กลิ่นอายของหญิงสาวคล้ายคลึงกับเผ่าแมงมุมซิวหลัว แต่ในนั้นกลับมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยอีกอย่างแฝงอยู่ เมื่อย้อนคิดให้ละเอียด คาดไม่ถึงว่าจะคล้ายคลึงกับมัจฉาว่างเปล่าที่เพลิงสวรรค์
“น้องหญิงโง่เขลา เป็นเจ้าของเมืองแห่งนี้ เหล่าสหายเป็นคนที่มาจากต่างแดนสินะ ไม่ทราบว่าเผ่าของข้าไปล่วงเกินท่านที่ใด ถึงได้มาสังหารกันเช่นนี้ ไม่สู้มาคุยกันดีๆ จะดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะเปลี่ยนจากสงครามเป็นผ้าไหมได้”หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตกลอกตาสดใสไปมา หัวเราะคิกคักพลางเอ่ยกับหานลี่ ท่าทางเหมือนมองว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีท่าทีหวาดกลัวระดับมหายานเลยสักนิด
“เปลี่ยนจากสงครามเป็นผ้าไหม? นอกเสียจากเผ่าของเจ้าจะยอมมอบแกนผลึกของเผ่าให้ มิเช่นนั้นต่อให้ผู้แซ่หานยอมตกลง สหายคนอื่นก็ไม่มีทางตกลง” วานรยักษ์เอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีโลหิตหน้าเปลี่ยนสี ยามที่กำลังคิดจะเอ่ยอันใดนั้น มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวกลับร้องตะโกนใส่หญิงสาวที่อยู่ไกลออกไป
“อิงเอ๋อร์ เหตุใดต้องเสียเวลาพูดพล่ามกับพวกเขา พวกเขามาเพราะอิทธิฤทธิ์กฎเกณฑ์ของเผ่าเรา เจ้าตายก็คือวันตายของข้า ไม่มีทางเลิกราแน่ ยังไม่รีบลงมืออีก!”
มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวเห็นหญิงสาวปรากฏตัว ทันใดนั้นก็ไม่ได้กังวลใดๆ อีก น้ำเสียงมีแววโหดเหี้ยมปรากฏขึ้น
หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตได้ยินคำนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้าขึ้นมองสงครามอีกสองกลุ่มแวบหนึ่ง ถึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
“เดิมคิดจะยั้งมือไม่ทำสงคราม แต่ยามนี้ดูแล้วกลับเป็นไปได้ยาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าโทษที่น้องหญิงลงมืออย่างไร้ปรานีแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยมาจนถึงยามสุดท้าย แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยสีหน้าเย้ายวน แต่เสียงกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาจนเข้ากระดูก
หานลี่พลันสัมผัสได้ถึงอันตราย พลันใจหายวาบ แล้วขยับขาทั้งสองข้างอย่างไม่ต้องขบคิด ร่างกลายเป็นเงาลวงตาสายหนึ่งพุ่งไปด้านหลัง
แทบจะในเวลาเดียวกันรอบๆ หานลี่พลันมีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้น กรงเล็บยักษ์ข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วตะปบลงมาพร้อมกับไอสีโลหิตอย่างเงียบเชียบ โดยไม่มีเค้าลางมาก่อนเลยสักนิด
เห็นเพียงลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ จุดที่หานลี่ยืนอยู่แต่เดิมถูกหมอกโลหิตกลืนกินไป
จากนั้นพลันมีหมอกโลหิตปรากฏขึ้น แล้วม้วนวนอีกครั้ง หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตอีกคนปรากฏขึ้นด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
อิงเอ๋อร์ที่อยู่ในม่านลำแสงของเมืองศิลาในยามนี้กลับร่างกายเลือนราง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดหัวหมาป่าตัวเป็นหมีอยู่รอบด้าน
หานลี่พลันตกตะลึง!
วานรยักษ์ชี้นิ้วไปที่ฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งดีดออกมาจากปลายนิ้ว พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวยาวสิบจั้งเศษ แล้วเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง แล้วมาอยู่ตรงหน้าหญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตราวกับเคลื่อนย้ายก็ไม่ปาน วนล้อมรอบราวกับสายฟ้า
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
“อิงเอ๋อร์” ที่มีสายรุ้งสีเขียววนล้อมรอบอยู่ไม่เพียงไม่ได้ตกตะลึง กลับเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดให้หานลี่ ฝ่ามือขาวเนียนพลิกฝ่ามือ คาดไม่ถึงว่านิ้วทั้งห้าจะกางออกแล้วตะปบไปที่สายรุ้งสีเขียว
รูม่านตาของหานลี่พลันหดเล็กลง แต่ในใจพลันอดที่จะร่ายอาคมกระตุ้นอาคมกระบี่ไม่ได้
ชั่วขณะนั้นสายรุ้งสีเขียวพลันเปล่งแสงเย็นเยียบ ม้วนวนแล้วกลายเป็นมังกรวารีสีเขียวที่ดูสมจริง แยกเขี้ยวตะปบเล็บแล้วกระโจนออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลืนหญิงสาวเข้าไปในท้อง
แต่ครู่ต่อมาเสียง “ปัง” พลันดังสนั่นขึ้นออกมาจากร่างของวานรสีเขียว จากนั้นด้านในก็มีเส้นไหมสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนทะลวงออกมา พลางฉีกทึ้งมังกรวารีในพริบตา
หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตพลันเปล่งเสียงหัวเราะ คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวขึ้นในลำแสงสีโลหิตอีกครั้งลางๆ
หานลี่ที่กลายเป็นวานรยักษ์พลันร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ฝ่ามือที่มีขนปุกปุยพลันยกขึ้นแล้วตบออกไป
กลางอากาศไกลออกไปมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ฝ่ามือยักษ์ขนาดสองสามหมู่เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นกลางอากาศ และมีสายฟ้าสีทองพันรัดอยู่ พลางตบลงด้วยความเร็วปานสายฟ้า
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ สีทองสาดกระเซ็น พลังมหาศาลม้วนวนลงมาจนยากจะเหลือเชื่อ
แม้ว่าหญิงสาวจะมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อสัมผัสกับพลังมหาศาล ก็อดที่จะยิ้มค้างร่างกายแหลกสลายไม่ได้ ถูกสายฟ้าสีทองกลืนกินเข้าไป
เมื่อระลอกคลื่นหม่นแสงลง กลางอากาศจึงเหลือเพียงกระบี่เล่มเล็กสีเขียวที่หม่นหมองไร้สีสันเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันในเขตอาคมของเมืองศิลา สัตว์ประหลาดหัวหมาป่าตัวหมีเปล่งเสียง “ปัง” ดังขึ้น กลายเป็นหมอกโลหิตระเบิดออก
รอจนหมอกโลหิตเหล่านี้รวมตัวกัน หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีโลหิตปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม
หานลี่ที่เห็นทุกอย่างแววตาพลันฉายแววตกตะลึงออกมา วานรยักษ์กลับยกมือขึ้นกวักเรียกกระบี่เล่มเล็กที่อยู่ไกลออกไป
ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มเล็กพลันเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา แล้วพุ่งกลับมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมเข้าไปในฝ่ามือ
หานลี่พลันก้มหน้าลงมองแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เห็นเพียงกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาเล่มหนึ่ง ผิวมีลวดลายสีโลหิต ลำแสงสีเขียวอ่อนแสงลง ท่าทางสูญเสียชีวิตชีวาไป
แววตาของวานรยักษ์ฉายแวววาววับ สองมือถูไปที่กระบี่เล่มเล็ก ชั่วขณะนั้นเสียง “ปังๆ” พลันดังขึ้น หว่างนิ้วมีประจุไฟฟ้าสีทองพันรัดไปมา
เมื่อสายฟ้าทั้งหมดหม่นแสงลงอีกครั้ง กระบี่เล่มเล็กพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง รอยโลหิตที่ผิวพลันสลายหายไป ฟื้นฟูกลับมาเป็นสีเขียวสดใสอีกครั้ง
“เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาชั่วร้ายสายโลหิต มิน่าล่ะแม้แต่กระบี่บินประจำกายของผู้แซ่หานก็กล้าแปดเปื้อน” วานรยักษ์โยนกระบี่เล่มเล็กในมือออกไปแล้วอ้าปากออกดูดเข้ามาในร่างถึงได้มีสีหน้าเย็นชาแล้วเอ่ยออกไป
“สหายมีประสบการณ์มากมายนัก แม้แต่เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตก็รู้จัก ทว่าน้องหญิงเองก็คิดไม่ถึงว่า กระบี่บินประจำกายของนายท่านจะสร้างขึ้นจากไผ่อัสนีสีทอง มิเช่นนั้นคงไม่เสียเวลา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องหญิงก็จะใช้ฝีมือที่แท้จริงประลองกับสหาย” หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตเห็นกระบี่บินฟื้นฟูชีวิตชีวากลับมาได้อย่างง่ายดาย ก็หัวเราะน้อยๆ อย่างถึงบางอ้อ
“เยี่ยมมาก ผู้แซ่หานจะขอประสบการณ์จากเคล็ดวิชาวิญญาณสักหน่อย แต่ก่อนหน้านี้สหายอี้เองก็อย่าเกียจคร้านเลย ลงมือพร้อมกันเถิด” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา วานรยักษ์ร่ายอาคมด้วยมือทั้งสามพร้อมกัน แล้วชี้ไปที่กลางอากาศเหนือเมืองศิลา
หลังจากเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ยอดเขาที่เดิมลอยนิ่งอยู่กลางอากาศทั้งสามพลันหมุนคว้างทันใด แล้วขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดพันจั้งเศษ
ยอดเขาลูกหนึ่งปล่อยรัศมีลำแสงสีเทาออกมา แล้วรวมตัวกันกลายเป็นดั่งหนวดยักษ์สิบกว่าสายฟาดไปที่ม่านลำแสงด้านล่าง
ใต้ยอดเขาอีกลูกหนึ่งมีเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น กลางอากาศมีไอกระบี่ไร้รูปร่างจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น กลายเป็นตาข่ายกระบี่ยักษ์เข้าร่วมการต่อสู้
ยอดเขาสุดท้ายพลันมีผลึกลำแสงห้าสีเปล่งแสงเจิดจ้า วงแหวนลำแสงปรากฏขึ้น แล้วกดลงมาด้านล่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เขตอาคมในเมืองศิลาเปล่งแสงสว่างวาบทันใด แล้วร่อนลงมาอีกครั้ง
ชายชราแซ่อี้ที่อยู่เหนือเมืองเห็นฉากนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ยักไหล่เล็กน้อย คิดจะหยุดการซ่อมแซมแล้วรับมือกับเรื่องตรงหน้า
แต่ด้านข้างพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีโลหิตที่มีนามว่า “อิงเอ๋อร์” คาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวขึ้นด้านล่าง และยื่นมือเรียวข้างหนึ่งออกมาตบออกไป
ชายชราแซ่อี้พลันตกตะลึงย่อมคิดจะหลบหลีกตามจิตสำนึก แต่มือเรียวข้างนั้นพลันยื่นมาตรงหน้าทันที ชั่วครู่กลับกดไปที่ไหล่ของชายชราเพราะเหตุใดก็สุดจะรู้ได้ ลำแสงวิญญาณที่คุ้มครองร่างของเขาและการหลบหลีก คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลเลยสักนิด
ชายชราพลันตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ยามที่คิดจะเอ่ยอันใด แต่ฝ่ามือหยกที่หัวไหล่กลับมีลำแสงสีเขียวเจิดจ้า ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นโล่ผลึกโปร่งใส ในเวลาเดียวกันพลังกฎเกณฑ์ที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ข้างใน
สถานการณ์ที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
แขนไม่สมบูรณ์และกายท่อนล่างของชายชราที่มีเส้นไหมโลหิตปกคลุม ผิวแค่บิดเบี้ยวเลือนราง ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของพลังแห่งกฎเกณฑ์ ฉับพลันนั้นพลันมีลำแสงสีดำเขียวหมุนวน แค่เลือนราง ก็ไม่ต่างอันใดกับความเสียหายก่อนหน้า
ยามนี้หญิงสาวถึงได้ฉีกยิ้มแล้วย้ายมือออกจากไหล่ของชายชรา
“วิญญาณย้อนจันทรา”
หานลี่ที่เห็นฉากนี้พลันตกตะลึง อดที่จะร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้งไม่ได้
นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาประเภทร่างนิพพานอันใด แต่เป็นการควบคุมเวลาที่แท้จริง ถึงได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ในตำนานออกมาได้
ชายชราแซ่อี้ที่เห็นทุกอย่างย่อมดีอกดีใจ หลังจากหันหน้ามาก็เอ่ยถามหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น
“สหายอิง หรือว่าเจ้าเรียนรู้สิ่งนั้นสำเร็จแล้ว!”…