บทที่ 1068 มาเพื่อแก้แค้น
บทที่ 1068 มาเพื่อแก้แค้น
“เจ้าน่าจะมีสมบัติเซียนระดับวิญญาณทมิฬ ทำไมถึงไม่ใช้เล่า?”
เฉินซีเอ่ยถาม การที่เหยียนผิงเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ก่อน ทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย
“ข้าได้รับการชี้แนะมากพอแล้ว นอกจากนี้ นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง ไพ่ตายของข้าคือสมบัติอมตะ ถ้าไม่ใช่การต่อสู้จนตัวตาย ข้าก็จะไม่ใช้”
คำตอบของเหยียนผิงเรียบง่าย เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน ประสานมือให้ “ถึงแม้ข้าจะแพ้ ข้าก็ตระหนักได้ถึงโอกาสในความก้าวหน้า ข้าจะมาสู้กับเจ้าอีกในภายหลัง”
เฉินซีพยักหน้า และครุ่นคิดเงียบ ๆ
คำตอบของเหยียนผิงทำให้เขาตระหนักได้ว่า เทียบอันดับเซียนทะยานฟ้ามันก็เป็นแค่เทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับความเป็นความตายอย่างแท้จริง
บางคนให้ความสำคัญกับอันดับเป็นอย่างมาก พวกเขายอมทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อให้ได้อันดับที่สูงขึ้น ส่วนคนอื่นที่ให้ความสำคัญกับอันดับน้อย ก็มาที่นี่เพื่อขัดเกลาฝีมือเท่านั้น ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเผยไพ่ตายที่แท้จริงแต่อย่างใด
คนอย่างเหยียนผิง จัดว่าอยู่กลุ่มหลัง
คำตอบของเหยียนผิง ทำให้ทุกคนรอบสนามประลองตกตะลึงเล็กน้อย แต่พวกเขายังไม่สามารถคาดเดาได้ อยู่ดี ๆ เหตุใดเหยียนผิงถึงเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้เสียก่อน
…มีเพียงเฉินซีที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า หากยังดำเนินต่อไป เหยียนผิงย่อมไม่สามารถเอาชนะเขาได้แน่ เพราะเฉินซีได้บ่มเพาะพลังดวงใจจนบรรลุขอบเขตวิญญาณดวงใจไปแล้ว หากวัดที่ความอดทนในการต่อสู้ เหยียนผิงย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน
แท้ที่จริง ขอบเขตของการบ่มเพาะดวงใจนี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับ คือระดับปราณดวงใจ แก่นดวงใจ วิญญาณดวงใจ และทารกดวงใจ ในภพมนุษย์ผู้บ่มเพาะที่สามารถมาถึงระดับแก่นดวงใจได้ มีจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น
เช่นเดียวกับในภพเซียน พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ‘แก่นดวงใจ’ น้อยคนนักที่จะสามารถทำความเข้าใจ ‘ขอบเขตวิญญาณดวงใจ’ ได้
ส่วนขอบเขตทารกดวงใจนั้น คือระดับของการบ่มเพาะดวงใจในตำนาน แม้กระทั่งเซียนปราชญ์ก็อาจจะไม่สามารถทำการบ่มเพาะได้
เหยียนผิงอาจจะรู้เรื่องนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงตัดใจอย่างเด็ดขาด
หลังจากนั้น ร่างของเหยียนผิงพลันวูบไหว ก่อนออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไป
เมื่อเห็นเหยียนผิงจากไป ผู้คนรอบข้างก็ตื่นจากภวังค์ พวกเขาตกตะลึงเล็กน้อยขณะมองร่างสูงโปร่งของเฉินซีบนสนามประลอง
การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เฉินซีที่มีการบ่มเพาะอยู่ในระดับเซียนสวรรค์ขั้นต้น กลับสามารถเอาชนะเหยียนผิงผู้อยู่อันดับหนึ่งร้อยเก้าสิบสามบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปได้ กล่าวได้ว่าเป็นการทำลายความรู้ความเข้าใจของผู้คนอย่างสิ้นเชิง
ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจ ข่าวลือทั้งหมดกลายเป็นความจริง ด้วยพละกำลังของเฉินซี ย่อมมากพอที่จะก้าวข้ามระดับที่สูงกว่าจนสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเซียนลึกล้ำขั้นต้นได้!
ผู้โห่ร้องที่หวังให้เฉินซีแพ้ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของอินเหมียวเมี่ยว ต่างหน้าบางกับความจริงอันน่าตกตะลึงนี้
“ข้าขอตัวก่อน ไว้มาสู้กันใหม่”
เฉินซีหันศีรษะ ก่อนส่งสัญญาณให้เหลียงเจิ้น เขาคว้าโอกาสที่จะก้าวหน้าไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้อีกต่อไป ประกอบกับเพิ่งสู้กับเหยียนผิงมาเมื่อครู่ ทำให้เขาใช้แรงไปมาก หากรับคำท้าอีก ย่อมพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรตอนนี้ในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ เขาไม่มีต้นอ่อนเงาทมิฬให้การสนับสนุน
เหลียงเจิ้นพยักหน้า “ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ไปทวงหนี้กับตระกูลอิน”
เหลียงเลี่ยงหัวเราะ “คุณชายเฉินซีเร่งมือเข้า ออกจากที่นี่พร้อมกับพวกข้า หลังจากเจ้าเข้าสู่ระดับต่อไป พวกเราจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ในระดับที่สูงขึ้นได้ อันดับบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปก็จะก้าวกระโดดอย่างแน่นอน”
เฉินซีพยักหน้าแล้วกำลังจะจากไป แต่ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนดังลั่นมาจากระยะไกล “ใครคือเฉินซี ออกมาเดี๋ยวนี้!”
ผู้ชมตกอยู่ในความโกลาหล
สายตาทุกคู่จับจ้องไปไกล ก่อนจะพบร่างหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาในท่าทีคุกคาม เป็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำในชุดสีดำ สีหน้าเคร่งขรึม ช่างละม้ายคล้ายกับอินว่านเฟิงอย่างยิ่ง
เพียงแต่กลิ่นอายของชายหนุ่มชุดดำคนนี้แข็งแกร่งกว่ามาก ขณะทะยานเข้ามา สายลมและหมู่เมฆปั่นป่วน ทำให้บินได้ดังใจต้องการ เปี่ยมด้วยความอวดดีสุดประมาณ ดูสะดุดตายิ่งนัก
“อินหว่านซวิน!”
ใครบางคนอุทาน จำตัวตนของคนผู้นั้นได้ทันที
“เป็นอินหว่านซวินผู้อยู่อันดับหนึ่งร้อยห้าสิบสี่นี่เอง เขาอาจจะมาแก้แค้นให้กับอินว่านเฟิงผู้เป็นน้องชายก็ได้”
เมื่อทุกคนจำเขาได้ ก็คาดเดาถึงเป้าหมายของอีกฝ่ายได้ทันที
มันช่างเรียบง่ายนัก เมื่อครู่อินว่านเฟิงเดือดดาลจนออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไป ตอนนี้อินหว่านซวินผู้เป็นพี่ชายมาเอง เห็นได้ชัดว่ามาแก้แค้น
“อินหว่านซวินผู้นี้คือพี่ชายของอินว่านเฟิง เขาเพิ่งทำการด่านสวรรค์ลี้ลับและด่านแห่งปฐพีของด่านไตรวิญญาณได้ เขาผ่านได้สองขั้น ตอนนี้ครอบครองรากฐานการบ่มเพาะขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง เป็นคนที่เจ้าอารมณ์และโหดเหี้ยมมาก”
เสียงของเหลียงเลี่ยงลอยเข้าหู เฉินซีเข้าใจตัวตนและจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที
ในตอนนี้ อินหว่านซวินยืนอยู่หน้าสนามประลอง เขาเงยหน้ามองป้ายสามผืนที่แขวนอยู่กลางอากาศ ใบหน้ามีร่องรอยความเย็นชาและโหดเหี้ยม
หลังจากนั้น สายตาของเขาจับจ้องเฉินซีที่อยู่บนสนามประลอง มันเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร
แต่คาดไม่ถึง อินหว่านซวินไม่ได้กระทำการบุ่มบ่าม เขาตรงไปหาเหลียงเจิ้น “ข้าต้องจ่ายศิลาอมตะหนึ่งหมื่นก้อนใช่หรือไม่? มา เขียนสัญญาหนี้ให้ข้าที!”
น้ำเสียงของเขาทั้งดุดันและเฉยชา เปี่ยมด้วยการเย้ยหยัน
เหลียงเจิ้นขมวดคิ้ว กล่าวเสียงเบา “วันนี้จบแล้ว ค่อยกลับมาวันอื่นเถิด”
“โอ้?”
สีหน้าของอินหว่านซวินเฉยชายิ่งขึ้น เขาชำเลืองมองเฉินซีที่อยู่บนสนามประลอง ก่อนเอื้อมมือออกไปฉีกป้ายทั้งสามผืนที่เกิดจากปราณเซียนพิสุทธิ์เหนือสนามประลองเป็นชิ้น ๆ จนแสงสว่างกระจายออกไป
ทุกคนตกตะลึง หมอนี่รุนแรงไร้ยางอายอย่างที่ลือกันจริงด้วย
เหลียงเจิ้นที่ยังคงแสดงท่าทีองอาจและเย็นชา เขาชำเลืองมองแล้วถามว่า “อยากถูกทุบตีขนาดนั้นเชียวหรือ?”
อินหว่านซวินยิ้มชั่วร้าย เผยฟันสีขาวราวหิมะเต็มปาก สายตาจับจ้องเหลียงเจิ้นอย่างเย็นชา “อย่ายั่วโมโหข้า ไม่งั้นข้าจะทำให้ชีวิตของเจ้าอยู่ไม่สู้ตาย!”
“เจ้าโง่ การทุบตีเกี่ยวอะไรกับการยั่วโมโหเจ้าด้วย?”
เหลียงเจิ้นส่ายหน้า เผยสีหน้าเย้ยหยันออกมา
“ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าเขียนสัญญาหนี้ให้ แล้วค่อยทำการท้าทายเขาวันอื่น” เหลียงเลี่ยงจัดแจงอยู่ด้านข้าง “การแก้แค้นรั้งรอไม่ได้ ข้าพอจะเข้าใจอยู่”
เมื่อได้ยินคู่แปลกประหลาดนี้เริ่มยั่วโมโหกันอีกครั้ง ทุกคนในพื้นที่ปิดปากเงียบสนิท สองคนนี้ไม่เคยกลัวใครเลยจริง ๆ
คาดไม่ถึง อินหว่านซวินกลับไม่โกรธ เขาเพียงมองเหลียงเลี่ยงด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นมองเฉินซีที่อยู่บนสนามประลอง ก่อนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ทำตามกฎของเจ้าก็แล้วกัน”
เหลียงเจิ้นตกตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะคุยง่ายปานนี้ เขาไม่รอช้า หยิบผลึกวิญญาณแสงลอยออกมา ขอให้อีกฝ่ายประทับมือลงไป “รอสักครู่ เมื่อการประลองเริ่มขึ้นอีกครั้ง เจ้าค่อยกลับมา พวกข้าไม่มีบริการแจ้งเตือนนะ”
อินหว่านซวินเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรออยู่ที่นี่ เว้นแต่เจ้าจะไม่มา”
เมื่อกล่าวจบ เขาเงยหน้าขึ้น มองเฉินซีผู้อยู่บนสนามประลอง “เจ้าหนุ่ม ครั้งหน้าที่เจ้ามา ข้าจะระเบิดวิญญาณของเจ้า ทำให้เจ้ากลายเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง ระวังตัวไว้ให้ดี!”
เขาไม่ปกปิดความคิดแต่อย่างใด นั่นเป็นการพิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่า มีความมั่นใจเรื่องที่จะเอาชนะเฉินซีมากเพียงใด!
ทุกคนลอบเดาะลิ้น
เมื่อเห็นดังนี้ เฉินซีเพียงยิ้มเจื่อนออกมา “กลายเป็นไอ้โง่เพราะถูกระเบิดวิญญาณหรือ? เป็นความคิดที่วิเศษมาก”
หลังจากนั้น เฉินซีออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไป
อินหว่านซวินเผยรอยยิ้มเย็นชา จากนั้นนั่งขัดสมาธิกับพื้น เมินเฉยสายตาประหลาดใจรอบข้าง ก่อนหลับตาทำการบ่มเพาะ ราวกับต้องการรอเฉินซีอยู่ที่นี่ตลอดไป
เหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยงมองหน้ากัน ก่อนออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไปเช่นกัน
เมื่อเห็นดังนี้ คนรอบข้างส่วนใหญ่ต่างแยกย้าย ครุ่นคิดว่าสิ่งที่เห็นในวันนี้ ยากที่จะสะกดความตื่นเต้นเอาไว้ได้ ก่อนออกจากดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไปคนแล้วคนเล่า
เป็นไปดังคาด ภายในหนึ่งวัน การดวลในวันนี้ระหว่างเฉินซีและเหยียนผิง ทำให้ทวีปทักษิณาคึกคักอีกครั้ง ส่วนการต่อสู้ล้างแค้นของอินหว่านซวิน ก็แพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“ฝีมือของเด็กคนนั้นยอดเยี่ยมนัก หากเขากลับมาในรอบนี้ เกรงว่าการบ่มเพาะจะต้องพัฒนาอย่างแน่นอน” ไกลออกไป ชายในชุดคลุมสีเขียวเข้ม เส้นผมมัดไว้ด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ตรงข้ามเขา หญิงสาวในชุดสีแดงร้อนแรง สีหน้าภาคภูมิใจให้ความรู้สึกถึงอำนาจ เป็นอินเฟิงเอ๋อร์ผู้อยู่อันดับสิบเอ็ดนั่นเอง
“ก้าวหน้าอย่างนั้นหรือ?”
อินเฟิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเหยียดหยัน “ก่อนหน้านี้ลูกพี่ลูกน้องหว่านซวินก็ก้าวหน้า จนอยู่อันดับที่หนึ่งร้อยห้าสิบสี่ และอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ตามที่พี่สาวของข้าว่ามา เขามีศักยภาพที่จะติดหนึ่งร้อยอันดับแรก หากเจอกับเจ้าหนูนั่น ไม่เท่ากับรังแกเด็กน้อยหรือ?”
หลินเส้าฉีตกตะลึง ก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “พอพูดอย่างนั้น ข้าก็โล่งใจขึ้นมาเลย แต่ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา คุณหนูเฟิงเอ๋อร์โปรดบอกข้ามาตามตรง ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าหนูนั่นได้ แต่ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะลงมือ”
“ไม่ต้อง เจ้าหนูน้อยนั่นไม่ควรค่าให้เจ้าลงมือหรอก”
อินเฟิงเอ๋อร์ชำเลืองมองหลินเส้าฉี แม้นางจะอวดดี แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นนางย่อมเข้าใจ ว่าเหตุผลที่ทำไมหลินเส้าฉีมาอยู่รอบตัวนางในช่วงนี้ ก็เพื่อเข้าตระกูลอิน แล้วแสวงหาโอกาสในการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้น
ถึงอย่างไร แม้เขาจะมาจากตระกูลขนาดเล็กธรรมดา แต่สามารถติดอันดับที่สิบหกบนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ถ้าอยากก้าวหน้ามากกว่านี้ ก็จำต้องได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังใหญ่
แน่นอนว่า อินเฟิงเอ๋อร์ไม่ปฏิเสธอีกฝ่ายเช่นกัน หากคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมอย่างหลินเส้าฉีมาเข้าตระกูลอิน แน่นอนว่าตระกูลอินไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
“เฮ้อ น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย”
อีกด้าน หลัวจื่อเฟิงผู้หล่อเหลา สวมชุดผ้าขนสีน้ำตาลส่ายหน้าก่อนถอนหายใจออกมา
“น่าเสียดายจริง ๆ ชายหนุ่มมีพรสวรรค์มากขนาดนั้น กลับถูกตระกูลเหลียงช่วงชิงไป ข้าไม่รู้เลยว่าตระกูลเหลียงให้สัญญาอะไรเอาไว้” กู่อวี่ถังกล่าว
หลัวจื่อเฟิงชำเลืองมองอีกฝ่าย เผยรอยยิ้มเล็กน้อย “พี่กู่พูดอะไรอย่างนั้น ข้าได้ยินมาว่า หัวหน้าตระกูลของเจ้ามาด้วยตัวเอง เพื่อรับเจียงจูหลิวเป็นบุตรบุญธรรมใช่หรือไม่?”
กู่อวี่ถังตกตะลึง ก่อนถามกลับอย่างสงบว่า “อ๋อ เท่าที่ข้าได้ยินมา ตระกูลหลัวกำลังติดต่อหวังโย่วหยาผู้อยู่อันดับห้า เซวียนเหวินหลงผู้อยู่อันดับเจ็ด และสุ่ยเหลียนถิงผู้อยู่อันดับสิบใช่หรือไม่?”
หลัวจื่อเฟิงหรี่ตา กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นร่างหนึ่งพุ่งมาหาเขาอย่างแตกตื่น เสียงมาถึงก่อนตัวเสียอีก
“คุณชาย! เมื่อครู่นี้ ในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ชั้นบน เหลียงเริ่นผู้อยู่อันดับสามพ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยวผู้อยู่อันดับสี่!”
“ว่าอย่างไรนะ!?”
หลัวจื่อเฟิงและกู่อวี่ถังตกตะลึง