ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 241 ใครก็ตามที่ก่ออาชญากรรมจะต้องติดคุก

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 241 ใครก็ตามที่ก่ออาชญากรรมจะต้องติดคุก

ตอนที่ 241 ใครก็ตามที่ก่ออาชญากรรมจะต้องติดคุก

หลินเซี่ยยืนตัวตรง แม้เธอจะเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่ทุกคำพูดที่เปล่งออกมานั้นดังและทรงพลังมาก บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ใจจากเนื้อแท้

เมื่อผู้เฒ่าเฉินได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของเธอ ใบหน้าที่มีรอยย่นของเขาก็น่าเกลียดมาก

คนหนึ่งต้องติดคุก…

ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูลเฉินเลยหรือไง?

เฉินเจียซิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา “จะวิ่งโร่ไปแจ้งตำรวจก็เอาเลย แจ้งความซะให้พอใจ ถ้าเสี่ยวเหมยใส่ร้ายเธอจริง ๆ ฉันจะเป็นคนส่งเมียฉันเข้าคุก แต่ถ้าเธอเป็นคนทำร้ายลูกฉัน ฉันจะไม่มีวันรามือกับเธอง่าย ๆ แน่ ฉันจะทำให้เธอต้องเข้าคุกให้ได้ แล้วบอกให้พี่ใหญ่หย่ากับเธอซะ”

เสิ่นเสี่ยวเหมยซึ่งนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลตกใจกับสิ่งที่หลินเซี่ยพูดไม่พอ ยังตื่นตะลึงกับสิ่งที่เฉินเจียซิ่งพูดอีก หล่อนจ้องมองอย่างโกรธเคืองไปที่เฉินเจียซิ่งผู้ไม่เอาไหน จากนั้นก็มองไปทางถังหลิงโดยไม่รู้ตัว

เฉินเจียซิ่ง คนงี่เง่าคนนี้อาจเป็นคนที่ส่งหล่อนเข้าคุกจริง ๆ

ถังหลิงทำหน้าที่เป็นผู้รักษาสันติภาพอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้เองหล่อนก็หันไปเกลี้ยกล่อมเฉินเจียซิ่ง “เจียซิ่ง ปล่อยหล่อนไปเถอะ ให้ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการเรื่องนี้ดีกว่า เราทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าเรื่องไปถึงมือเจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่มีฝ่ายไหนพอใจแน่ ตระกูลเฉินและตระกูลเสิ่นต่างก็เป็นบุคคลที่น่านับหน้าถือตา ลูกหลานอย่างเธอต้องคำนึงถึงใบหน้าของครอบครัวด้วย”

ถังหลิงพูดแบบนั้นแล้วก็มองไปทางผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ

แน่นอนว่าทั้งผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเสิ่นต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อได้ยินคำว่าเรื่องนี้ต้องถึงมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ

คำพูดของหล่อนทำให้อารมณ์ของหลินเซี่ยยิ่งลุกเป็นไฟ

อีกฝ่ายกำลังหลอกด่าทางอ้อมว่าการแจ้งตำรวจถือเป็นการไม่เห็นแก่หน้าตาของครอบครัว

หลินเซี่ยหรือจะยอมให้หล่อนหยิบยกเหตุผลทางศีลธรรมมาอ้าง “คุณถัง คุณเข้าใจผิดแล้ว ไม่ว่าฉันจะเป็นฝ่ายประมาทจนทำให้เด็กในท้องของหล่อนตาย หรือเป็นเสิ่นเสี่ยวเหมยที่ใส่ร้ายฉัน ทั้งสองกรณีต่างก็เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งคู่ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายก็ควรให้เรื่องถึงมือตำรวจน่ะถูกแล้ว ส่วนข้ออ้างเรื่องชื่อเสียงของครอบครัว ฉันคิดว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายก็คงอยากจะค้นหาความจริง และกำจัดขยะของตระกูลเฉินทิ้งไปเต็มที ใครก็ตามที่ก่ออาชญากรรมจะต้องติดคุก คุณปู่เป็นทหาร เขาเป็นคนซื่อสัตย์และไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีทางปกป้องอาชญากรแน่”

หลังจากหลินเซี่ยพูดจบ เธอก็มองไปที่เซี่ยไห่ “เถ้าแก่เซี่ย ช่วยส่งฉันไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความเรื่องนี้ด้วยค่ะ”บราวนี่ออนไลน์

ทันทีที่หลินเซี่ยพูดจบ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็จับท้องของตัวเองและกรีดร้องว่า

“ฉันปวดท้องเหลือเกิน… เวียนหัวจะตายอยู่แล้ว”

ถังหลิงรีบพูดกับเฉินเจียซิ่งทันที “เจียซิ่ง เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าเสี่ยวเหมยหน้าซีดมาก ปล่อยให้หล่อนนอนพักสักหน่อยเถอะ”

พยาบาลรีบเดินพรวดพราดเข้ามาในวอร์ดแล้วตะโกนว่า “ขอความร่วมมือญาติคนไข้อย่าเข้าเยี่ยมมากจนเกินไปค่ะ ควรมีคนดูแลแค่สองสามคนก็พอแล้ว ที่เหลือเชิญกลับไปก่อนค่ะ”

ผู้เฒ่าเฉินหน้าตาเคร่งขรึม พูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย กลับบ้านกับพวกเราเถอะ”

ถึงแม้หลินเซี่ยจะยืนกรานว่าเธอจะไปแจ้งความให้ได้ แต่ผู้เฒ่าเสิ่นก็ยังรู้สึกว่าเธอเป็นผู้ร้ายปากแข็ง เขารู้ดีว่าตระกูลเฉินคงไม่ยอมปล่อยให้เธอไปขึ้นโรงพักง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายแจ้งความเอง

เขาเตือนผู้เฒ่าเฉินด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เหล่าเฉิน ตระกูลเฉินของคุณต้องอธิบายข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ตระกูลเสิ่นของเราเข้าใจอย่างชัดเจน นับตั้งแต่หลานสาวของผมแต่งงานเข้าตระกูลคุณ หล่อนต้องทนทุกข์ทรมานมากี่ครั้งแล้ว? ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นไม่ปรานีแม้แต่เด็กในท้องหล่อนด้วยซ้ำ พวกเราไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่”

หลินเซี่ยมองผู้เฒ่าเสิ่น การแสดงออกฉายชัดซึ่งความเย็นชาและแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน “ผู้เฒ่าเสิ่น รอจนกว่าผลการสืบสวนจะออกมาอย่างชัดเจนก่อนแล้วค่อยหาข้อสรุปก็ยังไม่สายนะคะ ฉัน หลินเซี่ย จะไม่ยอมรับความผิดอันมิชอบนี้โดยเด็ดขาด”

“ผู้เฒ่าเสิ่น ไม่ต้องกังวล ครอบครัวเฉินของเราจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังแน่” ผู้เฒ่าเฉินบอก

หลังจากนั้นพวกเขาก็บอกให้หลินเซี่ยติดตามกลับไป

“คุณปู่ ฉันขอไปแจ้งความก่อนค่ะ”

“แจ้งความให้มันได้อะไรขึ้นมา? กลับบ้านกันก่อนเถอะ”

ผู้เฒ่าทั้งสองคนของตระกูลเฉินยืนยันจะพาหลินเซี่ยกลับไปยังชุมชนบ้านพักทหาร เซี่ยไห่กังวลมากและต้องการติดตามไป แต่ผู้เฒ่าเฉินบอกว่านี่เป็นเรื่องภายในครอบครัว จึงไม่ต้องการให้เซี่ยไห่เข้าไปยุ่ง

เซี่ยไห่มองไปที่ผู้เฒ่าทั้งสอง ต้องการจะห้ามปราม แต่หลินเซี่ยพูดว่า “เถ้าแก่เซี่ย กลับไปเถอะค่ะ คุณปู่คุณย่าของฉันเป็นคนมีเหตุผลมากพอ พวกเขาต้องแยกแยะออกระหว่างถูกและผิด”

เซี่ยไห่ทำได้แค่เฝ้าดูหลินเซี่ยก้าวเข้าไปในรถของผู้เฒ่าเฉิน

เขารีบโทรไปที่โรงงานยานยนต์เพื่อตามหาเฉินเจียเหอ

เมื่อผู้เฒ่าสองคนของตระกูลเฉินพาหลินเซี่ยกลับไปถึงบ้าน เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงก็บังเอิญเพิ่งกลับมาหลังจากเลิกงานพอดี เฉินเจียวั่งก็อยู่ที่บ้านเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของผู้เฒ่าเฉินค่อนข้างย่ำแย่ ทุกคนก็สับสนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งคุณย่าเฉินเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงก็เป็นกังวลมากเมื่อได้ยินว่าเด็กในท้องของเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่รอด

“พวกเราไปโรงพยาบาลกันก่อนดีกว่า”

“เจียซิ่งกับถังหลิงอยู่กับหล่อนที่นั่นแล้ว ไว้พวกเธอค่อยตามไปทีหลังก็ได้ นั่งลงก่อนเถอะ”

เฉินเจียเหอเคลื่อนไหวเร็วมาก ทันทีที่ผู้เฒ่าเฉินและคนอื่น ๆ กลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน รถของเซี่ยไห่ก็ขับกลับมาส่งเขาถึงหน้าบ้าน

ทันทีที่เขาเดินผ่านประตูเข้าไป เขาเห็นทั้งครอบครัวนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงแม้ตัวเขาจะยังสวมชุดทำงานที่มีรอยเปื้อนน้ำมันเครื่องอยู่ แต่ก็รีบเดินตรงไปหาหลินเซี่ยและถามเบา ๆ “คุณเป็นอะไรไหม?”

หลินเซี่ยส่ายหัว

“ในเมื่อทุกคนมาครบหมดแล้ว ก็นั่งลงฟังไปพร้อมกันเลย”

ผู้เฒ่าเฉินมองดูหลินเซี่ยอย่างจริงจัง และถามว่า “เซี่ยเซี่ย บอกฉันมาตามตรง เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่? เธอเป็นคนทำให้เสี่ยวเหมยสะดุดล้มอย่างที่พวกเขาพูดจริงหรือเปล่า?”

ก่อนที่หลินเซี่ยจะทันได้พูดอะไร เฉินเจียเหอก็รีบพูดปกป้องเธอทันที “คุณปู่ เซี่ยเซี่ยไม่ใช่คนแบบนั้น ในฐานะที่ปู่เป็นผู้อาวุโส อย่าเอาแต่ตั้งข้อสงสัยแบบเดาสุ่มสิครับ ถ้าในครอบครัวยังไม่มีแม้แต่ความไว้วางใจขั้นพื้นฐาน แบบนี้ลูกหลานจะหวังพึ่งใคร”

“ฉันแค่อยากรู้รายละเอียดคร่าว ๆ ของเหตุการณ์เมื่อเช้า ฉันเชื่อมั่นในอุปนิสัยของเซี่ยเซี่ยอยู่แล้ว แต่… บางทีเธออาจจะเผลอทำลงไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้?” ผู้เฒ่าเฉินว่าแล้วก็มองไปทางหลินเซี่ยราวกับจะตั้งคำถาม

ชายชราอยากเชื่อเหลือเกินว่าหลินเซี่ยพลั้งมือทำอะไรแบบนั้นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ มากกว่าจะได้ยินว่าหลานสะใภ้หนึ่งในสองคนของครอบครัวจะมีจิตใจเสื่อมทรามทางศีลธรรม และหันมาทำร้ายกันเอง

อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของหลินเซี่ยนั้นมั่นคงมาก

“คุณปู่ ฉันไม่ได้ทำจริง ๆ ค่ะ ฉันเล่าให้คุณฟังแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล เสิ่นเสี่ยวเหมยกับฉันไม่เคยติดต่อกันเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง แต่วันนี้จู่ ๆ หล่อนก็มาที่ร้านของฉันด้วยทัศนคติที่กระตือรือร้นมาก และใจเย็นผิดปกติ ลูกค้าในร้านรวมถึงพนักงานทุกคนในเวลานั้นสามารถเป็นพยานได้”

หลินเซี่ยมองไปที่ทุกคนและพูดต่อ “ฉันบอกหล่อนไปตรง ๆ ว่าให้ตายยังไงก็จะไม่ตัดผมให้หล่อนเด็ดขาด แต่หล่อนก็ไม่ยอมออกไปง่าย ๆ ตั้งหน้ารอต่อคิวอยู่ในร้าน พอฉันออกปากบอกให้หล่อนออกไปซะ หล่อนก็ล้มลงตรงหน้าฉันโดยไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เธอได้แตะต้องหล่อนหรือเปล่า?” โจวลี่หรงถาม

“ฉันไม่ได้แตะต้องหล่อนเลยสักนิด หล่อนล้มลงไปเอง ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นไม่ทันไรก็มีเลือดเปรอะเต็มกางเกงเสียแล้ว”

ยิ่งหลินเซี่ยคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าอาการเลือดออกนั้นดูผิดปกติ

ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป ต่อให้ใครก็ตามจะล้มและมีเลือดออก เลือดจะไม่ไหลทะลักออกมาและทำให้กางเกงเปื้อนทันทีที่ร่างกระแทกพื้น เว้นแต่จะมีบาดแผลเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว

เฉินเจียวั่งได้ยินคำอธิบายของหลินเซี่ย ก็พูดเสริมว่า

“จู่ ๆ พี่สะใภ้รองก็ไปที่ร้านพี่สะใภ้ใหญ่ ลำพังเหตุการณ์นี้ก็ผิดปกติอยู่แล้ว พวกหล่อนสองคนแทบจะเข้าหน้ากันไม่ติด คนอย่างพี่สะใภ้รองหรือจะเป็นฝ่ายอยากไปตัดผมกับพี่สะใภ้ใหญ่ก่อน? ขนาดก่อนหน้านี้พี่สะใภ้ใหญ่ตัดผมให้พี่รอง หล่อนยังเอาแต่ดุด่าเหน็บแนมเขาแทบแย่ เรื่องนี้มันทะแม่งจริง ๆ หล่อนต้องมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แน่”

เฉินเจียเหอได้ยินการวิเคราะห์ของน้องชายคนที่สาม ก็หัวเราะเยาะ “เซี่ยเซี่ยปฏิเสธที่จะตัดผมให้ แต่หล่อนก็ยังไม่ยอมออกจากร้านไปดี ๆ นี่ไม่ใช่นิสัยของเสิ่นเสี่ยวเหมยเลย”

เขามองดูผู้เฒ่าทั้งสองด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“คุณปู่ คุณย่า พ่อ แม่ ผมจะตรวจสอบมูลเหตุของเรื่องนี้อย่างละเอียด อย่าเพิ่งรีบตัดสินเซี่ยเซี่ย ไว้ผมจะให้คำอธิบายกับพวกคุณทันทีที่รู้ความจริง”

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของเฉินเจียเหอและเฉินเจียวั่ง ทุกคนก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล

ข้อที่ว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะไปที่ร้านตัดผมของหลินเซี่ยเพื่อตัดผมนั้นแปลกในตัวของมันเองจริง

แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่เสิ่นเสี่ยวเหมยจะยอมเสี่ยงเพื่อแลกกับชีวิตเด็กในท้อง

หล่อนจะสิ้นคิดถึงขั้นใช้เด็กในท้องใส่ร้ายหลินเซี่ยเชียวเหรอ?

เฉินเจิ้นเจียงตัดบทว่า “เอาล่ะ พวกเราไปโรงพยาบาลกันก่อนเถอะ”

เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย และพวกเขาก็รู้สึกผิดหวังในใจอย่างสุดจะพรรณนา

หลานที่พวกเขารอคอยมาจากไปทั้งคน ลูกสะใภ้ทั้งสองก็เริ่มกล่าวโทษกันเอง

ทั้งสองจึงออกไปยังโรงพยาบาล

แม้ว่าใบหน้าของผู้เฒ่าตระกูลเฉินทั้งสองจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเชื่อจากก้นบึ้งของหัวใจว่าหลินเซี่ยไม่ใช่คนเลวร้าย

เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ

ถ้ายึดตามที่หลินเซี่ยพูด หากเสิ่นเสี่ยวเหมยจงใจเข้าไปที่ร้านของเธอจริง ผู้หญิงคนนั้นจะยอมสังเวยเด็กในท้องเพื่อใส่ร้ายเธอเชียวเหรอ?

ต้องมีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ ๆ

คู่สามีภรรยาสูงอายุออกไปข้างนอกทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที จึงกลับเข้าไปพักผ่อนในห้อง

ก่อนที่ผู้เฒ่าเฉินจะกลับเข้าห้อง เขามองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดว่า “เซี่ยเซี่ย พวกเราเชื่อในนิสัยของเธอ เราควรแก้ไขปัญหานี้กันเองภายในครอบครัวก่อน อย่าเพิ่งแจ้งตำรวจ จะทำให้คนอื่นหัวเราะเอาได้”

“คุณปู่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะวิเคราะห์กันเองค่ะ ต่อให้ไม่ได้อะไรเลยก็ยังไม่สายเกินไปที่จะแจ้งความตำรวจ”

ผู้เฒ่าทั้งสองไม่พูดอะไรอีก เดินหายเข้าไปในห้อง หลินเซี่ยหันไปถามเฉินเจียเหอ

“หู่จือล่ะคะ?”

“ไม่ต้องห่วง เซี่ยไห่ไปรับเขาแล้ว”

เฉินเจียเหอพาหลินเซี่ยขึ้นไปชั้นบน แล้วเรียกเฉินเจียวั่งให้มาด้วยกัน “เจียวั่ง เข้ามาเถอะ เราสามคนจะช่วยกันวิเคราะห์มันด้วยกัน”

เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ปู่ย่าของเขาค่อนข้างเอนเอียงไปทางเสิ่นเสี่ยวเหมย

เป็นธรรมดาที่คนเรามักจะเห็นใจผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ

ที่สำคัญคือเสิ่นเสี่ยวเหมยกำลังตั้งท้องเหลนคนแรกของพวกเขา

มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเด็ก อีกทั้งทุกอย่างก็เกิดขึ้นในร้านหลินเซี่ย ต่อให้มันจะไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่นั่นก็ก่อให้เกิดปัญหามากมายตามมาไม่จบสิ้น

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เสแสร้งเก่งจริงนะยัยถังขยะ ระวังตัวเองไว้เถอะ อีกหน่อยเจ้ากรรมนายเวรในรูปของผัวกับลูกลับๆ ก็จะมาแล้ว

ก่อนอื่นเลยต้องหาหลักฐานมายืนยันให้ได้ว่ายัยเหมยเน่านั่นไม่ได้ท้องมาตั้งแต่แรก แล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายได้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 236 ความรักจากอารอง

ตอนที่ 236 ความรักจากอารอง

หลินเซี่ยมองไปที่หลินจินซานและหลินเยี่ยน “พี่ชาย พี่กับเสี่ยวเยี่ยนอย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินแม่เลย อันดับแรกมาฟังท่านเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกันก่อนเถอะ แม่เป็นคนซื่อ ตราบใดที่ไม่มีปัจจัยอื่นเร่งเร้าความสัมพันธ์ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น ท่านไม่เคยทรยศต่อพ่อต้าฝูเลย ทุกคนคงรู้ดีกว่าฉันว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นยังไงตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา”

หลินเยี่ยนยังคงอยู่ในสภาวะสับสน ไม่ได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองเลย

เมื่อหลินจินซานเข้าใจว่าพ่อของเขารู้เรื่องที่หลิวกุ้ยอิงท้องกับคนอื่นมาตั้งแต่แรก รู้อย่างชัดเจนว่าใครคือพ่อผู้ให้กำเนิดของหลินเซี่ย และหลิวกุ้ยอิงไม่เคยสวมเขาพ่อของเขา ในที่สุดเขาก็รู้สึกดีขึ้น

ทั้งหมดอาจเป็นธรรมชาติของความรักที่อาจเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ พ่อของเขาเองก็เป็นพ่อม่ายลูกติดเหมือนกัน ที่บ้านมีแม่ชราจอมเจ้าเล่ห์ แถมยังมีน้องชายจอมขี้เกียจอีกคนหนึ่ง อยู่ดี ๆ เขาจะแต่งภรรยาที่ยังสาวยังสวยเข้าบ้านได้อย่างไร?

การที่สาวสวยคนนั้นยอมตามเขากลับมาที่บ้าน ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว

ตอนที่หลิวกุ้ยอิงมาถึงบ้านของพวกเขาเป็นครั้งแรก หล่อนหน้าตาสะสวยมากจริง ๆ

หล่อนเป็นสะใภ้ตัวน้อยที่ทั้งสวย เปี่ยมไปด้วยพลัง และขยันขันแข็งที่สุดในหมู่บ้าน

แม้ว่าในเวลานั้นเขาจะยังเด็ก แต่ความทรงจำก็ยังชัดเจน

เมื่อใดที่พ่อของเขาออกไปทำงาน แล้วมีชายหนุ่มคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านเทียวไล้เทียวขื่อมาพูดคุยกับหลิวกุ้ยอิง ย่าของเขาจะปรี่เข้าไปห้ามและไล่ตะเพิดคนพวกนั้นเสมอ

ด้วยกลัวว่าลูกสะใภ้คนสวยของบ้านจะสวมเขาให้ลูกชายตัวเองเข้าสักวัน

อารมณ์ของหลินจินซานค่อย ๆ สงบลง

คงเหลือเพียงความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างหลิวกุ้ยอิงกับวีรบุรุษผู้ลึกลับคนนั้น

หลินจินซานหมดความอดทน พูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “แม่ เล่าให้พวกเราฟังเถอะว่าเรื่องจริง ๆ เป็นยังไง”

หลินเยี่ยนก็เอียงคอเพื่อรอฟังเรื่องราวเช่นเดียวกัน

เมื่อเห็นว่าลูกชายและลูกสาวเปลี่ยนจากพฤติกรรมต่อต้านรุนแรงเมื่อครู่นี้เป็นสงบราบเรียบ ทั้งยังเต็มใจที่จะสงบสติอารมณ์และรับฟังเรื่องราวของหล่อน ในที่สุดหลิวกุ้ยอิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลังจากเช็ดน้ำตา หล่อนก็เริ่มเล่าให้พวกเขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

ขณะที่หลิวกุ้ยอิงบรรยาย หลินจินซานก็ตื่นตะลึงเป็นพัก ๆ ก่อนจะอุทานหลายครั้งติดต่อกัน

“พ่อแท้ ๆ ของเซี่ยเซี่ยเป็นทหารแนวหน้าในสงครามจริงเหรอ?”

หลิวกุ้ยอิงพยักหน้า “ใช่”

“สมควรแล้วที่จะเรียกเขาว่าวีรบุรุษ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พ่อผมใจดีกับเสิ่นอวี้อิ๋งขนาดนี้”

พ่อลูกมีสายเลือดเดียวกัน แน่นอนว่าพวกเขาเคารพวีรบุรุษและผู้พลีชีพในสงครามด้วยความภักดี

ถ้าเป็นเขาเองก็คงจะปฏิบัติต่อหญิงม่ายคนนี้เป็นอย่างดีไม่ต่างกัน

หลินเยี่ยนนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าหมองคล้ำเริ่มเกิดความสับสน

พี่ชายของหล่อนเป็นพี่ชายต่างแม่

พี่สาวของหล่อนกลายเป็นพี่สาวต่างพ่อ

พี่น้องทั้งสามคนไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเลยในคู่แต่งงานเดียวกัน

ยิ่งหลิวกุ้ยอิงเล่าต่อไปนานเท่าใด น้ำเสียงของหล่อนก็ยิ่งสงบนิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ในอดีต ความทรงจำนี้ถูกซ่อนไว้ส่วนลึกในใจ หล่อนคิดเสมอว่ามันเป็นเหมือนรอยแผลเป็นที่แตะต้องไม่ได้ และเป็นสิ่งต้องห้าม

หล่อนตั้งใจจะฝังมันไปพร้อมกับโลงศพของตัวเอง

เมื่อไม่กี่วันก่อนหลังจากหลินเซี่ยซักถาม หล่อนได้เล่าเรื่องนี้พร้อมทั้งน้ำตาไหลพรากด้วยความสะเทือนใจอย่างยิ่ง

แต่พอได้เล่าถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ถึงพบว่าวันนี้มันดูไม่ยากเย็นเลย

ดูเหมือนว่าตัวหล่อนเองจะรักษาเยียวยาแผลใจได้จากการเล่าเรื่องนี้ซ้ำเป็นหนที่สอง

หล่อนไม่รู้สึกเสียใจกับทุกสิ่งที่ผ่านมาเลย หลินต้าฝูดีกับลูกสาวที่ ‘เกิด’ จากหล่อนมาก ส่วนหล่อนเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะดีกับหลินจินซานเช่นกัน

ไม่ว่าแม่เฒ่าหลินจะสร้างความลำบากให้กับหล่อนมากแค่ไหน หล่อนก็ยอมอดทนได้เสมอเพราะเห็นแก่นางที่เป็นแม่ของหลินต้าฝู

“เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นอย่างนี้แหละ”

หลังจากที่หลิวกุ้ยอิงเล่าจนจบ หล่อนก็มองไปที่หลินจินซานและหลินเยี่ยน

ดูเหมือนว่าพี่ชายและน้องสาวจะยังอยู่ในระหว่างการแยกแยะเรื่องที่รับฟังมา สีหน้าของพวกเขาเรียบนิ่งไป แต่ยังไม่ได้ออกความคิดเห็น

“พี่ชาย ทบทวนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองหน่อยสิ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม่ปฏิบัติต่อพี่ยังไงบ้าง?” หลินเซี่ยถามหลินจินซาน

หลินจินซานเงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ดีกว่าลูกแท้ ๆ เสียอีก”

หลินเซี่ยมองเขาด้วยสายตาที่จริงใจเหมือนกัน พูดว่า “ตราบใดที่พี่ยังปฏิบัติต่อฉันเหมือนฉันเป็นน้องสาวของพี่เช่นเดียวกับเมื่อก่อน ความสัมพันธ์ของเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง”

“จริงเหรอ?”

หลินเซี่ยพยักหน้า “ฉันพูดจริง ๆ”

“เดี๋ยวก่อน แม่บอกว่าตอนนั้นพ่อเธอสละชีพเพื่อชาติไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงยังตามหาแม่อีก?” หลินจินซานถามด้วยความสับสน

“ฉันได้ยินมาว่าเขาได้รับการช่วยเหลือจากสหายร่วมรบในภายหลัง แต่เขาบาดเจ็บสาหัสจนสูญเสียความทรงจำ ทำให้ไม่ได้ออกตามหาแม่มาหลายปี ตอนนี้ครอบครัวของเขากำลังช่วยเขาตามหาท่าน”

หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลินเซี่ยแล้ว หลินจินซานก็ถามอย่างสงสัย “พวกเขาเป็นครอบครัวแบบไหนกัน? ถ้าแย่เหมือนกับตระกูลเสิ่น เธอก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักพวกเขา ไม่นับญาติแต่แรกเลยจะดีกว่า ต่อให้เธอกลับไปก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นคนนอก พ่อแท้ ๆ ของเธอสูญเสียความทรงจำไปแล้ว เขาไม่รู้จักเธอ เธอไม่ผูกพันกับเขา คงเหนื่อยมากถ้าต้องไปอยู่ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวที่ใจร้ายใจดำ”

หลินจินซานเสนอแนวทางให้หลินเซี่ยไปแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าตัวเองกลัวการสูญเสียน้องสาวคนนี้ไป ทั้งยังกลัวว่าจะสูญเสียหลิวกุ้ยอิงในฐานะแม่

ถ้าหลินเซี่ยกลับไปหาพ่อแท้ ๆ แล้วหลิวกุ้ยอิงล่ะ หล่อนจะสานต่อความสัมพันธ์ในอดีตกับวีรบุรุษคนนั้นด้วยไหม?

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เขากับหลินเยี่ยนจะกลายเป็นคนไร้ญาติ

ทันใดนั้นหลินจินซานวัยยี่สิบห้าปีก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในใจ

ดวงตาของเขาหมองหม่นลง เผยความไม่สบายใจออกมาอย่างชัดเจน

ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็พูดขึ้นว่า “พี่รู้จักนิสัยของเขาคนนั้นดี”

หลินจินซานดูสับสน

“พี่คิดว่าชื่อของฉันไปตรงกับแซ่ของใครล่ะ?” หลินเซี่ยมองไปทางพวกเขา และถามด้วยรอยยิ้ม

หลินเยี่ยนยังคงเหม่อลอยเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง หลินจินซานคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็นึกถึงใครบางคนในหมู่คนรู้จักของเขาขึ้นมาได้ เขาหันขวับมองเธอด้วยความประหลาดใจ “เซี่ย… เซี่ยไห่?”

หลินเซี่ยยิ้มโดยที่ไม่พูดอะไร

“ใช่เขาหรือเปล่า?”

“เป็นเขา”

“พระเจ้าช่วย นี่มันโชคชะตาอะไรกันเนี่ย?” หลินจินซานตบต้นขาฉาดใหญ่ด้วยความตื่นเต้น “โลกใบนี้ชักจะกลมเกินไปแล้ว เธอกับเถ้าแก่เซี่ย…”

หลินจินซานโพล่งออกมาทันที “เถ้าแก่เซี่ยเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอเหรอเนี่ย? ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นทหาร”

หลินเซี่ย “!!!”

เธอแก้ไขด้วยความหงุดหงิดว่า “เขาเป็นอารองของฉันต่างหาก คนที่เป็นวีรบุรุษสงครามคือพี่ใหญ่ของเขา อย่าลืมสิ คนอายุเท่าเซี่ยไห่แก่พอจะเป็นพ่อของฉันได้หรือไง?”

“โอ้ ใช่ ๆๆ เขายังอายุไม่ถึงสี่สิบปีด้วยซ้ำ”

หลินเซี่ยออกปากเรียกเซี่ยไห่ว่าอารองอย่างสนิทใจแล้ว หลิวกุ้ยอิงจึงเตือนเธอด้วยความระมัดระวัง

“เซี่ยเซี่ย เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันแน่ชัด ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อนที่จะยืนยันความสัมพันธ์กับคนอื่นเลย”

ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็จำได้ว่าตัวเองพกรูปถ่ายที่เธอไปขอจากเซี่ยไห่ติดมาด้วย จึงรีบหยิบมันออกจากกระเป๋าของตัวเอง

จากนั้นก็ยื่นรูปถ่ายให้กับหลิวกุ้ยอิง “แม่ ลองดูรูปนี้สิคะ แม่จำผู้ชายคนที่อยู่ในรูปได้หรือเปล่า?”

หลิวกุ้ยอิงรับรูปถ่ายใบนั้นมาดู

เมื่อเห็นคนในรูปอย่างชัดเจน จู่ ๆ หล่อนก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป รีบยกมือขึ้นปิดปาก แล้วสะอื้นไห้ฮักๆ

ปฏิกิริยาของหล่อนบ่งบอกความจริงทุกอย่างแล้ว

หลิวกุ้ยอิงวิ่งถือรูปถ่ายใบนั้นผ่านประตูบ้านเข้าไป พอวิ่งเข้าไปในห้องด้านข้างแล้วก็ปิดประตูขังตัวเองอยู่ในห้อง

“ให้เวลาท่านได้สงบสติอารมณ์หน่อย”

หลินเซี่ยไม่คิดจะไล่ตามไปทันที พี่น้องทั้งสามนั่งนิ่งงันอยู่ในห้องหลัก เธอมองไปที่หลินจินซานและหลินเยี่ยนแล้วพูดอย่างจริงใจ

“พี่ชาย เสี่ยวเยี่ยน ถึงแม้ว่าพวกเราสามคนจะไม่ใช่พี่น้องที่มีพ่อและแม่คนเดียวกัน แต่อย่างที่บอกไป ถึงยังไงพวกเราก็เกิดในบ้านตระกูลหลิน เราจึงถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันหวังว่าระหว่างพวกเราจะไม่มีช่องว่าง”

“เซี่ยเซี่ย ฉันต่างหากต้องเป็นฝ่ายกลัวว่าเธอจะไม่อยากคบหากับเรา เราทุกคนต่างมาจากบ้านนอก ในขณะที่เธอมีอารองเป็นเถ้าแก่ใหญ่ ฉันได้ยินมาว่าพี่สาวของเถ้าแก่เซี่ยเป็นดาราฮ่องกงด้วย แถมพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอยังเป็นวีรบุรุษสงครามที่ใคร ๆ ต่างก็ให้ความเคารพ พวกเราได้ไต่เต้าไปสู่ระดับที่สูงขึ้นจาการเป็นพี่น้องกับเธอแท้ ๆ”

หลินจินซานรู้สึกขาดความมั่นใจขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนเมื่อนึกถึงเซี่ยไห่ผู้มั่งคั่ง

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ตราบใดที่พี่ไม่ปฏิบัติต่อฉันในฐานะคนนอก ฉันก็ไม่มีวันทำตัวแปลกแยกกับพี่เหมือนกัน พวกเรายังคงใช้ชีวิตติดดินได้เหมือนเดิม พี่ก็ต้องพึ่งพาตัวเองทุกที่ทุกเวลาอยู่แล้ว”

หลินเซี่ยจับมือหลินเยี่ยน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเยี่ยน เธอกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า? ทำไมถึงไม่ยอมพูดอะไรเลย?”

“พี่สาว ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี”

“เราเกิดมามีแม่คนเดียวกันนะ ถึงยังไงสายสัมพันธ์ความเป็นพี่น้องก็ยังอยู่เสมอ อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเชียว”

หลินเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ “ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอก”

ตอนนี้พอพี่น้องทั้งสามเริ่มพูดคุยเปิดอกซึ่งกันและกัน หลินจินซานก็อดไม่ได้ที่จะถามเกี่ยวกับความกังวลของเขา “เซี่ยเซี่ย แล้วอีกหน่อยแม่จะกลับไปสานสัมพันธ์กับวีรบุรุษคนนั้นไหม?”

หลินเซี่ยตอบอย่างเป็นกลาง “พวกเราควรเคารพการตัดสินใจของท่าน ในฐานะคนรุ่นหลัง ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงท่านในเรื่องนี้”

“ใกล้จะเก้าโมงแล้ว ถึงเวลาที่ฉันต้องไปทำงานแล้วล่ะ ทำไมแม่ยังไม่ออกมาอีก? งั้นปล่อยให้ท่านใจเย็นลงหน่อยก็ได้ ฉันขอตัวไปทำงานก่อน”

หลินจินซานยังคงกังวลเกี่ยวกับการเตรียมตัวสัมภาษณ์งานในวันนี้ เขากลัวว่าการที่ตัวเองไปสายจะทำให้ไม่ได้รับตำแหน่งที่ดี

หลินเซี่ยก็ต้องรีบกลับไปเปิดร้านและทำธุรกิจเช่นกัน ในขณะที่หลิวกุ้ยอิงจำเป็นต้องอาศัยเวลาช่วยปรับอารมณ์อย่างช้า ๆ ซึ่งพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก

“เอาล่ะ เข้าไปด้วยกันเลยดีกว่า”

เมื่อเดินไปถึงลานบ้าน หลินเซี่ยก็ตะโกนไปที่ห้องด้านข้าง

“แม่ พวกเราขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

ทันทีที่เธอพูดจบ หลิวกุ้ยอิงก็เปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป

หลินเซี่ยมองดวงตาของหล่อนที่แดงก่ำจากการร้องไห้ ทันใดนั้นก็เดินเข้าไปกอดหล่อน

“แม่ ผู้ชายที่อยู่ในรูปคือพ่อแท้ ๆ ของฉันใช่ไหมคะ?”

หลิวกุ้ยอิงหลั่งน้ำตา พยักหน้าทั้งที่ยังสะอื้นไห้

หลินเซี่ยถือโอกาสถาม “เซี่ยไห่บอกว่าเขาอยากเจอแม่ แม่ล่ะพร้อมจะเจอเขาเมื่อไหร่คะ?”

หลิวกุ้ยอิงตอบกลับ “วันนี้แม่จะเก็บร้านตั้งแต่ตอนบ่าย ๆ”

“ได้ ถ้าอย่างนั้นเรานัดหมายมาเจอกันที่นี่ตอนบ่ายดีกว่า ที่อาคารพักอาศัยมันเสียงดังเกินไป”

หลินเซี่ยกลัวว่าสภาพจิตใจของหลิวกุ้ยอิงอาจยังไม่พร้อม ดังนั้นเธอจึงพูดด้วยความกังวลว่า “แม่ วันนี้แม่พักอยู่บ้านสักหน่อย แล้วให้พี่ชายกับเสี่ยวเยี่ยนออกไปตั้งแผงขายของแทนดีไหม”

“ไม่เป็นไร แม่จะออกไปกับเสี่ยวเยี่ยนเหมือนเดิม”

หลิวกุ้ยอิงโบกมือ “พวกลูกกลับไปทำงานของตัวเองเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปก่อนนะ”

เมื่อหลินจินซานและหลินเซี่ยมาถึงหน้าร้าน ชุนฟางก็มาเปิดประตูร้านรอก่อนแล้ว เซี่ยไห่ยืนอยู่ที่หน้าประตู พร้อมกับอาหารเช้าสองถุงในมือ พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ

“เซี่ยเซี่ย เธอมาแล้วเหรอ?”

ทันทีที่เห็นเธอ เซี่ยไห่ก็เดินเข้ามาทักทายเธออย่างกระตือรือร้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรักและอาทร “เซี่ยเซี่ย ฉันเตรียมอาหารมื้อเช้าไว้ให้เธอด้วย ดูสิ มีซาลาเปากับนมด้วยนะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ปริศนาคลี่คลายแล้ว ขอให้ครอบครัวนี้ยังรักกันเหมือนเดิมนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท