ตอนที่ 268 ร้องคาราโอเกะกันเถอะ
ตอนที่ 268 ร้องคาราโอเกะกันเถอะ
พอหลายคนเริ่มส่งเสียงดัง เฉินเจียเหอก็เตือนพวกเขาว่า “พวกนายช่วยลดเสียงลงหน่อย มันรบกวนสมาธิของภรรยาฉัน”
ทันทีที่เฉินเจียเหอเตือน ในที่สุดพวกเขาก็หยุดโต้เถียงกัน
ฟางจิ้นเป่าเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นทรงผมของลู่เจิ้งอวี่ ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น “โอ้ น้องสะใภ้นี่ฝีมือดีมากจริง ๆ ด้วย พอเปลี่ยนทรงผมเป็นแบบนี้ เจิ้งอวี่ก็ดูสมาร์ทขึ้นทันตาเลย”
ช่วงนี้ลู่เจิ้งอวี่และฟางจิ้นเป่างานยุ่งมาก พวกเขาอยู่ทำงานในอู่ซ่อมรถไฟตลอดทั้งวัน ไม่ค่อยได้มีเวลาออกไปไหนมากนัก ทำให้ผมของพวกเขายาวเฟื้อยและยุ่งเหยิง ก่อนหน้านี้เขาเคยไว้ผมแสกกลางแบบโบราณ ดังนั้นพอเส้นผมเริ่มยาว มันจึงดูกระเซอะกระเซิงเป็นพิเศษ
หลินเซี่ยจัดการเล็มผมส่วนหลังและด้านข้างให้สั้นลงตามรูปร่างของศีรษะและใบหน้า โดยคงเหลือส่วนหน้าให้ยาวแบบเดิม พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้ช่วงคอดูยาวขึ้น ขับเน้นโครงหน้าให้เด่นชัด ส่งเสริมให้เขากลายเป็นชายหนุ่มที่มีพลังมากขึ้น
ในขณะที่หลินเซี่ยกำลังตัดผมให้กับลู่เจิ้งอวี่อย่างจริงจัง เธอก็พูดกับชุนฟางว่า “ชุนฟาง พี่จิ้นเป่าคนนี้อยากโกนผมกับหนวดเครา วานเธอช่วยจัดการเสริมหล่อให้เขาหน่อย คืนนี้เขาจะไปเที่ยวที่ห้องเต้นรำ ดังนั้นต้องเคลียร์ใบหน้าให้ดูดี”
“ไม่เอา…” ฟางจิ้นเปามองไปที่ลู่เจิ้งอวี่ที่กลายเป็นพ่อหนุ่มรูปงาม จากนั้นหันกลับมามองตัวเองที่ทรงเหมือนคนจรจัดในกระจก เมื่อเขาเห็นว่าชุนฟางถือมีดโกนรอแล้ว เขาก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่และลังเลที่จะพูด
ชุนฟางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ เชิญนั่งตรงนี้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะโกนหนวดเคราให้”
ฟางจิ้นเป่าหัวเราะเหอะ ๆ ยังคงลังเลที่จะหย่อนก้นลงนั่ง
ทันทีที่เขายกมือขึ้นเกาหัว เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ ก็เข้าใจทันทีว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร เซี่ยไห่หยอกล้อเขาทันที “เหล่าฟาง เป็นอะไรของนาย? อย่าบอกนะว่านายไม่อยากโกนแล้ว แต่อยากได้ทรงผมเดียวกันกับเจิ้งอวี่?”
ฟางจิ้นเป่าหัวเราะอีกครั้งเมื่อสหายพี่น้องมองทะลุความคิดของเขาอย่างปรุโปร่ง แล้วพูดต่อว่า “ใคร ๆ ก็สนใจรูปร่างหน้าตาของตัวเองกันทั้งนั้น ฉันแค่กังวลเกี่ยวกับมันนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ฉันเคยโกนหนวดแล้ว แต่ความหล่อของฉันมันเป็นที่สะดุดตาเกินไป ดังนั้นฉันเลยคิดว่า… เห็นแก่สายตาของทุกคน ฉันควรไว้หนวดเคราตามเดิมดีกว่า จะได้ไม่ทำให้พวกนายหมองเมื่อฉันโกนมันทิ้งอย่างกะทันหัน”
“วาจาร้อยเล่ห์ของนายหลอกคนอื่นไม่สำเร็จหรอกนะ”
ถังจวิ้นเฟิงเปลี่ยนมานั่งไขว้ขา ทำเสียงเข้มเหมือนเป็นตาลุงจอมเข้มงวด “ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้ไร้ภูมิต้านทานขนาดนั้น รีบโกนซะ”
ในที่สุดฟางจิ้นเป่าก็เปลี่ยนใจ “ฉันว่าฉันไม่เอาแล้วดีกว่า”
ถังจวิ้นเฟิงและเซี่ยไห่หันขวับมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็ยืนขึ้นและผลักฟางจิ้นเป่าให้ไปนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็โบกมือเรียกชุนฟาง “มาโกนให้เขาได้เลย”
ตอนนี้ฟางจิ้นเป่ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลาบนเขียง เขาร้องคร่ำครวญ “พวกนายอย่าโหดร้ายขนาดนี้สิ ให้น้องสะใภ้เป็นคนโกนให้ดีกว่า”
ชุนฟางที่ถือมีดโกนค้างไว้นานแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ฉันเอง”
ถังจวิ้นเฟิงคว้ามีดโกนจากมือหล่อนโดยตรง จากนั้นก็โกนแฉลบเข้าที่ปอยผมด้านหลังศีรษะของฟางจิ้นเป่า
ทันใดนั้นฟางจิ้นเปาก็ร้องเสียงดังเหมือนหมูโดนเชือด “ถังจวิ้นเฟิง ทวดแกสิ!”
ฟางจิ้นเป่ามองเส้นผมของตัวเองที่หายไปผ่านกระจก จากนั้นมองหลินเซี่ยด้วยสายตาอ้อนวอน “น้องสะใภ้ พอเป็นแบบนี้แล้วพอจะแก้ทรงได้ไหม?”
หลินเซี่ยพยายามกลั้นขำ ก่อนจะตอบกลับอย่างมืออาชีพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ได้ค่ะ”
จากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่เซี่ยไห่และถังจวิ้นเฟิง “พวกคุณอย่าเอาแต่รังแกคนอื่นสิ”
ฟางจิ้นเป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินว่ามันสามารถแก้ไขได้ จากนั้นเขาก็ยอมนั่งอยู่เฉย ๆ พร้อมกับสาปแช่งและกล่าวหาผู้กระทำผิดทั้งสอง ลามไปถึงขุดเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมาโจมตี
หลินเซี่ยเป่าผมของลู่เจิ้งอวี่ให้แห้ง จากนั้นยิ้มให้กับคนในกระจกแล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้าง? พอใจกับผลที่ได้หรือเปล่า?”
ลู่เจิ้งอวี่พยักหน้าอย่างหนัก “พอใจมากครับ พี่สะใภ้ ผมชอบมากเลย”
เขามองดูตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
เขายังหล่อเหมือนที่คนอื่นพูดจริง ๆ
เมื่อลู่เจิ้งอวี่ตัดผมใหม่แล้วเห็นว่าตัวเองดูดีแค่ไหน ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นทันที
เขาเหลือบมองไปทางหญิงสาวผู้อ่อนโยนและพูดน้อยที่กำลังรินน้ำเสิร์ฟให้กับทุกคนโดยไม่ตั้งใจ
ลู่เจิ้งอวี่ผละออกจากเก้าอี้ไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ ฟางจิ้นเป่าก็รีบนั่งลงแทนที่เขา “น้องสะใภ้ ช่วยฉันด้วยนะ ฉันไม่เอาทรงผมแบบเดียวกับเจิ้งอวี่ อย่างน้อยขอแค่ไม่ต้องโกนผมจนหมดหัว สภาพเวลาฉันโกนหัวดูไม่ดีจริง ๆ”
หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “คุณไม่ได้อยากจะสร้างความสบายใจให้กับภรรยาหรอกเหรอ?”
“ฉันคุยโวไปอย่างนั้นเอง ด้วยอายุของฉันและงานสกปรกซอมซ่อที่ฉันทำอยู่ แม้แต่ผู้ชายเห็นสภาพฉันแล้วยังวิ่งหนีกระเจิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาว ๆ คนไหน น้องสะใภ้ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย ช่วยเลือกทรงผมที่ทำให้ฉันดูภูมิฐานขึ้นหน่อยก็ได้ หน้าตาฉันจะได้ดูน่ากลัวน้อยลง”
“โอเค ฉันจะแก้ทรงให้ค่ะ”
หลินเซี่ยหยิบปัตตาเลี่ยน พอมองเห็นผมที่แหว่งจนเห็นหนังหัวด้านหลังของฟางจิ้นเป่า เธอก็อดบ่นหันไปบ่นกับผู้ชายทั้งสองที่เล่นพิเรนทร์ไม่ได้ “เถ้าแก่เซี่ย เจ้าหน้าที่ถัง พวกคุณเล่นแรงเกินไปหน่อยนะ เคยได้ยินคำนี้ไหม? หัวแตกได้ แต่ไม่ควรล้อเล่นกับทรงผม พวกคุณสักแต่แกล้งพี่จินเปาจริง ๆ เลย”
“ใช่แล้ว คนพวกนั้นใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้”
เซี่ยไห่โต้กลับ “ก็เขาบอกเองนี่ว่าเขาอยากโกนหัว”
หลินเซี่ยไถด้านหลังศีรษะของฟางจิ้นเป่าให้สั้นเตียน เหลือผมด้านหน้าไว้อีกนิดหน่อย ถึงแม้จะดูแปลกตา แต่ทรงผมนี้ก็ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น ฟางจิ้นเป่าแสดงสีหน้าว่าเขาพอใจมาก
ถ้าผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งรวมตัวกันอยู่ในร้านตัดผมนานกว่านี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของร้าน เซี่ยไห่จึงชวนพวกเขาออกไป
“มาเถอะ ยังเช้าอยู่ ไปนั่งคุยกันที่ห้องเต้นรำสักหน่อย ไม่รู้ว่าคราวหน้าพวกเราจะได้เจอกันอย่างพร้อมหน้าแบบนี้อีกไหม”
ถังจวิ้นเฟิงมองเข้าไปในสถานที่อันพลุกพล่าน ก่อนจะถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว “ฉันต้องไปแล้ว”
“รีบร้อนไปไหน? นายเข้าเวรตอนกลางคืนไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เพิ่งจะกี่โมงเอง?”
เซี่ยไห่พูดต่อ “ฉันไม่ได้จะชวนพวกนายเข้าไปเต้น เราขึ้นไปที่ชั้นสองกัน ฉันมีเรื่องอยากจะบอกกับพวกนายอย่างเป็นทางการ”
ถังจวิ้นเฟิงไม่สนใจ “เรื่องอะไร? ไม่ต้องคิดจะโน้มน้าวฉันให้ลาออกมาทำงานที่ห้องเต้นรำเลยนะ ไปคุยกับเจิ้งอวี่โน่น”
“เรื่องเกี่ยวกับไอดอลของนาย พี่ใหญ่ของฉัน”
เมื่อได้ยินว่าเซี่ยไห่มีเรื่องจะพูดเกี่ยวกับสหายเซี่ยเหลย ดวงตาของถังจวิ้นเฟิงก็สว่างขึ้น
“วีรบุรุษสงครามงั้นเหรอ? มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”
เซี่ยไห่แสร้งทำเป็นอุบอิบ “ไปคุยกันชั้นบนก่อนเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยินยอมตามพวกเขาขึ้นไป
ทุกคนไม่ลืมกล่าวคำอำลากับหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ
เซี่ยไห่พูดว่า “พี่อิงจื่อ เสี่ยวเยี่ยน พวกเราขอตัวก่อน ไว้ตอนเย็นอย่าลืมมาเที่ยวชมแสงสีที่นี่นะครับ ถนนน่าจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก”
“อืม พวกคุณไปทำธุระต่อเถอะ”
เซี่ยไห่พาสหายพี่น้องของเขาขึ้นไปบนชั้นสอง
หลังจากได้รับคำแนะนำจากหลินเซี่ยในครั้งนั้น เซี่ยไห่ก็เริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ของเขาทันที เขาทำการสั่งซื้อเครื่องเล่นคาราโอเกะและซื้อทีวีสี วีซีดี รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ และติดตั้งไว้ในห้องส่วนตัวชั้นบน
ตั้งใจว่าจะทดสอบระบบการใช้งานของมันด้วยตัวเองก่อน
ทันทีที่เขาเดินเข้าไปและปิดประตู เซี่ยไห่ก็หันไปหยิบแผ่นวีซีดีออกมาเปิดในเครื่องเล่น “มา มาร้องคาราโอเกะกันเถอะ”
“ว่าไงนะ?” ทุกคนต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
เซี่ยไห่อธิบาย “ร้องเพลงไงล่ะ”
“บอกมาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรกับพี่ใหญ่ของนายกันแน่?” ถังจวิ้นเฟิงถามอย่างไม่อดทน
เซี่ยไห่ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีกต่อไป พูดตรง ๆ ว่า “พี่ใหญ่ของฉันกำลังจะย้ายมาอยู่ที่ไห่เฉิงอย่างถาวร”
“ย้ายมาเมื่อไหร่?” ถังจวิ้นเฟิงรีบถามกลับด้วยสีหน้ายินดี มองไปที่เซี่ยไห่อย่างคาดหวัง
“เร็ว ๆ นี้”
เฉินเจียเหอพูดเสริมจากด้านข้าง “ฉันหาบ้านที่เงียบสงบเหมาะกับเขาได้แล้ว ไว้เหล่าเซี่ยค่อยหาเวลาไปเซ็นสัญญา แล้วจ้างวานคนให้เข้าไปทำความสะอาด พวกเขาสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีที่มาถึง”
“เรื่องใหญ่โตขนาดนี้แท้ ๆ ทำไมพวกนายถึงเพิ่งมาบอกเราล่ะ?”
ถังจวิ้นเฟิงมองไปที่เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอ แสดงความไม่พอใจต่อพวกเขา “ช่วงนี้พวกนายสองคนดูสนิทชิดเชื้อกันมากเลยนี่ พวกเราทุกคนนับถือกันเป็นพี่น้องแท้ ๆ นี่พวกนายคิดจะแยกไปตั้งกลุ่มย่อยกันหรือไง?”
เหล่าฟางกับเจิ้งอวี้ทำงานอยู่ที่เดียวกัน พวกเขาเจอหน้ากันตลอดเวลา เหล่าเซี่ยกับเหล่าเฉินยังมาอยู่ใกล้กันอีก พอมีเรื่องอะไรก็ตามอีกฝ่ายกลับเก็บเงียบไม่ยอมบอกทันที นี่ยังถือว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า?
เซี่ยไห่ใส่แผ่นดิสก์ลงในเครื่องเล่นวีซีดี จากนั้นกลอกตาใส่เขาพลางบ่นว่า “ใครใช้ให้นายเข้าเวรอยู่ที่สถานีรถไฟได้ทุกวี่ทุกวันโดยไม่ยอมออกมาข้างนอกเลยล่ะ?”
เขาพูดต่อ “ไม่ต้องกังวลไป ถ้าเขามาถึงเมื่อไหร่ฉันจะนัดพวกนายให้มาเจอเขาแน่”
“อย่าลืมว่าฉันยังมีอีกเรื่องสำคัญที่จะประกาศให้ทุกคนทราบ”
“เรื่องอะไรอีก? อย่าเอาแต่เกริ่นสิ” ถังจวิ้นเฟิงไม่อดทนฟังเขาเกริ่นอีกแล้ว
“นายสละโสดแล้วงั้นเหรอ?” ฟางจิ้นเป่ามองเขาแล้วถามด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
เมื่อถังจวิ้นเฟิงได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจว่า “หรือว่านายกับลูกพี่ลูกน้องของฉัน…”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หนุ่มๆ พวกนี้เวลาแกล้งกันนี่ก็ไม่ต่างจากเด็กอนุบาลแกล้งเพื่อนเลยนะเนี่ย ดีที่เซี่ยเซี่ยยังแก้ทรงผมให้ได้อยู่
อะไรคะพี่ไห่ มีอะไรรีบพูดอย่าอมพะนำนาน เดี๋ยวได้เข้าใจผิดกันล่ะ
ไหหม่า(海馬)
อนที่ 262 ถ้ามีใครบางคนเอาเรื่องส่วนตัวไปร้องเรียนจะทำอย่างไร
ตอนที่ 262 ถ้ามีใครบางคนเอาเรื่องส่วนตัวไปร้องเรียนจะทำอย่างไร
“เรื่องโรงงานเครื่องจักรเหรอ? หรือเธอหมายถึงเรื่องที่เสิ่นเสี่ยวเหมยถูกรายงาน? เธอพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม?”
เจียงกั๋วเซิ่งมองหลินเซี่ยอย่างมีความหมาย
อันที่จริงเขาสงสัยมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าหลินเซี่ยเป็นคนทำหรือเปล่า
หลินเซี่ยส่ายหัว “ลุงเจียง เรื่องที่ฉันอยากคุยกับคุณคือเรื่องปัญหาการจัดการการผลิตบางอย่างที่เกิดขึ้น หรือกำลังจะเกิดขึ้นในโรงงานของคุณ เสิ่นเสี่ยวเหมยมีส่วนในเรื่องนี้เป็นส่วนน้อย”
“การจัดการการผลิตมีปัญหายังไง?” เจียงกั๋วเซิ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดของหลินเซี่ยอย่างจริงจังนัก
“คุณไม่รู้เหรอคะว่าหลังจากที่หลิวจื้อหมิงถูกปรับขึ้นเป็นรองหัวหน้าฝ่ายผลิต เขาก็เริ่มทำการทุจริตกับวัตถุดิบในสายการผลิตทันที”
“นี่… เซี่ยเซี่ย ช่วยเล่าให้ชัดเจนหน่อย เธอไปรู้อะไรมา?”
หลินเซี่ยจึงเริ่มเล่าให้เจียงกั๋วเซิ่งถึงความลับทั้งหมดภายในโรงงานเครื่องจักรที่เธอเคยรู้ในชาติก่อน
“ลุงเจียง ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน ไม่มีทางฝ่าฝืนกฎหรือระเบียบวินัยในที่ทำงานเพื่อกอบโกยเงินใส่กระเป๋าตัวเองแน่ แต่สำหรับบางคนกลับมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่เน่าเฟะ ฉันหวังว่าคุณจะระวังในสิ่งที่ฉันพูดอย่างจริงจัง ปกป้องตัวเองและอย่าให้เงินไปเข้ากระเป๋าคนอื่น ไม่งั้นถ้าเรื่องแดงขึ้นมา คุณนั่นแหละที่จะตกเป็นแพะให้คนอื่น”
เจียงกั๋วเซิ่งตกใจมากกับสิ่งที่หลินเซี่ยพูด เขามองไปที่หลินเซี่ยแล้วถามว่า “เซี่ยเซี่ย เธอไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหน?”
“ลุงเจียง อย่าเพิ่งถามที่มาที่ไปของเรื่องนี้เลยค่ะ”
ใบหน้าของหลินเซี่ยจริงจังมาก เจียงอวี่เฟยก็ตกใจเหมือนกันเมื่อได้ยินแบบนั้น “เซี่ยเซี่ย อย่าบอกนะว่าตอนเธออยู่กับตระกูลเซี่ย เธอแอบไปได้ยินพวกเขาคุยกัน?”
“ฉันจะรู้มายังไงไม่สำคัญหรอก สิ่งที่สำคัญคือต่อจากนี้ คือรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงจะต้องใส่ใจระมัดระวังกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น”
เจียงกั๋วเซิ่งพูดอย่างจริงจัง “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะให้ระวังตัวให้มาก”
“อวี่เฟย เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าอยู่ข้างนอกอย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปล่ะ”
“ฉันรู้แล้ว” เจียงอวี่เฟยรู้สึกขอบคุณหลินเซี่ยมากที่อุตส่าห์มาเตือนพ่อของเธอ
“เมื่อกี้คุณพูดอะไรเกี่ยวกับเสิ่นเสี่ยวเหมยหรือเปล่านะคะ?” ดวงตาของหลินเซี่ยขยับเล็กน้อยขณะถามเจียงกั๋วเซิ่ง
เธออยากรู้ว่าโรงงานเครื่องจักรมีมาตรการจัดการกับเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างไรบราวนี่ออนไลน์
ด้วยบุคลิกที่ตรงไปตรงมาของเจียงกั๋วเซิ่ง คาดว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยน่าจะไม่รอดจากการลงดาบในครั้งนี้
เจียงกั๋วเซิ่งตอบว่า “มีคนเขียนเอกสารรายงานมาถึงโรงงาน นอกจากปัญหาชีวิตส่วนตัวของหล่อนจะยุ่งเหยิงแล้ว หล่อนยังไม่จริงจังกับภาระงานของตัวเอง ทำให้เกิดปัญหามากมายกระทบกับหลาย ๆ ฝ่าย วันนี้หลังจากผ่านการหารือกับทีมผู้บริหาร เราจึงลงความเห็นว่าจะสั่งพักงานหล่อนชั่วคราว ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถอธิบายให้พนักงานหลายร้อยคนในโรงงานเข้าใจได้”
รอยยิ้มสาแก่ใจพลันปรากฏขึ้นใบหน้าของหลินเซี่ย
เจียงอวี่เฟยพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “คนแบบนั้นไล่ออกไปซะเลยยังดีกว่า”
“ถึงยังไงหล่อนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของผู้อำนวยการโรงงาน อีกไม่นานผู้อำนวยการเสิ่นต้องหาทางพาหล่อนกลับมาทำงานเหมือนเดิมแน่”
หลินเซี่ยมองไปที่เจียงกั๋วเซิ่งและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณต้องทนต่อแรงกดดันให้มาก อย่าอนุมัติให้เสิ่นเสี่ยวเหมยกลับมาทำงานเร็วเกินไป ต่อให้กลับมาทำงานแล้วก็พยายามอย่าให้หล่อนทำงานที่เกี่ยวกับฝ่ายบัญชีอีก ถ้าหล่อนกลายเป็นพนักงานบัญชีเมื่อไหร่ จะยิ่งมีช่องโหว่ให้ทุจริตได้ง่ายขึ้น”
เจียงกั๋วเซิ่งเป็นคนฉลาด เมื่อหลินเซี่ยพูดแบบนี้ เขาก็เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
ถ้าวัตถุดิบของสายการผลิตในโรงงานมีปัญหา ตามขั้นตอนแล้วตัวเลขที่มีปัญหาจะถูกส่งต่อมาถึงฝ่ายบัญชี ดังนั้นเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น พวกเขาจะต้องได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากคนที่ไว้วางใจได้และเชื่อถือได้อย่างแน่นอน
การแสดงออกของเจียงกั๋วเซิ่งเริ่มเคร่งขรึม เขามองไปที่หลินเซี่ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณ “ฉันเข้าใจแล้ว เซี่ยเซี่ย ขอบคุณเธอมากที่ยินดีบอกเรื่องพวกนี้กับลุงเจียง”
หากสิ่งที่หลินเซี่ยพูดเป็นความจริง นั่นหมายความว่าเธอกำลังยอมเสี่ยงเพื่อช่วยเขา
“ไม่เป็นไรเลยค่ะลุงเจียง ฉันเองก็ยึดความเป็นธรรมเป็นที่ตั้ง ฉันต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเรียกร้องความบริสุทธิ์ได้เพราะถูกใส่ร้าย ดังนั้นฉันไม่ต้องการให้ผู้นำที่ซื่อสัตย์อย่างคุณถูกใส่ร้ายโดยมิชอบเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ทรัพย์สินของรัฐถูกคนในยักยอก”
“เธอนี่เป็นเด็กดีจริง ๆ”
หลังออกมาจากโรงน้ำชา เจียงกั๋วเซิ่งเห็นร้านขายของชำฝั่งตรงข้าม จึงอยากไปที่ร้านนั้นเพื่อซื้อขนมฝากให้หู่จือ
หลินเซี่ยปฏิเสธ แต่เจียงกั๋วเซิ่งกระตือรือร้นมาก เขาเดินลิ่วนำไปที่ร้านก่อนแล้ว
เจียงอวี่เฟยไล่ตามเขาไป
“พ่อ ในเมื่อพ่อคิดจะซื้อขนมให้หู่จือ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อไปฝากลูกสาวของพี่สาวหวังด้วยสิ”
เจียงกั๋วเซิ่งกำลังเลือกขนมอยู่ในร้าน เขาพูดอย่างไม่คิดอะไรว่า “ทำไมเราต้องซื้อขนมให้ลูกชาวบ้านด้วยล่ะ?”
“พ่อคะ ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ถ้าอยากพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้หญิง พ่อไม่ควรเป็นฝ่ายริเริ่มแสดงความจริงใจออกมาก่อนเหรอ?”
“พูดอะไรของลูก? พัฒนาความสัมพันธ์อะไรกัน?”
“พ่อไม่ได้สัญญากับฉันหรอกเหรอว่าพ่อยินดีจะพัฒนาความสัมพันธ์กับพี่สาวหวังหลังจากที่พ่อทำใจยอมรับการปฏิเสธจากป้าหลิวได้แล้ว? นี่ผ่านมาสองสามวันเท่านั้นเอง พ่อยังไม่ลืมหล่อนอีกเหรอ? พ่อแก่แล้วนะ จะเล่นตัวเหมือนเป็นหนุ่มน้อยไม่ได้แล้ว ต้องเป็นฝ่ายรุกอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น”
เมื่อภรรยาเจ้าของร้านได้ยินการสนทนาระหว่างพ่อกับลูกสาว หล่อนก็ชะเง้อชะแง้คอพลางเงี่ยหูฟังทันที
เจียงกั๋วเซิ่งกลอกตาใส่ลูกสาวของเขาด้วยความอับอาย ขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับหล่อนในตอนนี้ รีบหยิบขนมออกมาจากชั้นวาง
หลินเซี่ยเดินตามเข้ามา จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ลุงเจียง ไม่ต้องซื้อเยอะมากก็ได้ค่ะ ซื้อเยอะเกินไปเด็กจะติดนิสัยกินขนมแทนอาหารจานหลัก”
เจียงอวี่เฟยขอถุงเพิ่มจากเจ้าของร้าน แล้วพูดว่า “พ่อ แบ่งครึ่งอย่างละเท่า ๆ กัน ให้หู่จือหนึ่งถุง ให้เสี่ยวฮวาอีกหนึ่งถุง”
“ได้ ลูกจัดการเลย”
เจียงกั๋วเซิ่งควักเงินจ่าย หยิบขนมบนชั้นให้เด็กจนเต็มสองถุงใหญ่
หลังออกมาจากร้านแล้ว หลินเซี่ยก็ทำหน้าที่เป็นแม่สื่ออย่างจริงใจ “ลุงเจียง พี่สาวหวังเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ แถมยังมีบุคลิกร่าเริงแจ่มใส ถ้าพวกคุณถูกโชคชะตากำหนดมาให้ได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ พวกคุณจะต้องเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะสมกันมากแน่ ๆ”
เจียงกั๋วเซิ่งทำหน้าตาแปลก ๆ “ได้ยินเด็กรุ่นลูกอย่างเธอคุยกับฉันเรื่องนี้ เธอดูไม่เคอะเขินเลย ฉันเสียอีกกลับกลายเป็นฝ่ายละอายใจ”
หลินเซี่ยหัวเราะเบา ๆ “ถึงฉันจะเป็นเด็กรุ่นลูก แต่ฉันก็แต่งงานแล้วนะคะ ไม่เห็นมีอะไรที่น่าเคอะเขินเลย”
เจียงอวี่เฟยเห็นว่าพ่อเต็มใจซื้อขนมให้เสี่ยวฮวา จึงถือโอกาสตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ เสนอว่า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเยี่ยมพี่สาวหวังกันตอนนี้เลยเป็นไงคะ?”
เจียงกั๋วเซิ่งอ้างว่า “วันนี้อาจจะกะทันหันเกินไป ฝากเซี่ยเซี่ยเอาขนมไปให้หล่อนก่อนก็แล้วกัน ไว้มีเวลาค่อยนัดเจอกันใหม่”
“พ่อ งั้นพ่อก็หมายความว่าพ่อเต็มใจที่จะลองสานสัมพันธ์กับพี่สาวหวังแล้วน่ะสิ?”
ตราบใดที่เขายินดีเปิดใจอีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่ดี
เจียงกั๋วเซิ่งกระแอมไออย่างเชื่องช้า “ลองทำความรู้จักดูก็ไม่เสียหาย พ่ออายุปูนนี้แล้วยังมีคนมาชอบ แล้วทำไมพ่อต้องทำตัวหยิ่งด้วย พ่อคิดว่าเสี่ยวหวังเองก็ดูเป็นคนตรงไปตรงมาและกระตือรือร้นมาก นิสัยไม่เลว”
เจียงอวี่เฟยหันมองหลินเซี่ยอย่างมีความสุข จากนั้นก็ไล่ตามผู้เป็นพ่อไปพร้อมถามว่า “พ่อคะ ถ้าอย่างนั้นพ่อตัดใจจากป้าหลิวได้หรือยัง? อย่าคิดอีกอย่างแล้วทำอีกอย่างที่ตรงกันข้ามกับความคิดเชียวนะ”
ใบหน้าของเจียงกั๋วเซิ่งเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อเมื่อลูกสาวจี้ใจดำอย่างตรงไปตรงมา เขามองไปยังผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาบนถนน รวมถึงหลินเซี่ยที่กำลังรอคำตอบจากเขาด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็นแบบเดียวกัน เขากัดฟันและแค่นเสียงพูดว่า “ยัยลูกคนนี้ ทำไม? คิดว่าพ่อดูเป็นคนใจโลเลแบบนั้นเหรอ?”
เจียงกั๋วเซิ่งมอบถุงขนมทั้งหมดให้หลินเซี่ย และบอกลาเธอ “เซี่ยเซี่ย พวกเราไปก่อนนะ ไว้มีเวลาเมื่อไหร่เราค่อยมาเจอกันอีกครั้ง รอบหน้าลุงเจียงจะเตรียมกับข้าวอร่อย ๆ ไว้ให้”
“ค่ะ ลุงเจียง อวี่เฟย ลาก่อนนะ”
“ลาก่อน”
เจียงกั๋วเซิ่งผลักเจียงอวี่เฟยไปที่ป้ายรถโดยสาร “รีบกลับบ้านเร็วเข้า วันหลังระวังพฤติกรรมและคำพูดของตัวเองให้มากหน่อย พ่อเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานนะ ถ้ามีใครบางคนไปร้องเรียนว่าปัญหาชีวิตส่วนตัวของพ่อไม่เหมาะสมจะทำยังไง?”
เมื่อเจียงอวี่เฟยได้ยินแบบนี้ หล่อนก็รีบปิดปาก มองไปรอบ ๆ ถนนอย่างระมัดระวัง แล้วพูดเสียงเบา “โอ้ งั้นไว้เราค่อยคุยกันหลังจากกลับถึงบ้านแล้วกันค่ะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อ่อ มาแฉกลโกงของบ้านหลิวกับบ้านเสิ่นนี่เอง สองบ้านนี้มันทำกันเป็นกระบวนการเลยนี่หว่า
รองผอ.ไม่ต้องอายแล้วค่ะ อายุขนาดนี้มันต้องพุ่งชนเป้าหมายเท่านั้น
ไหหม่า(海馬)