ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 310 เสิ่นเสี่ยวเหมยกำลังจะนัดบอด

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 310 เสิ่นเสี่ยวเหมยกำลังจะนัดบอด

ตอนที่ 310 เสิ่นเสี่ยวเหมยกำลังจะนัดบอด

ถังจวิ้นเฟิงเผยสีหน้าโง่เขลา ขณะที่ไห่เซี่ยยังคงดุด่าเขาต่อไป “ก็หล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องของนายไม่ใช่เหรอ? แล้วนายจะไม่รู้ได้ยังไง?”

ถังจวิ้นเฟิงรู้สึกแย่เมื่อได้ยินคำต่อว่าเหล่านั้น เขาจึงอธิบายกับเซี่ยไห่ว่า “หล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันก็จริง แต่ว่าครอบครัวของพวกเราสองฝ่ายไม่ได้ติดต่อกันมานานกว่าสิบปีแล้ว เรื่องนี้เจียเหอรู้ดี เมื่อสิบปีที่แล้วพ่อของหล่อนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงเงินและรับสินบน มันทำให้ครอบครัวของพวกเราตัดขาดความสัมพันธ์ต่อกันไป และครอบครัวของฉันยังต้องตามใช้หนี้ที่ครอบครัวของลุงทิ้งไว้ด้วย ก่อนหน้านี้ฉันเลยไม่เคยติดต่อกับหล่อนเลย แต่หลังจากที่หล่อนเข้าเมืองไห่เฉิงอีกครั้ง หล่อนก็เป็นฝ่ายติดต่อฉันมาก่อน และฉันก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องในอดีต หล่อนเองก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฉันฟังด้วย”

เขาเองก็คิดเหมือนกับคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาช่างแข็งแกร่งที่ฉวยโอกาสเข้าสู่แวดวงธุรกิจได้เหมาะสม จึงสามารถสร้างรายได้อย่างล้นหลาม

เซี่ยไห่ยังคงมองเขาด้วยสายตารังเกียจ “คำพูดของนายไม่น่าเชื่อถืออีกแล้ว”

ถังจวิ้นเฟิงถูกเซี่ยไห่ดุด่าต่อหน้าคนจำนวนมาก เขาเองก็ทราบถึงความผิดของตัวเองแล้ว แต่ไม่คิดตอบโต้กลับ

ทว่าในใจกลับหงุดหงิดไม่น้อยเช่นกัน

ย้อนกลับไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ พ่อของเขาถูกลุงลากเข้าไปพัวพันในเรื่องต่าง ๆ และเวลานี้เขาก็ถูกถังหลิงลากเข้าไปพัวพันเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอีกครั้ง

ถังจวิ้นเฟิงมองเห็นผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลินเซี่ย

เขารีบวิ่งเข้าไปทักทายทันที

“สวัสดีครับคุณป้า ผมชื่อถังจวิ้นเฟิง เป็นเพื่อนของเซี่ยไห่”

ถังจวิ้นเฟิงมองเซี่ยอวี่ด้วยแววตาประทับใจ “สวัสดีครับพี่สาวนักแสดงชื่อดัง”

เซี่ยอวี่ใส่แว่นกันแดด มันยิ่งทำให้หล่อนดูเย็นชามากขึ้น “สวัสดีค่ะ”

“หล่อขึ้นมากเลย” คุณแม่เซี่ยมองถังจวิ้นเฟิงก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวไห่บอกว่าเธอเป็นตำรวจงั้นเหรอ?”

ถังจวิ้นเฟิงพยักหน้ารับ “ใช่ครับคุณป้า ผมประจำอยู่ในสำนักสันติบาลทางรถไฟ”

“ไว้หาเวลาไปกินมื้อเย็นที่บ้านบ้างนะ”

“ครับ”

เซี่ยอวี่เหลือบมองหญิงชราที่เชิญชวนถังจวิ้นเฟิงอย่างกระตือรือร้นและพูดเตือนอีกครั้ง “แม่คะ กลับบ้านเถอะ วันนี้เราออกจากบ้านมานานเกินไปแล้ว”

หล่อนไม่รู้เลยว่าพี่ใหญ่กำลังทำอะไรอยู่ที่บ้าน

เซี่ยอวี่กลัวว่าเขาจะหลงทางเหมือนครั้งอยู่ในฮ่องกงอีกครั้ง

ทันทีที่เซี่ยอวี่กล่าวเตือน หญิงชราก็นึกขึ้นได้และรีบพูดตอบกลับ “ใช่ๆ เราต้องรีบกลับไปหาพี่ชายแกแล้ว”

และเมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็ไม่พบเซี่ยเหลย

หญิงชราตื่นตระหนกทันที ทั้งสามเริ่มวุ่นวายในการตามหาเขา

“เสี่ยวไห่ แกควรจะซื้อโทรศัพท์ให้พี่ใหญ่พกติดตัวไว้ได้แล้ว”

“ครับแม่ พรุ่งนี้ผมจะจัดการให้”

เซี่ยไห่และเซี่ยอวี่ค้นหาทั่วบริเวณ และเวลานี้ทั้งสองเห็นเซี่ยเหลยกำลังเดินถือถุงบางอย่างกลับมาอย่างช้า ๆ

ทั้งสองคนรีบเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อนจะร้องถาม “พี่ใหญ่ พี่ไปไหนมา?”

“ฉันแค่ออกไปเดินเล่น”

เซี่ยไห่หยิบถุงในมือของเขาขึ้นมา และเห็นว่าเป็นอาหารว่างที่อร่อยที่สุดในเมืองไห่เฉิง

หญิงชรามองออกไปนอกประตูและถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อเห็นลูกชายกลับมาแล้ว

หลังจากเข้ามาในบ้าน เซี่ยเหลยหยิบขนมที่เขาเพิ่งซื้อออกมา จากนั้นก็มอบให้แม่ และน้อง ๆ ทั้งสองคน

“นี่คือของว่างที่เปิดขายมานานหลายปีแล้ว และถือว่าเป็นอาหารพิเศษของเมืองนี้ ฉันซื้อมาลองชิมดูและเห็นว่ามันอร่อยมาก พวกคุณลองชิมดูสิ”

คุณแม่เซี่ยหยิบขึ้นมากัดหนึ่งคำก่อนจะพยักหน้ารับ “อร่อยมาก”

เซี่ยอวี่กัดหนึ่งคำ ก่อนจะบอกว่าหล่อนอยากกลับห้องไปพักผ่อน แต่เมื่อลับสายตาของทุกคน หยาดน้ำก็ไหลออกจากดวงตาของหล่อนอย่างช่วยไม่ได้

รสชาติที่คุ้นเคย

ในอดีต ป้าเพื่อนบ้านมอบสิ่งนี้ให้กับแม่ของหล่อน แต่แม่ไม่กล้าที่จะกินมัน จึงนำกลับมาให้พวกเขาทั้งสาม

แม่แบ่งมันออกเป็นสามชิ้นแล้วแจกจ่ายให้ทั้งสามพี่น้อง

พวกเขาเพียงรับมันและโยนเข้าปาก เคี้ยวอย่างเชื่องช้าและไม่ต้องการที่จะกลืนลงคอ

วันนี้พี่ชายใหญ่ถึงกับซื้อมันกลับมา ทำให้เซี่ยอวี่สัมผัสได้ว่าความทรงจำที่ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเขายังไม่หายไป

เพียงแต่เขายังนึกไม่ออกเท่านั้น

หล่อนจึงหวังว่าหลิวกุ้ยอิงจะเป็นผู้ที่ปลุกความทรงจำของพี่ชายหล่อนได้

ระหว่างกินมื้อเย็น คุณแม่เซี่ยหันกลับมาพูดคุยกับเซี่ยเหลยว่า “เสี่ยวเหลย วันนี้แม่ได้ไปตรอกที่เราเคยอาศัยมานานกว่าสามสิบปี พรุ่งนี้จะพาแกไปดูสภาพแวดล้อมที่นั่นสักหน่อย อยากไปไหม?”

เซี่ยเหลยตอบตกลงทันที “ครับ”

คุณแม่เซี่ยถึงกับประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกมีความสุขมาก

ขณะที่เซี่ยไห่กำลังจะออกไปทำงาน นางก็ฝากเขาให้บอกกล่าวกับหลินเซี่ยว่า พรุ่งนี้นางต้องการให้เซี่ยเหลยพบเจอกับหลิวกุ้ยอิง

เซี่ยไห่สวมใส่สูทก่อนจะเดินออกไปข้างนอก เวลานี้เขาเห็นว่าพี่ใหญ่ของเขาอารมณ์ดีแล้วจึงถือโอกาสพูดขึ้นว่า “พี่ครับ ปู่ของเจียเหออยากพบพี่ หัวหน้าเก่าของพี่ก็ด้วย สหายที่เกษียณอายุก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวว่าพี่กลับมาแล้ว ใคร ๆ ก็อยากจะมาเยี่ยมพี่ทั้งนั้น พี่อยากให้พวกเขามาเมื่อไหร่ดีครับ?”

เซี่ยเหลยตอบกลับว่า “อีกสองวันแล้วกัน ฉันต้องการทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแถวนี้ก่อน”

“ครับ”

……..

ในช่วงบ่าย เสิ่นเสี่ยวเหมยเดินออกจากร้านของถังหลิง เวลานี้หล่อนอดไม่ได้ที่จะสับสน

หล่อนไม่รู้เลยว่าอดีตของถังหลิงเป็นอย่างไร

อีกฝ่ายถึงกับแต่งงานและมีลูกแล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำตัวเหมือนไม่เคยแต่งงานได้อย่างแนบเนียน

เสิ่นเสี่ยวเหมยสั่นสะท้านไปทั้งร่างกายขณะนึกถึงเรื่องราวในอดีต

อดไม่ได้ที่จะนึกแค้นใจ

ถังหลิงเป็นผู้สนับสนุนให้หล่อนมายืนอยู่ในจุดนี้

เสิ่นเสี่ยวเหมยรู้สึกไม่ยินดีนักเมื่อคิดว่าตนจะต้องหย่าร้างโดยไร้เหตุผล

กล่าวตามตรงว่าหลังจากหย่าร้างแล้ว หล่อนไม่ได้พบเจอช่วงเวลาแห่งความสุขเลย

หล่อนยังคงคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเฉินเจียซิ่ง

อย่างน้อยหล่อนไม่ต้องกังวลใจในเรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะต้องการอะไรก็เพียงแค่เอ่ยปากออกไป และเฉินเจียซิ่งก็จะตอบรับคำขอของหล่อนแทบทุกครั้ง

ตอนนี้เซี่ยหลานกำลังจะหย่ากับลูกพี่ลูกน้องของหล่อน ครอบครัวของหล่อนตกอยู่ในสภาวะไร้หนทาง อีกทั้งตอนนี้หล่อนยังไม่ได้งานทำด้วย

บุคคลที่ลุงแนะนำให้รู้จักก็มีงานยุ่งมาก เอาแต่เลื่อนวันเวลาออกไป หล่อนจึงยังไม่ได้พบเจอเขาสักที

เสิ่นเสี่ยวเหมยลังเลอยู่นาน สุดท้ายแล้วก็รวบรวมความกล้าก่อนจะส่งข้อความหาเฉินเจียซิ่ง

เสิ่นเสี่ยวเหมยส่งข้อความทางเพจเจอร์ไปเยอะมาก แต่เฉินเจียซิ่งไม่ยอมตอบกลับมาแม้แต่คำเดียว

เธอจึงทำได้เพียงฝากข้อความไว้เท่านั้น

โดยบอกว่าเธอกำลังจะไปนัดบอด

และเมื่อส่งออกไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย

ถ้าเฉินเจียซิ่งยอมง้อหล่อนสักหน่อย หล่อนก็จะไม่ไปไหนอีกแล้ว

…….

เฉินเจียซิ่งใช้วันลาสองวันเพื่อเดินทางไกล และเขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากผ่านพ้นการเดินทางอันยาวนาน

ในบ้านหลังนี้มีเพียงย่าและน้องสามเท่านั้น

หญิงชราดึงน้องสามของเขาให้นั่งลงบนโซฟา และเปิดโทรทัศน์ให้ดูรายการตลกขบขันเกี่ยวกับ “ความสุข”

เฉินเจียวั่งถูกล้างสมองด้วยประโยค “ฉันชื่อเว่ยซูเฟิน เพศหญิง อายุ 29 ปี ยังไม่แต่งงาน” ประโยคเหล่านี้ยังคงติดอยู่ในใจของเขา

เฉินเจียซิ่งเปิดประตูเข้ามา และเห็นน้องสามครึ่งนอนครึ่งนั่งอยู่บนโซฟา กำลังหลับตาราวกับกำลังทำสมาธิ ส่วนหญิงชรากำลังดูทีวีและหัวเราะอย่างสนุกสนาน

คุณย่าเฉินเห็นเฉินเจียซิ่งกลับมา นางก็หยุดหัวเราะทันที

ก่อนจะเอ่ยปากถามเฉินเจียซิ่งว่า “เจียซิ่ง สองวันมานี้เธอหายไปไหนมา? แม่ของเธอบอกว่าเธอไปจัดการธุระบางอย่าง ไปไหนมาเหรอ?”

“คุณย่าครับ ผมจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว”

“มานี่สิ มานั่งดูทีวีด้วยกัน ตลกมากเลยรายการนี้ เขากำลังเล่าเรื่องคนเกียจคร้านแต่ไปนัดบอด”

หญิงชราทักทายเขาอย่างอบอุ่น ขณะเฉินเจียซิ่งนั่งลงพร้อมกับรินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว

เฉินเจียวั่งเห็นพี่รองกลับมาก็คล้ายกับพบผู้ช่วยชีวิต เขาถือโอกาสนี้ปิดเสียงทีวีทันทีก่อนจะพูดว่า “คุณย่าครับ คุยกับพี่รองสักหน่อยเถอะครับ”

พูดจบแล้ว เขาก็ต้องการจะออกจากตรงนี้

หญิงชราจึงตะโกนว่า “นั่งลง เธอต้องดูให้จบ อยู่ในห้องคนเดียวมันน่าเบื่อจะตาย เธอควรจะมีความสุขกว่านี้”

เฉินเจียวั่งไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว เขาจึงต้องนั่งลงอีกครั้งเพื่อดูรายการตลกอย่างอดทน

ขณะที่เฉินเจียซิ่งกำลังดื่มน้ำ เพจเจอร์ของเขาดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน

เฉินเจียซิ่งหยิบออกมาดู

ดวงตาของเขาพลันมืดหม่นไป และเก็บเพจเจอร์ใส่กระเป๋าอีกครั้ง

คุณย่าเฉินเอ่ยปากถาม “เจียซิ่ง ใครส่งข้อความหาเธอ? ควรโทรกลับหาเขาสักหน่อยดีไหม”

เฉินเจียซิ่งไม่ได้ปิดบังอะไร ก่อนจะตอบกลับตามตรงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เสิ่นเสี่ยวเหมยบอกว่าหล่อนกำลังจะไปนัดบอดครับ”

“แล้วทำไมหล่อนต้องบอกเธอเรื่องนัดบอดด้วย?”

คุณย่าเฉินเผยสีหน้ากังวลขณะจ้องมองเฉินเจียซิ่ง

เป็นไปได้ไหมที่หล่อนต้องการให้หลานชายของตนยื้อ?

“เจียซิ่ง หลานอยากกลับไปหาหล่อนไหม?” คุณย่าเฉินเอ่ยปากถาม

เฉินเจียซิ่งกล่าวตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่ครับ”

“คุณย่าครับ ตอนนี้ผมโสดแล้ว และเป็นอิสระ ไม่ต้องคอยรับใช้และเอาใจหล่อนอีกต่อไป ทำไมผมจะต้องโง่กลับไปแต่งงานกับหล่อนอีกครั้งล่ะครับ?”

เขาหันมองน้องสามที่อยู่ใกล้ ๆ ผู้กำลังพยายามหลับตาทำสมาธิ และนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยดูถูกจนต้องล้มป่วย แววตาของเขายิ่งเผยความเย็นชา “ม้าดีไม่กลับไปกินหญ้าเก่า”

ทางฝั่งเสิ่นเสี่ยวเหมยรู้สึกผิดหวังมาก เพราะปกติแล้วหล่อนไม่เคยต้องเฝ้ารอการตอบกลับจากเฉินเจียซิ่งเลย

หล่อนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งผ่านไรฟัน “เฉินเจียซิ่ง คุณใจร้ายเกินไปแล้ว”

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก่อนที่หล่อนจะได้เล่าเรื่องราวคาวๆ ของถังหลิงให้ผู้เฒ่าเสิ่นฟัง ชายชราก็พูดกับหล่อนอย่างมีความสุขว่า “เสี่ยวเหมย พรุ่งนี้ช่วยเตรียมตัวให้ดีด้วย หมอเสี่ยวเย่ที่ฉันจะแนะนำให้รู้จักจะมาพบเธอในบ่ายวันพรุ่งนี้แล้ว”

เสิ่นเสี่ยวเหมยกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “ผ่านมาตั้งนานแล้ว นึกว่าเขาจะไม่อยากพบเจอฉันเสียอีก”

“เขาจะไม่อยากเจอได้ยังไง? สุดท้ายการนัดบอดกับเธอถือว่าเป็นเกียรติสำหรับเขานะ”

เมื่อผู้เฒ่าเสิ่นพูดออกมาอย่างนั้น เสิ่นเสี่ยวเหมยก็สะบัดผมลอนของตนอย่างภาคภูมิ

หล่อนวางแผนในใจว่าต้องการจะซื้อเสื้อผ้าใหม่สองชุด ผู้ชายคนใหม่เป็นถึงหมอ และเหนือกว่าสามีเก่าทั้งในด้านอาชีพ และภูมิหลังของตระกูล สุดท้ายผู้ชายคนนี้น่าจะดีกว่าเฉินเจียซิ่งผู้ไร้ประโยชน์แน่นอน

หล่อนจะต้องเอาชนะเพื่อตบหน้าเฉินเจียซิงให้ได้

…………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เจียซิ่งหมดกรรมกับนังเหมยแล้ว รอดูผู้ชายใหม่เลยค่ะว่าจะศีลเสมอกันหรือกลายเป็นเจียซิ่งสองให้นังเหมยจิกหัวใช้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 306 ได้เงินจากครอบครัวสามีเก่ามาเท่าไหร่ล่ะ?

ตอนที่ 306 ได้เงินจากครอบครัวสามีเก่ามาเท่าไหร่ล่ะ?

หลินเซี่ยไปที่ห้องเล็ก ๆ เพื่อถอดเสื้อคลุมออก และวางแผนว่าจะดัดผมให้ลูกค้า

แม่เซี่ยและเซี่ยอวี่นั่งลงข้างกันและเฝ้าดูหลานสาวทำงาน

ในฐานะนักแสดง เซี่ยอวี่คุ้นเคยกับการทำผมและการแต่งหน้าอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าหล่อนมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้

ในขณะที่หล่อนกำลังเฝ้าดูหลินเซี่ยแปลงโฉมให้พี่สาวคนหนึ่งด้วยทักษะอันชำนาญ หล่อนก็มองไปที่หลินเซี่ยด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง

เดี๋ยวนี้ช่างตัดผมในไห่เฉิงฝีมือดีขนาดนี้แล้วเหรอ?

หล่อนสังเกตเห็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่าง ๆ วางเรียงรายอยู่บนตู้ จึงถามด้วยความสงสัย

“เซี่ยเซี่ย ร้านของเธอมีบริการดูแลด้านความงามด้วยเหรอ?”

หลินเซี่ยตอบว่า “ใช่ค่ะ ฉันซื้อผลิตภัณฑ์เสริมความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมาบ้างแล้ว แต่เพราะร้านนี้มีขนาดเล็กเกินไป เลยต้องเน้นบริการไปที่การทำผมเป็นหลัก แต่ฉันเตรียมย้ายร้านไปเปิดที่ใหม่แล้วนะคะ หลังจากเปิดทำการ บริการด้านความงามจะถูกเพิ่มเข้าไปด้วย”

“หลานคนเก่ง” แม่เซี่ยกำลังจะชมว่าหลานสาวของเธอช่างเป็นคนที่เก่งและมองการณ์ไกล แต่เมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ในร้านมากมาย จึงอดใจไว้และเรียกเธอว่า “เซี่ยเซี่ยคนเก่ง”

เมื่อหลินเซี่ยเป่าผมให้กับลูกค้าเสร็จแล้ว เซี่ยอวี่ก็เดินเข้ามาและพูดกับหลินเซี่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เซี่ยเซี่ย ช่วงที่ฉันยังอยู่ที่นี่ เธอจะกลายเป็นสไตลิสต์ส่วนตัวของฉัน”

“หา?” หลินเซี่ยรู้สึกยินดีมาก “จริงเหรอคะ?”

เซี่ยอวี่ยิ้มและพยักหน้า “แน่นอน ฝีมือของเธอดีมาก”

สไตลิสต์ส่วนตัวของหล่อนในฮ่องกงไม่ได้ตามมาด้วย

แต่หล่อนสามารถเปลี่ยนมาลองใช้บริการฝีมือของหลานสาว ลองสไตล์ใหม่ ๆ แทนได้

หลินเซี่ยตอบกลับด้วยความยินดี “ขอบคุณอาที่เชื่อใจในฝีมือฉันค่ะ”

หลังจากที่หลินเซี่ยทำงานเสร็จ หญิงชราก็พูดว่า “เซี่ยเซี่ย คืนนี้กลับไปกินข้าวที่บ้านเราอีกสิ”

หลินเซี่ยดูลังเล “คุณย่า ฉันว่าฉันไม่ควรไปบ่อยเกินไปหรือเปล่าคะ? ให้พ่อปรับตัวจนคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่ก่อนดีกว่า”

เซี่ยอวี่เห็นด้วย “แม่ ให้เซี่ยเซี่ยพักผ่อนหน่อยเถอะ ไว้เราค่อยกลับไปคุยเรื่องพี่อิงจื่อให้พี่ใหญ่ฟังในวันนี้ แล้วหาทางให้พวกเขาได้มาเจอกัน”

“งั้นก็ได้”

หลังจากออกจากร้านตัดผม เดิมทีเซี่ยอวี่ต้องการออกไปขอให้เซี่ยไห่ช่วยขับรถไปส่งพวกเธอ แต่หญิงชราบอกว่านางจะขึ้นรถประจำทางกลับ เพื่อทำความคุ้นเคยกับเส้นทางของรถประจำทาง

ทันทีที่หลินเซี่ยพาพวกเขาเดินลงมาจากขั้นบันได ถังหลิงก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาทันที พลางมองไปที่หญิงชราและเซี่ยอวี่แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “คุณป้า คุณเซี่ย พวกคุณจะกลับกันแล้วเหรอคะ?”

เซี่ยอวี่สวมแว่นกันแดด ไม่ยอมพูดอะไร หญิงชราเป็นฝ่ายตอบกลับ “ใช่ จวนจะเย็นแล้ว เราต้องรีบกลับ”

ถังหลิงรู้ว่าเซี่ยอวี่เป็นนักแสดง แน่นอนว่าต้องมีความเข้มงวดเรื่องการดูแลผิวพรรณเป็นพิเศษ หล่อนจึงล่อเป้าอย่างตรงจุดทันที “คุณเซี่ยคะ ถ้าคุณพอจะมีเวลาว่าง สามารถมาที่ร้านของฉันเพื่อทดลองใช้บริการเสริมความงามและดูแลผิวหน้าได้ สภาพอากาศในไห่เฉิงมีความแตกต่างไปจากสภาพอากาศในฮ่องกง พอคุณมาถึงที่นี่ ผิวของคุณอาจปรับสภาพไม่ทัน เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวตามมา”

“ขอบคุณ แต่หลานสาวฉันช่วยดูแลในส่วนนี้ได้”

เซี่ยอวี่ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ถังหลิงโดนปฏิเสธก็ยังไม่ละความพยายาม ยื่นกล่องผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่หล่อนเตรียมไว้สักพักหนึ่งแล้วให้กับเซี่ยอวี่ “คุณผู้หญิง นี่คือสกินแคร์ตัวล่าสุดที่ฉันสั่งนำเข้าในสินค้าล็อตล่าสุดค่ะ ฉันขอมอบให้คุณแทนของขวัญเนื่องในโอกาสที่เราได้รู้จักกันนะคะ”

เซี่ยอวี่จ้องมองสิ่งของในมืออีกฝ่าย จากนั้นก็ก้าวถอยหลังแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วย ฉันแพ้แบรนด์นี้”

ถังหลิงถูกปฏิเสธอีกครั้ง หน้าตาของหล่อนดูกังวลเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

ดวงตาของหล่อนขยับไหวเล็กน้อย ก่อนจะเพ่งเล็งไปที่หญิงชราอีกครั้ง

หล่อนมองแม่เซี่ยด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้าของเธอ เจรจาเจื้อยแจ้วเสียงแผ่ว “คุณป้า เมื่อคืนนี้เซี่ยไห่กับฉันอยู่คุยกันจนดึกเลยค่ะ เราคุยกันหลายเรื่องมาก ได้ยินเขาบอกว่าพี่ชายคนโตสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง หรือฉันช่วยเป็นธุระแนะนำให้หมอที่ฉันรู้จักมารักษาเขาดีไหม?”

“แนะนำหมอเหรอ?” แม่เซี่ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองหลินเซี่ยและเซี่ยอวี่ แล้วปฏิเสธด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “ไม่รบกวนดีกว่าจ้ะ”

จู่ ๆ ถังหลิงก็จับมือหญิงชรา มองดูอีกฝ่ายพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจและใจกว้าง “รบกวนอะไรกันคะ ครอบครัวของเซี่ยไห่ก็เหมือนกับครอบครัวของฉัน บ้านฉันอยู่ในไห่เฉิง ฉันพอรู้จักคนที่นี่อยู่บ้าง และรู้ดีด้วยว่าในฐานะแม่คุณต้องเสียใจและกังวลมากแค่ไหนเมื่อลูกชายตัวเองป่วยแบบนั้น ถ้าคุณต้องการอะไร ให้บอกฉันได้เลยนะคะ”

ถังหลิงแสดงความจริงใจมาก จนความระมัดระวังของแม่เซี่ยลดลงเหลือศูนย์ หล่อนพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ได้ ขอบคุณมาก”

ถ้าหลินเซี่ยและเซี่ยอวี่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างนาง หญิงชราอาจจะปักใจหมายมั่นให้หล่อนเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตไปแล้ว

ปากของหลินเซี่ยกระตุกเล็กน้อย

เธอมองไปที่ผู้เป็นย่า ทันใดนั้นก็เข้าใจถึงบรรดาคนแก่ที่มักคล้อยตามโฆษณาชวนเชื่อให้ซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพในข่าวเมื่อชาติที่แล้ว

การใช้ไพ่ตายทางอารมณ์กับคนแก่แน่นอนว่าได้ผลตอบรับมากกว่า

ถังหลิงแสดงความหน้าซื่อใจคดของหล่อนออกมาอย่างโจ่งแจ้งเพื่อสร้างความสับสนให้กับครอบครัวของเธอต่อหน้า ในที่สุดความอดทนของหลินเซี่ยก็ถึงขีดจำกัด

เธอดึงมือของหญิงชราออกไป ปกป้องให้เธอไปยืนอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็มองไปที่ถังหลิงพร้อมกับแค่นเสียงเยาะเย้ย

“คุณถัง หมอที่คุณว่าคงจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่คุณติดสินบนให้วินิจฉัยเท็จว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยแท้งใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นญาติห่าง ๆ ของคุณนี่? คุณมีเส้นสายการติดต่อที่กว้างขวางดีจริง ๆ เลยนะคะ

แต่ต้องขอโทษด้วย พ่อฉันเป็นถึงวีรบุรุษสงคราม ชีวิตของเขามีคุณค่ามากกว่านั้น เราคงไม่กล้าพาเขาไปรับการรักษาจากหมอจอมปลิ้นปล้อนไร้จรรยาบรรณทางการแพทย์ที่คุณรู้จักหรอก”

ถังหลิงสะดุ้งโหยง แต่แล้วก็ยกมือขึ้นเสยผมเพื่อซ่อนความตื่นตระหนกภายใน “เซี่ยเซี่ย เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่เนี่ย?”

หลินเซี่ยเรียกผู้ชายคนนั้นว่าพ่อ?

พี่ชายคนโตของเซี่ยไห่คือพ่อของเธอเหรอ?

แต่หล่อนไม่ได้คิดมากเกินไป รีบอธิบายว่า “คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นคนไปเจอญาติห่าง ๆ ของฉันเอง จากนั้นก็จ่ายเงินให้เขาเพื่อสร้างละครตบตาขึ้นมา ฉันไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”

“ถึงขั้นนี้แล้วยังกล้าเสแสร้งอยู่เหรอ? ผลการสอบสวนจากทางโรงพยาบาลประกาศออกมาแล้ว คุณเองก็เพิ่งถูกสถานีตำรวจเรียกตัวไปสอบปากคำ คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง?”

เสียงของหลินเซี่ยดังมาก จนพ่อค้าแม่ค้าในร้านค้าทั้งสองฝั่งถนนต่างเข้ามาเป็นจีนมุงด้วยความสงสัย

วันนี้เสิ่นเสี่ยวเหมยมาที่ร้านเสริมสวยของถังหลิงเพื่อใช้บริการบำรุงผิวหน้า ส่วนหลิวลี่ลี่ก็เพิ่งทาครีมบางอย่างลงบนใบหน้าของหล่อน

เมื่อหล่อนได้ยินเสียงของหลินเซี่ย หล่อนก็เริ่มนอนอยู่ไม่สุข เพราะคิดว่าถังหลิงกำลังถูกรังแก ดังนั้นจึงขอให้หลิวลี่ลี่ทำความสะอาดใบหน้าให้หล่อนอย่างรวดเร็ว แล้วออกไปดูสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น

ข้างนอก ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของถังหลิงไม่มีผู้เต็มใจรับ พร้อมกันนั้นหล่อนก็โกรธหลินเซี่ยมากด้วย เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยข้อเท็จจริงจากปากอีกฝ่าย ถังหลิงก็ตื่นตระหนก ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมรับ “เซี่ยเซี่ย เธอเข้าใจฉันผิดไปจริง ๆ เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด”

“คุณเซี่ย ในเมื่อคุณไม่ยินดีใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันขอเอามันกลับไปนะคะ”

เธอหาทางหนีโดยการอ้างว่าจะกลับเข้าร้าน

หลินเซี่ยก้าวไปข้างหน้า จากนั้นก็ขวางหล่อนไว้อย่างเด็ดเดี่ยว

เธอชี้ไปที่ร้านเสริมความงามซึ่งธุรกิจเงียบเหงารกร้างแล้วพูดต่อ

“ฉันไม่คิดว่าร้านของคุณจะทำเงินได้มากมายขนาดนั้นนะ คุณจ่ายเงินลงทุนไปมากขนาดนี้เชียวเหรอนี่? แถมยังใจกว้างให้ผลิตภัณฑ์นำเข้ากับอาของฉันฟรี ๆ คุณนี่ใช้เงินไม่น้อยเลยนะเพื่อที่จะจับเซี่ยไห่”

หลินเซี่ยมองหล่อนอีกครั้ง ถามด้วยเสียงอันดังว่า “คุณได้เงินจากครอบครัวสามีเก่ามาเท่าไหร่ล่ะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เซี่ยเซี่ยเอาอีก เอาความจริงฟาดนังถังให้ตายคาสี่แยกจีนมุงไปเลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ? เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท