บทที่ 234 ถ้วยรางวัลนี่ออกจะหนักไปหน่อย
พิธีมอบรางวัลผลงานดีเด่นทำให้มุมมองต่ออาชีพนักวิจัยเปิดกว้างขึ้น ภาพจำว่านักวิจัยต้องหัวล้าน หน้าโทรมกลับกลายเป็นดูหล่อเหลาขึ้นมาทันตา
รางวัลที่ทบยอดมาจนมีมูลค่ากว่าสามล้านหยวนเป็นที่อิจฉาของทุกคน แต่เมื่อเทียบกับเกียรติยศที่ได้รับแล้ว รางวัลนี้ก็ดูน้อยลงไปเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิธีมอบรางวัลสิ้นสุดลง รางวัลของจริงก็มาถึง!
ความฮึกเหิมของไป๋เยี่ยกลับมาติดบอร์ดฮ็อตเสิร์ชอีกครั้งหนึ่ง
‘ไป๋เยี่ยได้รับรางวัลผลงานดีเด่น กลายเป็นบุคคลอายุน้อยที่สุดในโลกที่ได้รับรางวัลนี้ ในขณะเดียวกันก็เป็นบุคคลอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลมูลค่าดุจทองคำ’
‘ยอดนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะไป๋เยี่ยได้รับรางวัลผลงานดีเด่นระดับโลกอีกครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเราต้องสะพรึงกับอัจฉริยะผู้นี้’
‘ไป๋เยี่ยจะกลายเป็นคนที่สองของประเทศจีนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาชีววิทยาหรือการแพทย์หรือไม่’
แน่นอนว่ายังมีสื่อบางเจ้าที่สรรเสริญไป๋เยี่ยจนเทียมฟ้า ทั้งขนานนามเขาว่าเป็นยอดอัจฉริยะเหนือโลกทำนองนั้น
ณ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี จางฮั่นหลินนั่งดูการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ด้วยความตื้นตันใจ เขาเป็นพยานให้กับการเติบโต ทั้งยังรับรู้ถึงทุกความสำเร็จของไป๋เยี่ย
จางฮั่นหลินรู้ว่าไป๋เยี่ยไม่ใช่บัวใต้ตม ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องแตกกิ่งก้านทะยานขึ้นประจัญท้องฟ้า ทว่าเขาไม่เคยคิดว่าช่วงเวลานั้นจะมาถึงเร็วเช่นนี้
อันที่จริงหากพิจารณาดูดีๆ ความสำเร็จของไป๋เยี่ยนั้นเล็กน้อยจริงหรือ
เพียงแต่ว่ารางวัลนี้เป็นรางวัลระดับโลกที่ไป๋เยี่ยสมควรได้รับ คิดได้ดังนั้น จางฮั่นหลินก็พึมพำกับตนเองพร้อมตัดสินใจว่าจะให้ไป๋เยี่ยกลับมาบรรยาย อย่างไรเสียตอนนี้สถานะของเขาและไป๋เยี่ยก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
เปรียบเสมือนนักแสดงที่ได้รับรางวัลม้าทองคำหรือรางวัลฮ่องกงฟิล์มอวอร์ด ทำให้สถานะของพวกเขาสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋เยี่ยเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี นี่คือผู้ชนะรางวัลระดับโลกที่สถาบันบ่มเพาะขึ้นมา ทำเอาจางฮั่นหลินต้องมานั่งพิจารณาว่าเขาควรจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ไป๋เยี่ยหรือไม่ ไม่ก็สร้างหอเกียรติยศให้ไป๋เยี่ยหรือชมรมการเรียนรู้ไป๋เยี่ย…
อย่างน้อยๆ ก็ควรมีการจัดงานสรรเสริญขึ้นสักหน่อย
แต่ถึงกระนั้นอิทธิพลของไป๋เยี่ยในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็มากเกินกว่าที่จางฮั่นหลินจินตนาการไว้ บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยของวันที่ไป๋เยี่ยได้รับรางวัลดูจะครึกครื้นเอามาก
โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งที่แทบจะคลั่งไคล้ไป๋เยี่ยถึงขั้นสุด ไป๋เยี่ยทั้งขึ้นบรรยายให้กำลังใจน้องใหม่ ทั้งเป็นคนนำอ่านคำปฏิญาณตน ไป๋เยี่ยก็คือผู้นำทางให้กับพวกเขานั่นเอง
และตอนนี้ที่ไป๋เยี่ยได้รับรางวัลผลงานดีเด่น พวกนักศึกษาปีหนึ่งต่างก็พากันตื้นเต้นเสมือนได้รับรางวัลเอง กล่าวได้ว่าไป๋เยี่ยคือผู้ชี้แนะ ผู้ให้กำลังใจและเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาในเส้นทางอาชีพนี้
ไป๋เยี่ยไม่ใช่แค่ไอดอลในใจอีกต่อไป แต่เขาคือจิตวิญญาณ แนวทาง และอนาคต!
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวว่าครอบครัวของไป๋เยี่ยค่อนข้างลำบาก ว่ากันว่ามีครั้งหนึ่งผู้อำนวยการหูเคยไปเยี่ยมบ้านไป๋เยี่ยและพบว่าครอบครัวของเขาลำบากจริงๆ เขามาจากชนบท ไม่มีแม้แต่เงินซื้อหนังสือสอบเข้าปริญญาโท เขาไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้จึงไปร้านอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลทำธีสิส ช่วงสอบเข้าปริญญาโทเขามุมานะมากจนแทบอดหลับอดนอนไม่ยอมกินข้าว
เรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เหล่านักศึกษาจึงก่อตั้ง ‘ชมรมการเรียนรู้ไป๋เยี่ย’ ขึ้นเพื่อนำความอุตสาหะ ความมุมานะ และจิตใจฝักใฝ่กับการเรียนรู้มาเป็นบทเรียนให้ตนเอง
ทางสถาบันไม่ได้กีดกันความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้ ซ้ำยังสนับสนุนด้วย!
ทันใดนั้น เหล่านักศึกษาก็ค้นพบว่าการยื่นเรื่องก่อตั้งชมรมนั้นง่ายมากหากใช้ชื่อไป๋เยี่ย
ทำให้ชมรมที่เกี่ยวกับไป๋เยี่ยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทั้ง ‘ชมรมรักการอ่านไป๋เยี่ย’ ‘ชมรมหมากล้อมไป๋เยี่ย’ ‘ชมรมอีสปอร์ตไป๋เยี่ย’ ‘ชมรมนวัตกรรมไป๋เยี่ย’…
ทว่าบนอินเทอร์เน็ตนั้นฮ็อตยิ่งกว่า คำกล่าวว่า ‘คลอดลูกก็ให้ลูกโตมาเป็นไป๋หั่วหวา’ ได้รับความนิยมให้หมู่แม่ๆ และผู้หญิงจำนวนมาก
ทางด้านหูไฉ่อวิ๋นที่แม้ตัวจะอยู่ต่างแดนก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วยจึงจัดปาร์ตี้ค็อกเทลที่วิลล่า
ในขณะเดียวกัน ไป๋เยี่ยก็กำลังนั่งโพสต์โมเมนต์อยู่บนเก้าอี้
เป็นภาพตนเองถือถ้วยรางวัลตามด้วยข้อความ ‘ถ้วยรางวัลนี่ออกจะหนักไปหน่อยแฮะ~ ผมอยากมีคนช่วยถือจัง…’
โพสต์เมื่อครู่ทำให้ผู้คนเกิดความแตกตื่นไม่น้อย จนแม้แต่แพทย์และนักวิชาการจากทั่วโลกก็แห่กันมาคอมเมนต์
จางเสวี่ยเวิ่น [ฮ่าๆ มาหาอาจารย์พร้อมถ้วยรางวัลบ้างสิ!]
สวี่โฮ่วเต้า [ไม่หนักไปหรอกน่า!]
เกาเย่ว์หยางหยอก [เจ้าเด็กนี่! ได้ดีแล้วทำเป็นเรื่องบังเอิญซะได้!]
ถูโยว [เรื่องหลังจากนี้สำคัญกว่าอีกว่าไหม เสี่ยวเยี่ยคงกำลังวางแผนจะแต่งงานสินะ หลานสาวของนักวิชาการหวังเพื่อนบ้านของดิฉันน่ะ…]
หลิวป๋อหลี่ [ได้เวลาหาเนื้อคู่แล้ว] “ถึงเวลาหาเพื่อนร่วมทางแล้วจริงๆ”
คังเจี้ยนเซิง [หลานสาวของผมเป็นหมอที่ยูเนียน ปีนี้อายุยี่สิบเจ็ดแล้ว คราวหน้าเสี่ยวเยี่ยมาเยี่ยมที่บ้านสิ]
หูเฟิงอวิ๋น [เหล่าคัง~ หลานสาวคุณมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอคะ เสี่ยวเยี่ย ไหนรับปากป้าว่าจะมาหาที่บ้านไง ทำไมยังไม่มาอีก! ลูกสาวป้าเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่…]
แม้แต่เว่ยซูชิงก็มาคอมเมนต์ [อิจฉาที่พวกคุณมีลูกสาวหลานสาวจริงๆ เลยค่ะ ดิฉันมีแต่หลานชาย เฮ้อ~]
นักวิชาการเมิ่ง [เอ๋ คุณเว่ย ผมก็มีหลานสาวนะ ปีนี้อายุ…]
ตอนแรกไป๋เยี่ยก็ยังไล่ตอบคอมเมนต์ทีละคน ทว่านานเข้าก็เริ่มมีคนมาคอมเมนต์เยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มเหมือนการรวมตัวหาคู่นัดบอดขึ้นทุกที
ทว่าตอนนี้ไป๋เยี่ยอยู่บนหลังเสือแล้ว อยากลบคอมเมนต์ก็ลบไม่ได้ ก็ดูสิว่าใครเข้ามาคอมเมนต์บ้าง
มีแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนจีนและนักวิชาการ…
เดิมทีพานเซี่ยงเหนียนและหลี่มู่หยางก็ทำท่าจะหยอกไป๋เยี่ยเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นว่าในช่องคอมเมนต์มีแต่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ…ทุกวันนี้จะกดไลก์ใครก็ต้องดูสถานะทางวิชาชีพด้วย!
เช่นเดียวกันกับพ่างจื่อและคนอื่นๆ ที่ตอบกลับความคิดเห็นของเหล่าอาจารย์ไม่ได้ จึงได้แต่ทิ้งคอมเมนต์หยอกล้อไว้ด้านล่างแทน
ทั้งยังขู่ว่าจะพกดาบยาวสิบแปดเมตรไปบั่นคอคนกระแดะที่ปักกิ่ง!
แต่ถึงกระนั้นไป๋เยี่ยก็ไม่ได้ตอบกลับคอมเมนต์เหล่านั้นเพราะกลัวว่จะพลั้งพิมพ์สิ่งที่ไม่ควรพิมพ์ออกไป ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพิมพ์เรื่องไร้สาระในโมเมนต์
ก่อนที่ไป๋เยี่ยจะหลงระเริงไปมากกว่านี้ เขาก็ได้รับสายจากใครบางคน
เป็นสายจากหลิวป๋อหลี่ ที่ปรึกษาของเขานั่นเอง “เสี่ยวเยี่ย มาที่ห้องทำงานผมหน่อยสิ”
เราติดเล่นมากไปเหรอ
ไป๋เยี่ยจัดการอารมณ์และตรงไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ทันที ตลอดทางเขาเอาแต่วิตกกังวลพลางคิดว่าต่อไปเขาไม่ควรทำตัวน่าหมั่นไส้แบบเปิดเผยอย่างนี้อีก…
หลังจากที่ผลักประตูเข้าไป ไป๋เยี่ยก็พบว่าในห้องไม่ได้มีแค่อาจารย์ แต่ยังมีอีกสามคนที่กำลังนั่งพูดคุยหัวเราะกับหลิวป๋อหลี่ด้วย…
ชายทั้งสามคนมีอายุราวๆ ห้าสิบปี พวกเขาสวมชุดสูทดูภูมิฐาน ยามทีพูดคุยกับหลิวป๋อหลี่ก็ดูไม่มีท่าทีถือตัว
ไป๋เยี่ยเอ่ยปากขึ้น “สวัสดีครับ อาจารย์”
หลิวป๋อหลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “พวกเขาคืออาจารย์จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
ไป๋เยี่ยพยักหน้ารับแล้วกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ อาจารย์”
เมื่อทั้งสามคนเห็นว่าไป๋เยี่ยมีท่าทีสุภาพมากก็เผยรอยยิ้มออกมา “มานั่งเร็ว ตอนแรกพวกผมเกือบเรียกคุณว่าอาจารย์ไป๋เยี่ยแล้ว ไม่คิดว่าคุณจะอายุน้อยขนาดนี้”
ไป๋เยี่ยยิ้ม
ชายคนหนึ่งชิงพูดขึ้นก่อน “ผมมาที่นี่ในวันนี้เพราะว่าเบื้องบนขอให้ผมนำเอกสารนี้มาให้คุณ คุณลองอ่านดู”
ไป๋เยี่ยยื่นมือออกไปรับเอกสาร ทันทีที่เขาเห็นหน้าปกก็แทบช็อก!
‘โครงการอัจฉริยะเชียนไป่ว่าน‘
โครงการอัจฉริยะเชียนไป่ว่าน!
จะมีใครที่ทำงานในแวดวงวิชาการ งานวิจัย วิทยาศาสตร์และการศึกษาที่ไม่รู้จักโครงการนี้บ้าง 艾琳小說
ในช่วงต้นปี 2004 กระทรวงและคณะกรรมการทั้งเจ็ดหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกันจัดและดำเนินการแผนการฝึกอบรมบุคลากรผู้มีความสามารถพิเศษระดับชาติที่สำคัญ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการสร้างบุคลากรวิชาชีพระดับสูงและบุคลากรเฉพาะทาง รวมถึงเร่งบ่มเพาะผู้นำทางวิชาการและเทคโนโลยีรุ่นใหม่
แผนดั้งเดิมคือการบ่มเพาะนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและนักคิดที่มีศักยภาพโดดเด่นระดับแนวหน้าจำนวนหนึ่งร้อยคน ผู้มีภาวะผู้นำระดับชาติจำนวนหนึ่งพันคนและผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์และสาขาต่างๆ ทุกแขนงจำนวนหนึ่งหมื่นคนภายในปี 2010 ล้วนเป็นเยาวชนนับหมื่นคนที่มีความสามารถโดดเด่น มีบทบาทสำคัญและมีศักยภาพในการพัฒนาตนเองในสาขาที่ศึกษา
อย่างไรก็ตาม หลังจากพัฒนาแผนนี้มาราวสิบปี ผลลัพธ์ก็ออกมามีประสิทธิภาพ จึงมีการขยายโครงการออกไปอีก
จนปัจจุบัน โครงการอัจฉริยะเชียนไป่ว่านก็ได้บ่มเพาะผู้มีความสามารถเกือบแปดพันคนแล้ว
ไป๋เยี่ยใจเต้นระรัว นี่มันการยอมรับระดับชาติชัดๆ!
โครงการอัจฉริยะเชียนไป่ว่าน!
มีนักวิชาการไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งจางฮั่นหลินก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไป๋เยี่ยเปิดอ่านเอกสารไปเรื่อยๆ จนพบกับแบบฟอร์มที่มีหัวข้อระบุอยู่บนหัวกระดาษ
‘ใบสมัครโครงการเชียนเหริน‘
โครงการเชียนเหริน!
หนึ่งพันคนจากทั้งประเทศ! นี่คือความเชื่อมั่นจากคนทั้งประเทศ!
ไป๋เยี่ยกลืนน้ำลายพลางลอบมองคนอื่นๆ ในห้องก่อนจะถอนหายใจออกมา แบบนี้ก็เหมือนจ้างเราไปเป็นนักวิชาการน่ะสิ
ชายคนหนึ่งยิ้ม “ทุกคนมองเห็นความสำเร็จของคุณ ดูจากผลงานแล้วคุณมีศักยภาพมากพอที่จะอยู่ในโครงการไป่เหริน อย่างไรก็ตาม เบื้องบนได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ และตัดสินใจให้คุณเริ่มจากโครงการเชียนเหริน”
ชายคนนั้นพูดจบก็มองไปทางไป๋เยี่ย “ใบสมัครนี้เบื้องบนเป็นผู้มอบให้คุณ เพราะฉะนั้นได้โปรดทำงานหนัก!”
เบื้องบน…
ไป๋เยี่ยพลันนึกถึงภาพตัวอักษรที่บ้าน ดูเหมือนว่าเบื้องบนจะสนใจเขาจริงๆ
โครงการเชียนเหรินนั้นเกินความคาดหมายของไป๋เยี่ยไปมาก เขาคิดว่าตนจะอยู่แค่โครงการว่านเหรินเท่านั้น อย่างไรเสียแวดวงวิชาการก็มักจะใช้ความอาวุโสเป็นเกณฑ์อยู่แล้ว
มิเช่นนั้น…อาจารย์ถูคงจะไม่ได้เป็นนักวิชาการ แวดวงนี้ยังมีเรื่องให้ตัดสินกันอีกเยอะ ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น
หนึ่งพันคนจากทั้งประเทศ!
สัดส่วนนี้มีน้ำหนักมาก มันไม่ใช่แค่เกียรติยศ แต่คือความรับผิดชอบและภาระหน้าที่
ก่อนที่ชายคนนั้นจะจากไป เขาก็หันมายิ้มให้ไป๋เยี่ยอีกครั้งหนึ่ง “เสี่ยวเยี่ย รีบกรอกใบสมัครนะ แล้วทางเราจะส่งหนังสือว่าจ้างให้คุณ เบื้องบนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ถึงตอนนั้นจะกระทำการใดๆ ก็คงไม่สะดวกเท่าไหร่แล้ว…”