ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 256 ประสบการณ์ชีวิต(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 256 ประสบการณ์ชีวิต(1)

ตอนที่ 256 ประสบการณ์ชีวิต(1)

เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูด เติ้งซูหลานก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม่เองก็ไม่ได้รู้มาก่อนหรอก”

“แต่ว่า…ทำไมแม่ถึงไม่ตกใจกับเรื่องการตายของซูหว่านอวี๋เลยสักนิด แต่กลับแปลกใจเรื่องที่ฉินมู่หลานเป็นลูกสาวของซูหว่านอี๋” เซี่ยอวี่หรงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย

เมื่อเห็นลูกสาวยังคงเอ่ยถามต่อไป สีหน้าของเติ้งซูหลานก็ดูยับยู่ไม่พอใจนิดหน่อย

“อวี่หรง วันนี้ทำไมลูกพูดมากจังเลย แม่ก็แค่แปลกใจที่ฉินมู่หลานเป็นลูกสาวของซูหว่านอี๋ เลยทำให้ลูกสงสัยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย นอกจากนี้พี่น้องตระกูลซูก็ออกจากเมืองหลวงไปตั้งหลายปี แม่จะไปรู้เรื่องของสองพี่น้องพวกนี้ได้ยังไงกัน แล้วนี่…ลูกออกมาตามหาพ่อไม่ใช่เหรอ แล้วเขาล่ะ?”

เมื่อเห็นผู้เป็นแม่พูดเช่นนี้ เซี่ยอวี่หรงจึงไม่เอ่ยถามอะไรอีก และชี้ตรงไปข้างหน้าก่อนจะพูดขึ้น “พ่อก็อยู่ตรงนั้นไง”

เซี่ยอวี่หรงเพิ่งพูดจบ เซี่ยฉางชิงก็หันกลับมา เมื่อเห็นภรรยากับลูกสาวยืนอยู่ตรงนั้น ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “พวกคุณมาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เพียงแต่เขาเพิ่งได้รับข่าวที่เหมือนจะยอมรับความจริงไม่ได้ สติจึงยังไม่ฟื้นคืนกลับมา ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความหดหู่และเจ็บปวด

เซี่ยอวี่หรงเห็นพ่อเป็นแบบนี้ ก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย จากนั้นก็บอกกล่าว “พ่อ หนูเพิ่งออกมาตามหาพ่อเมื่อกี้นี้ แขกกลับไปกันหมดแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะค่ะ”

เซี่ยฉางชิงได้ยินเช่นนี้ก็โบกมือให้ภรรยากับลูกสาว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกคุณกลับกันก่อนเลย ผมมีเรื่องต้องจัดการ เดี๋ยวค่อยกลับบ้านทีหลัง”

ได้ยินสามีบอกเช่นนี้ แววตาของเติ้งซูหลานก็ปรากฏความเย้ยหยัน จ้องมองสามีแล้วเอ่ยถาม “คุณยังต้องจัดการอะไรอีก ฉันก็กำชับคุณไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าวันนี้นอกจากงานเลี้ยงฉลองของอวี่หรง ก็ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว”

“มีเรื่องด่วนน่ะ เพราะฉะนั้นพวกคุณกลับกันก่อนเลย”

ขณะที่เติ้งซูหลานต้องการจะเอ่ยอะไรเพิ่มเติม ก็โดนลูกสาวคว้าเอาไว้ก่อน

“พ่อ ถ้าพ่อยุ่งก็ไปจัดการธุระให้เรียบร้อยเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูกับแม่กลับก่อน” พูดจบก็ดึงแม่ออกไปทันที

หลังจากทั้งสองคนออกมาได้ไกลแล้ว เติ้งซูหลานก็สะบัดมือลูกสาวออกทันที ก่อนจะพูดขึ้น “อวี่หรง ทำไมถึงห้ามแม่ล่ะ แม่แค่อยากจะถามว่าเขามีอะไรต้องไปจัดการอีก เหอะ…เขาคงได้ยินว่าซูหว่านอวี๋เสียแล้วสินะ ก็เลยเศร้าใจอย่างนั้นใช่ไหม เศร้าใจถึงขนาดไม่ยอมกลับบ้านของเรา”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยอวี่หรงก็อดถามไม่ได้ “แม่ พ่อกับซูหว่านอวี๋คนนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกันเหรอ?”

อันที่จริงหล่อนคาดเดาในใจได้อยู่แล้ว เพราะสีหน้าท่าทางของพ่อสามารถมองออกไดเอย่างชัดเจน แต่หล่อนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับซูหว่านอวี๋และซูหว่านอี๋มาก่อน และตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นพ่อข้องเกี่ยวกับเพื่อนสาวคนไหนเลย ดังนั้นหล่อนจึงเดาได้ทันที

เติ้งซูหลานได้ยินเช่นนี้ ก็เหลือบมองลูกสาวครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกเล่า “ซูหว่านอวี๋เป็นคนที่มีความสามารถมาก ตอนอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีก็เป็นที่หมายตาของหนุ่ม ๆ ทั้งเมืองหลวง แล้วพ่อของลูกก็เป็นหนึ่งในนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาชอบซูหว่านอวี๋มาก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยอวี่หรงก็อดตกใจเสียไม่ได้ เรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างจากการคาดเดาของเธอในตอนแรกเหลือเกิน แต่แล้วหล่อนก็หัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “แม่ นั่นมันตอนอายุสิบห้าสิบหก ถึงพ่อจะเคยชอบซูหว่านอวี๋มาก่อน แต่ตอนนี้หล่อนก็ไม่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องโกรธไปหรอก”

ตอนแรกหล่อนคิดว่าพ่อกับซูหว่านอวี๋มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนต่อกัน แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นแค่รักแรกในวัยเยาว์ หากเป็นอย่างนั้น แม่ก็ไม่เห็นจะต้องโกรธขนาดนี้

เติ้งซูหลานเปิดปากพูด แต่ไม่ได้บอกกล่าวอะไรมาก ทำเพียงแค่ขยับปากยกยิ้มก่อนจะกล่าว “ลูกพูดถูกนะ ซูหว่านอวี๋ก็ตายแล้ว มันจึงไม่สำคัญว่าเขาจะยังชอบหล่อนมากแค่ไหน” หลังจากเอ่ยจบก็หันหลังแล้วเดินต่อไป “อวี่หรง ในเมื่อพ่อของลูกไม่อยากกลับ ถ้างั้นพวกเราก็กลับกันเองเถอะ”

เมื่อเห็นแม่กำลังเดินจากไป เซี่ยอวี่หรงก็รีบเร่งฝีเท้าตามอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง เซี่ยฉางชิงก็ออกมาจากภัตตาคารปักกิ่งแล้วเช่นกัน เขายังทำใจยอมรับเรื่องที่ซูหว่านอวี๋จากไปแล้วไม่ได้ จึงลองตัดสินใจสืบเรื่องนี้ดู เผื่อว่าซูหว่านอี๋สร้างเรื่องมาหลอกตน

ฉินมู่หลานกับคนอื่นที่กลับไปแล้วไม่ทราบเลยว่ามีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น ในตอนนั้นเอง ซูหว่านอี๋ก็หันมองแล้วเอ่ยขอโทษทุกคนแล้วพูดขึ้น “ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ขอตัวไปพักก่อนนะคะ”

“แม่คะ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไปพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ เดี๋ยวหนูจะดูแลเด็กสองคนเองค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็รู้สึกผิดนิดหน่อย จึงอดที่จะพูดไม่ได้ “จริง ๆ แล้วแม่ก็ไม่ได้เหนื่อยมากเท่าไหร่นะ ช่วยลูกดูแลเจ้าหนูสองคนได้อยู่แล้ว” การดูแลลูกสองคนนั้นเหนื่อยมาก หล่อนทนไม่ได้ที่จะต้องเฝ้ามองลูกสาวทนลำบาก เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากพักแล้ว

“แม่คะ หนูดูคนเดียวได้ค่ะ แล้วยังมีพ่อ พ่อบุญธรรม กับพวกเคอวั่งอีก พวกเขาชอบอุ้มเด็กสองคนนี้มากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”

ฉินเจี้ยนเซ่อที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้วหว่านอี๋ วันนี้คุณเหนื่อยนิดหน่อย ก็รีบไปนอนพักเถอะ ทางนี้เดี๋ยวพวกเราช่วยเอง” อันที่จริงเขาอยากถามว่าเซี่ยฉางชิงคนนี้คือใครกันแน่ แต่เมื่อเห็นภรรยาดูไร้เรี่ยวแรง เขาจึงไม่อยากเอ่ยถามอะไรมากมาย

เมื่อเห็นสามีกับลูกสาวพูดแบบนี้ ซูหว่านอี๋ก็พยักหน้า แล้วกลับไปพักผ่อนที่ห้องทันที

ฉินมู่หลานพาเด็กสองคนกลับห้องเหมือนกัน หลังได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกมาแล้ว เด็กทั้งสองจึงรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย ตอนนี้จึงเปิดปากหาวและเตรียมจะหลับ หลังจากเด็กทั้งสองหลับแล้ว ฉินมู่หลานก็ทิ้งตัวลงพักผ่อนสักหน่อย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นช่วงบ่ายแล้ว

ขณะเพิ่งเดินออกมาจากห้องก็เห็นฉินเคอวั่งอยู่ข้างนอก สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความสงสัย “เคอวั่ง นายมาทำอะไรตรงนี้”

“พี่ พี่ตื่นแล้วเหรอ แม่เพิ่งบอกผมว่าถ้าพี่ตื่นแล้วให้ไปหาท่านหน่อย ดูเหมือนว่าแม่มีเรื่องจะคุยกับพี่ครับ”

หลังจากพูดจบ เขาก็อดเอ่ยถามอีกครั้งเสียไม่ได้ “เฉินเฉินกับชิงชิงยังหลับอยู่ใช่ไหม เดี๋ยวผมไปดูพวกเขาเอง”

ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ”

หลังจากฉินเคอวั่งเข้าไป ฉินมู่หลานก็ไปหาซูหว่านอี๋

ซูหว่านอี๋เห็นลูกสาวมา ก็รีบเอ่ยทันที “มู่หลาน ลูกตื่นแล้วเหรอ พักผ่อนเต็มที่หรือยัง?”

“เต็มที่แล้วค่ะ หนูรู้สึกมีพลังมากขึ้นแล้ว”

ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มแล้วกวักมือเรียกมู่หลาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มู่หลาน มานั่งนี่ แม่มีเรื่องจะคุยกับลูก”

หลังจากฉินมู่หลานเดินเข้าไป ก็นั่งลงบนปลายเตียง

ซูหว่านอี๋ลูบสัมผัสผมของฉินมู่หลานด้วยความรัก ก่อนจะเอ่ย “เผลอแปบเดียวเอง มู่หลานของแม่ก็โตขนาดนี้แล้ว แล้วก็ยังเป็นแม่คนแล้วด้วย เวลาผ่านไปเร็วมากเลยนะ”

“ใช่แล้วค่ะ เวลาผ่านไปไวมาก แต่ถึงหนูจะโตขึ้น แม่ก็ยังคงเหมือนเดิมตลอดเลยค่ะ” จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องจริง ซูหว่านอี๋มีหน้าตาดูค่อนข้างเด็กกว่าวัยหากเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน และอาจเป็นเพราะหล่อนหน้าตาดีด้วย เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังดูสวยเหมือนเดิม

เมื่อซูหว่านอี๋ได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูด หล่อนก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “มู่หลานเรานี่ปากหวานขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ”

แต่หลังจากพูดจบ แววตาของหล่อนก็ดูเศร้ามากขึ้น “หากตอนนี้พี่สาวแม่ยังมีชีวิตอยู่ หล่อนคงจะต้องสวยมาก ดูเด็กกว่าแม่มากแน่นอน”

เมื่อนึกถึงพี่สาวของตัวเอง ดวงตาของซูหว่านอี๋ก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อาจเป็นรักแรกในวัยเยาว์ที่ไม่อาจลืมก็ได้นะ แล้วก็ไปทำความผิดอะไรบางอย่างจนพี่สาวแม่มู่หลานต้องตาย กลายเป็นอดีตฝังใจที่อยากจะลบเลือน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท