บทที่ 259 ดิ้นรนครั้งสุดท้าย
บทที่ 259 ดิ้นรนครั้งสุดท้าย
ทันใดนั้นกงเหลียนซินก็จำบางสิ่งที่จางอวี้เจียวเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจได้ และตัดสินใจบอกเซี่ยชิงหยวนเกี่ยวกับเรื่องนี้
เธอพูดว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อน จางอวี้เจียวหลุดปากคำพูดหนึ่งที่บ้านด้วยแหละ บอกว่าครอบครัวของเธอกำลังมองหาคู่ให้จางอวี้เอ๋อ แต่ดูเหมือนว่าจางอวี้เอ๋อจะไม่ยอมและพยายามสร้างปัญหา”
“อยู่ที่นั่นเธอก็ควรระวังตัวไว้ด้วยนะ”
คำเตือนที่บอกว่า ‘ระวัง’ ในความเป็นจริงคือการเตือนให้เซี่ยชิงหยวนเฝ้าระวังเสิ่นอี้โจว
นอกจากหวังผิงที่หลอกตัวเองแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่ไม่เห็นความคิดของจางอวี้เอ๋อที่มีต่อเสิ่นอี้โจว?
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้น “เข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
จางอวี้เอ๋ออายุน้อยกว่าเซี่ยชิงหยวนเพียงครึ่งปี ตอนนี้จางอวี้เอ๋ออายุ 21 ปี และถึงเวลาที่จะต้องหาคู่แล้ว
ทว่าจางอวี้เอ๋อมีหัวใจสูงส่งกว่าท้องฟ้า*[1] ในตอนที่เธอได้มาเมืองเตียนเฉิง ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องแปลกหากเธอยอมรับคนที่ครอบครัวของเธอแนะนำง่าย ๆ
ส่วนไอ้เรื่องความอยากได้เสิ่นอี้โจวของจางอวี้เอ๋อน่ะเหรอ?
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าอันเย็นชาของเสิ่นอี้โจว จางอวี้เอ๋อจะไปมีความกล้าที่จะพูดอะไรมากได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจนิสัยของจางอวี้เอ๋อและแน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นจะรีบกระโดดข้ามกำแพงเลยเชียว
คราวนี้ต้องมาดูกันว่าใครจะเป็นเป้าหมายผู้โชคร้ายคนต่อไป
สำหรับเซี่ยชิงหยวน แค่รอให้จางอวี้เอ๋อสร้างปัญหาและให้หล่อนกระโดดเต้นแร้งเต้นกาอีกครั้งก็พอ แล้วเธอจะเก็บกวาดสองพี่น้องนี้พร้อมกันทีเดียวไปเลย
เซี่ยชิงหยวนระงับอารมณ์และพ่นลมหายใจออกมา “มันเป็นงานหนักสำหรับพี่สะใภ้และพี่ชายจริง ๆ ในการดูแลพ่อแม่ที่บ้าน เมื่อไหร่ที่พี่สะใภ้ว่างก็มาเที่ยวเล่นที่นี่บ้างนะ แล้วฉันจะให้อี้โจวเตรียมทุกอย่างไว้ให้เอง”
คำเชิญของเซี่ยชิงหยวน ทำให้กงเหลียนซินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยิน
แต่พอนึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่บ้าน กงเหลียนซินรู้สึกเป็นทุกข์อีกรอบ “เอาไว้ฉันจะปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ชายของเธอก่อนนะ แล้วดูว่าเราจะหาเวลาไปได้ไหม”
ครั้งสุดท้ายที่เซี่ยชิงหยวนกลับไปบ้านและได้เล่าเกี่ยวกับธุรกิจที่เตียนเฉิง กงเหลียนซินมักจะอยากไปเตียนเฉิงเพื่อดูเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนและกงเหลียนซินพูดคุยกันอีกสองสามคำ จากนั้นก็วางสายกันไป
เซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่บนโซฟาและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อตอนที่กงเหลียนซินพูดถึงเซี่ยจิ่งเฉินและภรรยาของเขา เธอก็ขมวดคิ้ว
ไม่ แม้ว่าจะเข้าไปแทรกแซง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด
เซี่ยชิงหยวนเชื่อว่าการหาคู่ของจางอวี้เอ๋อจะทำให้เกิดคลื่นบางอย่างแน่นอน จากนั้นเธอก็จะ…
พอนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็หรี่ลง เผยให้เห็นแววตาที่หาได้ยาก
…
ไม่กี่วันต่อมาเสิ่นอี้โจวก็เริ่มไปทำงาน
เซี่ยชิงหยวนเองก็เริ่มวิ่งไปรอบ ๆ ทั้งแผงขายเสื้อผ้าในร้านตรอกเก่า และที่สี่แยกของหน่วยงานราชการทุกวันเหมือนในอดีต
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
ยกเว้นเสิ่นอี้โจวที่พาเธอไปออกกำลังกายทุกวันหลังอาหารเย็น
เดิมทีเซี่ยชิงหยวนไม่เต็มใจ แต่เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเธอเบา ๆ “หมอฮวงก็บอกให้คุณออกกำลังกายมาก ๆ ไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้ความแข็งแรงทางร่างกายของคุณต้องมีให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยเร็วนะ”
เซี่ยชิงหยวนปฏิเสธ “ความแข็งแรงทางร่างกายของฉันดีมากอยู่แล้วเถอะ ตามนั้นนะ?”
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเธอไล่จากบนลงล่างแล้วพูดว่า “ทุกครั้งคุณจะบอกว่าเหนื่อยแล้ว ทั้ง ๆ ที่ทำกันไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นี่น่ะเหรอที่คุณบอกว่าแข็งแรงดี?”
เซี่ยชิงหยวนพูดไม่ออก “…”
เธอยื่นมือออกไปปิดปากของเขาทันที “เงียบเดี๋ยวนี้เลย!”
เสิ่นอี้โจวใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ โอบรอบเอวของเธอ พลางลูบบั้นท้ายด้วยฝ่ามือใหญ่ “ถ้าคุณไม่เพิ่มพละกำลังตัวเอง แล้วเราจะเพิ่มจำนวนครั้งได้ยังไงล่ะ คุณไม่คิดเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนหน้าแดงเหมือนกุ้งต้ม “เสิ่นอี้โจวพอได้แล้ว! ฉันจะไปออกกำลังกายกับคุณก็ได้!”
ตั้งแต่นั้นมาเซี่ยชิงหยวนก็มีหนึ่งสิ่งที่ต้องทำมากขึ้นทุกวันคือ การออกกำลังกายกับเสิ่นอี้โจว
เธออธิบายให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าเขตที่อยู่อาศัยฟังเกี่ยวกับปี่เหลาซาน แต่หลังจากรอนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานก็ยังไม่มา
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเขาแค่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดไปในตอนนั้นเป็นแค่เรื่องตลก
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นท้ายที่สุดคือ เจียงเพ่ยหลานพาหลินอี้ตั่วไปเยี่ยมหลินจื้อเฉียง
หลังจากกลับมา เจียงเพ่ยหลานก็อยู่ในอารมณ์ที่สงบมาก
เธอพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ฉันคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลินจื้อเฉียงก็เป็นพ่อของอี้ตั่ว”
“ฉันไม่สามารถกีดกันอี้ตั่วจากผู้เป็นพ่อแท้ ๆ ได้เพราะปัญหาที่ฉันมีกับเขา”
“ฉันถามอี้ตั่วว่าต้องการเจอพ่อไหม”
“เธอตอบว่าอยากเจอ แต่ก็กลับมาหลังจากมองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
หลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่แม่ลูกคู่นั้นทำกับเธอและลูก อี้ตั้วก็เป็นเหมือนกระจกเงาสำหรับทุกอย่าง
เจียงเพ่ยหลานหยุดชั่วคราวด้วยรอยยิ้มที่เหนื่อยล้า “ฉันให้เขาไปห้าสิบหยวน เพราะเห็นแก่อี้ตั่ว เพื่อซื้อความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายของเรา”
หลังจากพูดจบ เจียงเพ่ยหลานมองไปที่เซี่ยชิงหยวนด้วยความวิตกกังวล
เซี่ยชิงหยวนม้วนริมฝีปากของเธอ “ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้?”
เจียงเพ่ยหลานกล่าวว่า “ก็ฉันกลัวว่าเธอจะตำหนิฉันน่ะสิ ว่าฉันไม่ควรให้อะไรแก่พวกเขา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มออกมา “เป็นเพราะจิตใจที่ดีของเธอต่างหาก เธอพาอี้ตั่วไปพบเขา ฉันจะไม่ตัดสินว่ามันถูกหรือผิดที่เธอทำแบบนั้น เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงทำแบบเดียวกัน”
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไง เราก็ยังควรมีมโนธรรมให้
เจียงเพ่ยหลานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา “ชิงหยวน ขอบคุณจริง ๆ นะ เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีเธอ ฉันคงอยู่ไม่ได้อย่างทุกวันนี้”
เซี่ยชิงหยวนตบไหล่อีกฝ่าย “ทำงานให้หนักและทำงานหนักต่อไปนะ เธอมีอาชีพของตัวเองแล้ว และเงินในกระเป๋าก็พอกพูนเรื่อย ๆ ดังนั้นเธอไม่ต้องกังวลใจกับอะไรแล้ว”
ไม่ว่าจะยุคไหนหรือที่ไหน เงินก็คือทุนในการลงหลักปักฐานอยู่ดี
ณ ศาลากลาง
วันนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากมณฑลและเมืองหลวงมาเยี่ยมชม ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลากลางทั้งหมดถูกเรียกรวมตัวมาต้อนรับแขก
หลังจากการประชุมอันยาวนาน ศาลากลางจัดให้มีการรับประทานอาหารเย็นในห้องรับแขกพิเศษของโรงอาหาร
ในห้องรับรองแขกพิเศษของโรงอาหาร มีการชนแก้วกันและกัน
จางอวี้เอ๋อเลิกงานแล้ว แต่พอเธอได้รับข่าวและรู้ว่าวันนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากมายมาที่นี่ เธอจึงวางแผนการทันที
ในปีนี้เธออายุ 21 ปีแล้ว และครอบครัวของเธอกำลังหาคู่ให้คนแล้วคนเล่า แต่ว่ากันว่าผู้ชายที่ครอบครัวของเธอจับคู่ให้มีแต่พวกขาเปื้อนโคลนหรือไม่ก็เจ้าของเขียงหมูในหมู่บ้าน
พ่อแม่ของเธอเตือนว่าถ้าเธอยังหาคู่เองไม่ได้ภายในหนึ่งเดือน เธอต้องกลับบ้าน
เมื่อได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองและได้เห็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์หรือคนระดับสูงมากมาย คนที่ครอบครัวของเธอแนะนำมานั้นไม่น่าสนใจเลย
นับตั้งแต่การลงโทษครั้งนั้น เธอก็กัดฟันทนและอยู่ที่นี่ รอโอกาสที่จะโบยบินขึ้นไปบนกิ่งไม้และกลายเป็นหงส์
ตอนนี้เธอต้องดิ้นรนอย่างสุดตัว
เมื่อเห็นเธอเดินไปมาอยู่รอบ ๆ ประตู พี่สาวจู้จึงเอ่ยถาม “เธอไม่ได้เลิกงานแล้วหรอกเหรอ? ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก?”
จางอวี้เอ๋อคิดเกี่ยวกับข้อแก้ตัวของตัวเองไว้แล้ว “ผู้อำนวยการบอกว่ามีคนไม่พอ วันนี้เลยให้ฉันมาช่วยน่ะค่ะ”
ตอนนี้ทุกคนยุ่งมาก เป็นไปไม่ได้ที่พี่สาวจู้จะไปถามผู้อำนวยการเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าจริงหรือไม่แน่นอน
สีหน้าของพี่สาวจู้เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ฉันเตือนเธอเอาไว้ก่อนนะ ฉันไม่สนใจว่าปกติเธอสร้างปัญหามากน้อยแค่ไหน แต่วันนี้มีคนระดับสูงมาจากเมืองหลวง เธอเลิกคิดเรื่องไร้สาระเดี๋ยวนี้ และตั้งใจทำงานไปอย่างเดียวพอ!”
ยังไงซะงานเลี้ยงก็ใกล้จะจบลงแล้ว และจางอวี้เอ๋อก็คงทำอะไรไม่ได้
จางอวี้เอ๋อแสร้งทำตัวเชื่อฟังมาก เธอพยักหน้าและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
แต่ดวงตาของหญิงสาวยังมองไปที่เหล่าผู้คนที่นั่งข้างในอีกครั้ง
ที่โต๊ะหลัก แม้ว่าหยางฉุนอี้และคนอื่น ๆ จะมีตำแหน่งทางการที่สูงกว่าเสิ่นอี้โจว แต่ชายหนุ่มก็ยังเป็นบุคคลสำคัญที่ทุกคนไม่สามารถมองข้ามได้ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าเขาโดดเด่นแค่ไหนท่ามกลางผู้คน
ก่อนหน้านี้ที่เสิ่นอี้โจวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จางอวี้เอ๋อภาวนาให้เขาไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เพื่อที่เซี่ยชิงหยวนจะได้ล้มลงคลุกฝุ่นอีกครั้ง
แต่ทว่าท้องฟ้าไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเธอ ท้ายที่สุดเสิ่นอี้โจวก็ตื่นขึ้น
และเธอยังได้ยินคนพูดว่าเสิ่นอี้โจวอาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปประจำที่เมืองหลวงของมณฑลด้วย
เธอแอบกังวล แต่ก็ไม่กล้าที่จะคิดเรื่องเสิ่นอี้โจวอีกต่อไป
ฉากที่เขาเตือนเธอครั้งสุดท้ายยังคงทำให้ตัวเองหวาดกลัวเมื่อนึกถึงมัน
ขณะที่เธอกำลังงุนงงอยู่นั้น ประตูห้องรับรองก็เปิดออกจากด้านในและงานเลี้ยงอาหารค่ำก็จบลง
บางคนออกมาทีละคน ส่วนใหญ่เดินโซเซและเมาอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่ซิงอวี่ได้รับการพยุงจากเสิ่นอี้โจว และมันค่อนข้างยากสำหรับเขาที่จะเดิน
เสิ่นอี้โจวเพิ่งได้รับการผ่าตัด และทุกคนในห้องโถงก็รู้ว่าเขามีอาการปวดท้อง ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ช่วยเขาดื่มแทน
ในฐานะเลขา ฉู่ซิงอวี่มีหน้าที่รับผิดชอบนี้เป็นหลัก
ท้ายที่สุดฉู่ซิงอวี่ก็ดื่มมากเกินไป
เมื่อจางอวี้เอ๋อเห็นว่าฉู่ซิงอวี่และเสิ่นอี้โจวอยู่ด้วยกัน เธอก็รีบไปแอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าเสิ่นอี้โจวจะพบตัวเอง
ฉู่ซิงอวี่สะอึกและพูดกับเสิ่นอี้โจว “เลขาธิการครับ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผมหรอกครับ คืนนี้ผมจะนอนในหอพักของศาลากลางแทน”
หลิงเยี่ยไปปฏิบัติภารกิจเมื่อสองวันก่อน และไม่มีใครสนใจเขาต่อให้เขาไม่กลับไป
ค่ำคืนนี้มีคนจำนวนมากเกินไปจนไม่สามารถส่งทั้งหมดกลับบ้านได้ ดังนั้นหลายคนจึงไปพักที่หอพัก ซึ่งเปิดแยกจากกันข้างศาลากลาง
เสิ่นอี้โจวดื่มเล็กน้อยในคืนนี้ เขาจึงเรียกชายหนุ่มที่รออยู่ที่สำนักงานเลขานุการ “คุณไปส่งเลขาฉู่ที่หอพักชั่วคราวทีนะ”
ชายหนุ่มตอบรับทันที “ได้ครับท่านเลขาธิการ”
หลังจากที่ชายหนุ่มพูด เขาก็ช่วยพยุ่งฉู่ซิงอวี่และพาออกไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จางอวี้เอ๋อซึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านข้างก็เดินอ้อมไปจากอีกด้านหนึ่งของห้องโถงและเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
*[1] มีหัวใจสูงส่งกว่าท้องฟ้า หมายถึง คนที่มีความทะเยอทะยาน หยิ่งทะนงตัว
บทที่ 253 ต้องการอยู่ทุกวัน
บทที่ 253 ต้องการอยู่ทุกวัน
เซี่ยชิงหยวนกลัวมากจนเธออุทานออกมา “ว้าย!”
เธอพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้เขากอด “ระวังแผลด้วยสิ”
เสิ่นอี้โจวยังคงรักษาท่าทางที่กอดเธอไว้ และพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “งั้นคุณก็ขึ้นมาเองไหม?”
พอได้ยินแบบนั้นเซี่ยชิงหยวนก็คิดในใจ ทำไมประโยคมันฟังดูคลุมเครือจัง?
เสิ่นอี้โจวไม่รอให้เธอตอบสนอง เขานอนตะแคงบนเตียงและเหล่ตาเพื่อมองเธอ
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับ เขาจึงเอื้อมมือไปหาเธอและเลิกคิ้วขึ้น
หญิงสาวยอมเดินไปและยืนอยู่ข้างเตียง “สัญญาก่อน คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเรื่องไม่ดีนะ”
เสิ่นอี้โจวเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที “เรื่องไม่ดี? อะไรคือทำเรื่องไม่ดี?”
เขาจับมือของเธอและดึงให้ตกลงมา โดยนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา
มือใหญ่ของเขากดลงบนต้นขาเรียว และลูบไล้ขึ้นเรื่อย ๆ “คุณสอนผมหน่อยได้ไหม?”
ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้คอของเธอ และเมื่อเขาพูด เธอก็รู้สึกเหมือนมีขนปุยลูบไล้บนคออย่างไรอย่างนั้น
ความสนใจของเซี่ยชิงหยวนอยู่ที่มือของเขาที่ต้นขา โดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว มืออีกข้างก็ลูบไล้อย่างระมัดระวังตรงที่ท้องน้อยของเธอแล้ว
เซี่ยชิงหยวนต้องการขัดขืนโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอี้โจวจับเธอไว้และโอบไว้ในอ้อมแขนแกร่งของเขา “อย่าขยับสิ ผมจะนวดให้คุณ”
มือของเขาลูบผ่านเสื้อบาง ๆ ไปยังที่ผิวหนัง ความร้อนที่เริ่มจากท้องน้อยของเธอแผ่ซ่านประหนึ่งคลื่นที่กระจายออกไปโดยรอบ
เธออดไม่ได้ที่จะเกร็งตัวทันที
ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดว่า “ต้องนวดให้มากขึ้นนะ ในอนาคตเมื่อมันใหญ่ขึ้น คุณก็จะรู้สึกสบายขึ้นด้วยไง”
ฝ่ามือใหญ่อีกข้างที่จับขาของเธอเริ่มไล้ขึ้นไปยังส่วนที่อ่อนนุ่มของหน้าอก “นี่ก็เหมือนกัน มันต้องถูกนวดให้มากขึ้น แล้วมันจะดีขึ้นตาม”
เซี่ยชิงหยวนทนไม่ได้อีกต่อไป
แต่ยิ่งเธอดิ้นหนีมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งถูกนวดมากขึ้นเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนจ้องไปที่เขา “มันดีสำหรับคุณหรือดีสำหรับฉันกันแน่?”
แน่นอนว่าเธอเคยได้ยินผลของการนวดมือที่เสิ่นอี้โจวกล่าว
แค่ว่าตอนนี้ก็ไม่เล็กแล้วเหมือนกัน และถ้าเธออายุมากขึ้นด้วย เวลาที่เธอใส่เสื้อผ้าก็จะยิ่งดูชัดเจนเกินไป
เธอไม่ชอบความพลิ้วไหวที่เกิดขึ้นในทุกย่างก้าว
เธอจำได้ว่าตอนที่เธออยู่ม.ปลาย มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งในชั้นเรียนที่มีพัฒนาการด้านร่างกายเร็วกว่าคนอื่น นักเรียนหญิงคนนี้มักจะมาสายและดึงดูดสายตาเพื่อนร่วมชั้นหลายคนเสมอ
ทันทีที่นักเรียนหญิงคนนั้นเข้ามาในห้องเรียน เสียงของการท่องหนังสือในชั้นเรียนมักจะเบาลง
และขณะที่เดินผ่านทางเดิน นักเรียนชายทั้งสองข้างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง
เพื่อนร่วมชั้นหญิงในชั้นเรียนก็แอบนินทาเรื่องนี้ และเรียกเธอว่าจิ้งจอกที่จงใจล่อลวงผู้คน
ดังนั้นในใจของเซี่ยชิงหยวนจึงไม่ชอบหน้าอกใหญ่เป็นพิเศษบราวนี่ออนไลน์
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวยิ้มและพูดว่า “โดยธรรมชาติแล้ว มันดีสำหรับเรา”
ขณะที่พูดอย่างนั้น เขาก็ดึงเธอให้นอนลง และเซี่ยชิงหยวนก็นอนเผชิญหน้ากับเสิ่นอี้โจว
ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบโต้ แขนของเธอก็ถูกเสิ่นอี้โจวยกขึ้นและเขาก็ถลกแขนเสื้อของเธอขึ้นตามแล้ว
แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนถูกหลอกอีกตามเคย
เมื่อเธอพบว่าเสิ่นอี้โจวจ้องมองไปแถว ๆ ข้อศอกของเธอ คิ้วของเขาก็ขมวดเบา ๆ เธอก็พลันเข้าใจในทันที
เซี่ยชิงหยวนต้องการดึงแขนของตัวเองออก “อย่ามองมันนะ”
แต่เสิ่นอี้โจวจับมือของเธอไว้ “อย่าขยับ”
ขณะที่เขาพูด ชายหนุ่มก็เปิดแขนเสื้ออีกข้างของเธอด้วย
กลับมาจากแสวงบุญได้เกือบสัปดาห์แล้ว บาดแผลตามร่างกายของเธอเริ่มตกสะเก็ด
แต่เพราะว่ามันไม่ได้รับดูแลที่ดีมาตั้งแต่แรก ถึงบางส่วนจะได้รับการเยียวยาแล้ว แต่ก็เป็นแผลซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เกิดการบาดเจ็บมากขึ้นตามมาด้วย
ความทุกข์พลันฉายในดวงตาของเสิ่นอี้โจว
เขาลุกขึ้น พลางนำกล่องไม้เล็ก ๆ เมื่อกี้มาอีกรอบ และหยิบครีมขวดที่ใหญ่กว่าออกมาอีกขวด ขณะเปิดฝาขวด เขาพูดว่า “ขวดเมื่อกี้สำหรับผิวไหม้จากแสงแดด และขวดนี้สำหรับบาดแผล ตอนนี้แผลของคุณเพิ่งตกสะเก็ด ดังนั้นคุณสามารถใช้มันได้เลย”
เขาทายาให้เธอก่อนจะแปะปลาสเตอร์ให้เซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเขา
แสงส่องมาจากด้านข้างชายตรงหน้า เงาตื้น ๆ ตกลงบนสันจมูกสูงและขนตาดำราวอีกา ยามเมื่อขนตาลดลง ดวงตาของเขาก็จดจ่ออยู่กับที่
เซี่ยชิงหยวนมองลงไปที่ริมฝีปากของเขา
ริมฝีปากของเสิ่นอี้โจวค่อนข้างบาง แต่ก็มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม
เซี่ยชิงหยวนเคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่พูดว่าโชคดีสำหรับผู้ชายที่มีริมฝีปากบาง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นแบบนั้นเลย
ในขณะที่คิดอย่างบ้าคลั่ง เสิ่นอี้โจวก็เลิกขนตาขึ้นทันเวลาแล้วจับได้ว่าเธอมองมาที่เขาอยู่
เสิ่นอี้โจวยกยิ้ม “ผมดูดีใช่ไหมล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนหน้าแดง พลางมองไปทางอื่นทันที “งั้น ๆ แหละ”
แต่ในขณะเดียวกัน ส่วนของใต้ท้องน้อยเสิ่นอี้โจวเริ่มแข็งขึ้น “ในเมื่อผมดูธรรมดา แล้วทำไมคุณถึงมองอย่างหลงใหลแบบนั้นล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เสิ่นอี้โจวพบว่าตัวเธอกำลังมองเขา
จากนั้นเธอก็หันหน้ามามองเขาและเชิดคางของเขาขึ้นด้วยนิ้วของเธอ “คุณคือคนของฉัน ฉันมองคุณแบบถูกกฎหมายนะ”
นี่คือสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้นี้
มืออีกข้างของเสิ่นอี้โจวซึ่งไม่ได้ทาครีมก็จับนิ้วของเธอ “คุณกำลังบอกใบ้อะไรกับผมหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นดวงตาของเสิ่นอี้โจวมืดลง เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจแล้วว่าเขากำลังทาครีมอยู่หรือไม่ เธอยกเท้าเรียวขึ้นยันหัวไหล่ของเขาอย่างไม่เกรงใจทันที “ทำตัวดี ๆ หน่อย!”
เสิ่นอี้โจวมองเท้าที่สัมผัสเขาด้วยสายตาอันลึกล้ำ
มือใหญ่ลูบไล้ผิวนวลเนียนบนต้นขาของเธอที่ยกขึ้นมา นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่เธอปกป้องได้ดีหลังจากแสวงบุญ
เธอได้ยินเขาพูดว่า “ท่าทางนี้ดีเลยนะ เราสามารถลองได้”
เซี่ยชิงหยวน “!”
เธอรีบดึงขากลับทันที
แต่การเคลื่อนไหวนั้นเร็วมากจนหลังเท้าของเธอเตะแก้มของเสิ่นอี้โจวโดยไม่ได้ตั้งใจ
แรงไม่หนักเกินไป แต่มันทิ้งรอยแดงไว้บนแก้มของเขาชัดเจน
เสิ่นอี้โจวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วงเวลานี้ และเขาไม่ได้ถูกแสงแดดมากนัก ดังนั้นรอยแดงจึงชัดเจนมาก
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอับอายขึ้นมา
เธอรีบเอื้อมมือไปลูบแก้มของเขาแผ่วเบา “อย่าถือสาเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
เสิ่นอี้โจวไม่ตอบในทันที
มือของเขาที่อยู่บนตักของเธอไม่ขยับ และเขาโน้มตัวเข้าหา “ไม่เป็นไร ผมไม่โกรธหรอก”
เขาหยุดชั่วคราว สังเกตสีหน้าของเธอที่เปลี่ยนไป “ครั้งหน้า มาลองกันไหม?”
ทุกครั้งที่เขาจงใจแกล้งเธอ เสียงของเขาจะต่ำและทุ้มเหมือนเชลโลที่ไพเราะจนทำให้ผู้คนมึนเมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงตอนจบประโยคของเขาที่ดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีความหมายที่มีเสน่ห์เสมอ
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าฝ่ามือขนาดใหญ่บนขาของเธอเหมือนเหล็กตีตรา มันกำลังเผาไหม้ร่างกายของเธอทั้งหมด
หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก “ไว้เราค่อยพูดถึงเรื่องนี้เมื่อฉันดีขึ้นแล้วกัน”
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่เสิ่นอี้โจวไม่ต้องการปล่อยเธอไป “ตราบใดที่เราไม่ต้องแตะเข่าของคุณ เราก็สามารถทำได้ทุกเมื่อ”
เซี่ยชิงหยวน “!”
ใบหน้าของเธอแดงก่ำ “คุณเลิกคิดเรื่องแบบนี้ทั้งวันจะได้ไหม? คุณมีความต้องการอยู่ทุกวันเลยรึไงเลขาธิการเสิ่น!”
เสิ่นอี้โจวหัวเราะเบา ๆ หน้าอกของเขาขยับขึ้นลง และจะเห็นได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ที่มีความสุขมาก
ดวงตาของฟีนิกซ์ฉายประกาย “พอผมเห็นคุณ หัวของผมก็เต็มไปด้วยเรื่องพวกนี้แล้ว ผมเองก็ช่วยไม่ได้เหมือนกันนะ”
บทที่ 247 คนโง่
บทที่ 247 คนโง่
เซี่ยชิงหยวนกลัวว่าน้ำหนักตัวของเธอจะกดทับเสิ่นอี้โจวที่เพิ่งฟื้น เธอจึงไม่กล้าทิ้งตัวและทำได้เพียงแค่พยุงค้ำน้ำหนักไว้ด้วยมือของตัวเอง
เสิ่นอี้โจวสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนั้น เลยปล่อยเธอไป
เมื่อมองไปยังยาสมุนไพรสีเขียวอมเทาที่ทาบนหน้าผากของภรรยา เขาก็ยังคงมองเห็นบาดแผลที่น่ากลัวของเธอได้อย่างราง ๆ ซึ่งน่าตกใจไม่น้อย
นี่คือยาสมุนไพรที่หมอท้องถิ่นในทิเบตใช้เพื่อทาบาดแผล
มันมีผลในการหยุดเลือดและลดอาการบวมที่ยอดเยี่ยม แต่ก็แสบเกินทานทน
เขารู้ด้วยว่าไม่เพียงแต่หน้าผากของเธอเท่านั้นที่เป็นแผล แต่แขนขาและข้อต่อของเธอก็ต้องเต็มไปด้วยแผลเช่นกัน
เขาทัดเส้นผมที่ร่วงหล่นลงข้างแก้มของเธอไปทางด้านหลัง พลางจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวและซูบผอมของเธอ นัยน์ตาฟีนิกซ์ที่อ้างว้างของเขาพลอยมืดหม่นแสดงถึงความรู้สึกอัดอั้นที่พยายามระงับ แต่ความเศร้ายังคงปรากฏออกมาจากคิ้ว ดวงตา และมุมปากของเขา มันปรากฏออกมาทีละนิด
เขาลูบไล้ใบหน้าของเธอด้วยนิ้วเรียวยาว ลูบริมฝีปากที่แตกแห้งของเธอเบา ๆ น้ำเสียงของเขาสั่นเครือไม่น้อย “เจ็บไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ น้ำตาของเซี่ยชิงหยวนก็ไหลออกมาอีกครั้ง
เธออยากจะส่ายหัว แต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างหนัก
ตลอดทางเธอแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ในขณะนี้เธอก็พ่ายแพ้เสียแล้ว
หญิงสาวสะอื้นไห้ “เจ็บมาก”
เสียงคำว่า ‘เจ็บมาก’ กระแทกหัวใจของเสิ่นอี้โจวอย่างจัง
นิ้วของเขาค่อย ๆ ปาดเช็ดน้ำตาของเธอ “คนโง่”
เซี่ยจื่ออี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างมีท่าทางที่ซับซ้อนปรากฏที่ใบหน้าของเธอ
เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดเลขาธิการเสิ่นก็ตื่นขึ้นเสียที และภรรยาของเลขาธิการก็กลับมาพอดี ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริง ๆ ค่ะ”
ทุกคนรู้เพียงว่าเสิ่นอี้โจวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ซึ่งอุทิศตนให้แก่ประชาชนและอาจจะไม่ตื่นฟื้นมา ทว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าเซี่ยชิงหยวนไปแสวงบุญที่ทิเบต
อย่างไรก็ตาม เซี่ยจื่ออี้และหมอหมิ่นได้รู้เรื่องนี้จากสิ่งที่หลินตงซิ่วหลุดพูดโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อเธอพูดแบบนี้ คนที่ไม่รู้ก็อดไม่ได้ที่จะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวน
ผู้ชายนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ชีวิตและความตายไม่แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าคนเป็นภรรยาไปไหน
บัดนี้ฝ่ายชายตื่นขึ้น ภรรยาถึงเพิ่งจะกลับมาอย่างกระตือรือร้น
ท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในโรงพยาบาล
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยจื่ออี้
เธอยืนอยู่หน้าเตียงอย่างเงียบ ๆ ดวงตาสีอัลมอนด์ของเธอนั้นบริสุทธิ์และไร้เดียงสา และก็ไม่อายที่จะเข้าใกล้เสิ่นอี้โจวในตอนนี้
เซี่ยจื่ออี้มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มราวกับว่าเธอมีความสุขมากที่คู่รักได้กลับมา
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับผู้หญิงเล่ห์เหลี่ยมสูงเช่นนี้
ขณะที่เสิ่นอี้โจวกำลังจะส่งเสียง เซี่ยชิงหยวนกดหน้าอกของเขาด้วยมือเรียวแล้วยิ้มให้เซี่ยจื่ออี้ “ฉันได้ยินข่าวลือมาว่ามีหมอเทวดาชราอาศัยอยู่ในภูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร ด้วยความรู้สึกเป็นกังวลกับอี้โจว ฉันเลยออกเดินทางไปหาชายชราน่ะ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อฉันไปถึง หมอเทวดาชราก็ไม่อยู่แล้ว มันกลายเป็นว่าฉันสูญเสียความพยายามไปโดยเปล่าประโยชน์ โชคดีที่พระเจ้าเมตตาฉัน และประทับใจในความจริงใจของฉันจริงๆ”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนมองไปที่เสิ่นอี้โจวด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความรัก “ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุดคุณก็ฟื้นเสียที”
คำพูดของเซี่ยชิงหยวนอธิบายเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่ได้อยู่กับเสิ่นอี้โจวในช่วงเวลาที่ผ่านมา และยังบอกใบ้ว่าการตื่นขึ้นของเสิ่นอี้โจวอาจเกี่ยวข้องกับการพยายามหนักของเธอ
หัวใจของหลินตงซิ่วแปรเปลี่ยนไปเป็นพันครั้ง และเธอก็เข้าใจคำพูดของเซี่ยชิงหยวน
เธอพูดเสริมจากด้านข้าง “ตอนแรกที่ลูกสะใภ้ของฉันบอกว่าเธอจะไป ฉันเป็นห่วงเธอเสมอ โชคดีที่เธอกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงกับอี้โจวยังไงเลย”
แพทย์ส่วนใหญ่และพยาบาลที่นี่เคยพบเซี่ยชิงหยวนมาก่อน
รูปลักษณ์ที่สวยงามของเธอก่อนหน้านี้ยังหยั่งรากลึกลงในหัวใจของพวกเขา
แต่เมื่อเห็นว่าขณะนี้เซี่ยชิงหยวนดูเหมือนขอทาน พวกเขาก็พอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง และยิ่งเมื่อเซี่ยชิงหยวนอธิบายแบบนี้อีก พวกเขาก็เข้าใจว่าตัวเองคิดไม่ผิด
ปรากฏว่าเธอไม่ได้หนีสามีไป แต่เดินทางไปหลายพันกิโลเมตรเพื่อหายาให้สามี
การทุ่มเทอย่างหนักแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้
หมอหมิ่นเริ่มหัวเราะและพูดว่า “ตั้งแต่เจอพวกเขาครั้งแรก ผมก็สามารถบอกได้เลยว่าหนุ่มสาวคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีแน่นอน พวกเขาเป็นไปตามที่ผมคิดจริง ๆ!”
เขาไม่ได้มีความรู้สึกในทางลบที่เซี่ยชิงหยวนไปหาหมอคนอื่นเลย แต่เขากลับชื่นชมความกล้าหาญของเธอมากกว่า
เขายกนิ้วให้เซี่ยชิงหยวน “ในยุคใหม่นี้ คุณเป็นผู้หญิงที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างเขินอาย “ฉันคงไม่อัศจรรย์เมื่อเทียบกับทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของหมอหมิ่นหรอกค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหมอ อี้โจวคงไม่สามารถรอดได้ในครั้งนี้ การตื่นขึ้นในครั้งนี้ของเขาก็เป็นผลงานของความพยายามของหมอหมิ่นและทีมแพทย์ของคุณด้วยค่ะ”
ทั้งสองชมกันไปมาทำให้บรรยากาศเศร้าหมองคลายลง
แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของเซี่ยชิงหยวนจะไม่ค่อยดีนักในตอนนี้ แต่ท่าทางของเธอไม่ได้ด้อยกว่าเซี่ยจื่ออี้ ซึ่งเป็นลูกสาวของหัวหน้าศาลากลางมณฑล
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเป็นประกายและเธอพูดได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนกับผู้หญิงบ้านนอกที่ไม่ได้รับการศึกษาเลย
เซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่ข้าง ๆ และหัวเราะไปพร้อมกับทุกคน
แค่ในดวงตาไม่ฉายแววของความสุขอย่างใจจริงสักเท่าไหร่
เมื่อผู้คนแยกย้ายกันไป หลินตงซิ่วก็หาข้ออ้างที่จะจากไปเช่นกัน ทำให้ทั้งคู่ได้มีเวลาอยู่ตามลำพัง
เสิ่นอี้โจวกอดเซี่ยชิงหยวนอย่างแรง เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพิงไหล่ของเขา
เซี่ยชิงหยวนตบมือของเสิ่นอี้โจวที่จับหน้าผากของเธอและพูดว่า “อย่าแตะมันสิ มันน่าเกลียดจะตายไป”
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวแข็งค้าง จากนั้นเขาก็ยิ้มเบา ๆ “ในใจของผม ภรรยาของผมสวยที่สุด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่ยิ้มเขินออกมา
เธอกลั้นยิ้มและพูดว่า “แล้วเซี่ยจื่ออี้ล่ะ เธอสวยกว่าฉันไม่ใช่เหรอ?”
เสิ่นอี้โจวสามารถบอกได้ว่าเซี่ยชิงหยวนรู้สึกหึง
เขารู้สึกยินดีจริงๆ ที่เจอเรื่องนี้
เขาเลยอธิบายว่า “หลังจากที่ผมตื่นขึ้นมา ผมได้ยินจากแม่มาเท่านั้นเองว่าเธอจะมานั่งคุยกับแม่ทุก ๆ สองวัน ตอนแรกแม่ของผมปฏิเสธ แต่เธอก็ยืนกรานและบอกว่าเธอเป็นตัวแทนความห่วงใยจากพ่อของเธอที่พอจะทำได้ ขอให้อย่าไล่เธอไปอีกเลย ผมอยู่ในอาการโคม่าและไม่ได้ตื่นจนกระทั่งเช้านี้ด้วย”
เขาจับมือเซี่ยชิงหยวน “ผมกล้าพูดต่อหน้าฟ้าดิน เมื่อผมตื่นขึ้น ผมคิดถึงแต่คุณเท่านั้น ไม่มีเธอแม้แต่น้อยและผมยังไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย”
แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนเชื่อในตัวเสิ่นอี้โจว
เขาอธิบายอย่างประหม่า ทำให้หัวใจของเธออบอุ่น
ในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้อีกต่อไป และหัวเราะออกมาดัง ๆ “ฉันรู้แล้วค่ะ”
ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม ดวงตาของเสิ่นอี้โจวสงบนิ่งราวกับทะเลสาบที่ไม่สามารถวัดความลึกได้
เขามองลงไปที่นิ้วของเธอที่มีแต่แผล และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ชิงหยวน คุณช่วยชีวิตผมไว้”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวของเธอ “ไม่เลย คุณได้รับการช่วยเหลือจากหมอหมิ่นต่างหาก ที่ฉันไปทิเบตก่อนหน้านี้เป็นเพียงการกระทำที่สิ้นหวังเท่านั้นน่ะ”
เสิ่นอี้โจวส่ายหัวทันที
ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนมีแสงดวงดาวอยู่ภายใน
เขามองเธออย่างตั้งใจก่อนจะพูดว่า “ผมได้ยินคำอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธเจ้าของคุณ”