กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 281 รักหนูบ้างได้ไหม

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 281 รักหนูบ้างได้ไหม

บทที่ 281 รักหนูบ้างได้ไหม

เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเย็นชาของเซี่ยชิงหยวน หวังผิงก็สำลักคำพูดตำหนิของตัวเอง ริมฝีปากของเธอเผยอออก แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดยังไงต่อ

ครั้งสุดท้ายที่เซี่ยจิ่งเฉินกลับบ้าน เขาคุยกับเธอเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวน

เวลานั้นเธอยังตัดสินใจที่จะพยายามเข้ากันให้ได้ดีกับเซี่ยชิงหยวน

แต่เธอพบว่าเซี่ยชิงหยวนดูเหมือนจะยังโกรธตัวเองอยู่ และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ขัดกับความคาดหวังของเธอ

อากาศที่ติดอยู่ในใจเธอเหมือนกับลูกโป่ง มันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และต้องระบายมันออกไป

เซี่ยชิงหยวนกล่าวต่อ “แม่ลองถามตัวเองดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางอวี้เอ๋อ หนูจับเธอมัดให้ปีนขึ้นไปบนเตียงของคนอื่นเหรอ?”

“และการทะเลาะกันระหว่างพี่รองและภรรยาของเขามีผลมาจากหนูรึไง? และเป็นหนูเหรอที่บอกให้จางอวี้เจียวไม่ให้ความเคารพผู้อาวุโส ไม่สนใจครอบครัวสามีและลูก ๆ ตัวเอง เอาแต่สนใจตระกูลจางของเธอเท่านั้น?”

ในตอนท้าย เซี่ยชิงหยวนเองก็หัวเราะด้วยความโกรธ “แม่ แม่ช่างมองหนูได้ดีจริง ๆ”

“ชิงหยวน!” หวังผิงตะโกน “อวี้เจียวเป็นพี่สะใภ้รองของเธอนะ!”

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเซี่ยชิงหยวนแสดงความไม่พอใจกับตัวเธอ และจางอวี้เจียวอย่างตรงไปตรงมา

หญิงชราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นชาในใจ “เป็นไปได้ไหมว่าพี่รองของลูกกำลังจะหย่าร้างเพราะสิ่งที่ลูกบอกเขา?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หวังผิงก็โกรธและกังวล “นังลูกไม่รักดี! นี่แกคาดหวังให้พวกเขาหย่าร้างกันใช่ไหม?”

สำหรับข้อกล่าวหาของหวังผิง เซี่ยชิงหยวนรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอยู่พักหนึ่งและเธอพูดอย่างเหนื่อยแรง “แม่อยากจะคิดอะไรก็คิดไปอย่างที่ใจต้องการเลย แต่ถ้าแม่จะโทรมาแค่พูดเรื่องพวกนี้ หนูก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หวังผิงก็เต็มไปด้วยความโกรธ “แก…แก…”

ลูกทั้งสามที่เติบโตขึ้นมา มีใครไม่เชื่อฟังเธอเหมือนเซี่ยชิงหยวนอย่างในวันนี้บ้าง!

ตั้งแต่ยังเล็ก หวังผิงไม่กล้าที่จะพูดคำว่า ‘ไม่’ ต่อหน้าพ่อแม่ และเธอก็เชื่อฟังทุกสิ่ง หลังจากที่แต่งงาน หญิงชราก็สอนลูก ๆ ในแบบเดียวกัน แต่ไม่คาดคิดว่าเซี่ยชิงหยวนซึ่งปกติแล้วจะเชื่อฟังที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่หัวขบถอันดับหนึ่ง!

หวังผิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามสงบสติอารมณ์ แต่เสียงของหญิงชรายังคงสั่นเทา “ชิงหยวน ไปคุยกับอี้โจวแล้วขอให้เขาช่วยเรื่องอวี้เอ๋อซะ ส่วนพี่รองของลูก ลูกก็แนะนำเขาว่าอย่าหุนหันพลันแล่นให้มากนัก เมื่อเรื่องต่าง ๆ คลี่คลายลงแล้ว ครอบครัวของเราจะได้อยู่อย่างสุขสงบเหมือนเดิม”

“ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันจะมีแต่ความน่าอับอาย”

หญิงชราหยุดและหายใจหนักขึ้น “จงเชื่อฟัง และฉันกำลังขอร้องเธอในฐานะแม่ ตกลงไหม?”

เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินคำว่า ‘ขอร้อง’ ความโศกเศร้าในใจเธอก็รุนแรงยิ่งกว่าความตกใจ

นิ้วของเธอพันกันอยู่กับสายของเครื่องรับโทรศัพท์ และก้อนหินในหัวใจก็หนักขึ้น ความรู้สึกไร้พลังในใจของเธอแผ่ออกไป เหลือแต่ความแห้งแล้งราวกับไม่สามารถมีหญ้าใด ๆ เติบโตขึ้นได้

จากนั้นเธอพูดด้วยเสียงที่สงบและราบเรียบ “แม่คะ จริง ๆ แล้วแม่ควรเข้าใจดีกว่าใคร ๆ ว่าเรื่องนี้แก้ไขไม่ได้ง่าย ๆ เพียงเพราะอี้โจวช่วย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาพยายามช่วย บางทีหายนะอาจจะสะท้อนกลับมาสู่ตัวเขาก็ได้ แต่แม่ก็ยังพูดขอมันออกมา”

“แม่ใช้คำว่าขอร้อง แต่นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้สถานะแม่ในการกดดันหนูไม่ใช่รึไง?”

“แม่คิดว่าพอแม่พูดแบบนี้แล้วหนูคงทำได้แค่เห็นด้วย ไม่อย่างนั้นหนูจะกลายเป็นลูกอกตัญญูใช่ไหม?”

เซี่ยชิงหยวนมองออกไปนอกหน้าต่าง ต้นไม้ในเมืองเตียนเฉิงยังคงเป็นสีเขียวในปลายเดือนตุลาคม นกส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งก้าน ซึ่งเต็มเปี่ยมพลัง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนในใจ

ความเจ็บปวดค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในใจของเธอ

ไม่รู้ว่าคุ้นเคยหรือเปล่า แต่ความเจ็บปวดแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อชาติก่อน แต่ตอนนี้มันกลับรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันเป็นเหมือนเข็มทื่อที่ปักเข้ามาอย่างหนักแน่น

เซี่ยชิงหยวนบอกตัวเองว่ายังไหวอยู่ เธอยังรับรู้ถึงความรัก ความเกลียดชัง ความโกรธ และความโง่เขลา

เธอไม่ให้โอกาสหวังผิงได้พูดต่อ “แม่คะ หนูก็เป็นลูกสาวของแม่เหมือนกัน แม่ช่วยรักหนู ดูแลหนูบ้างได้ไหม?”

เมื่อประโยคนี้พูดออกไป น้ำตาของเธอก็ไหลออกมา เธอเงยหน้าขึ้น พลันเบิกตากว้างเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก

ปลายสายของโทรศัพท์เงียบกริบ เซี่ยชิงหยวนจึงพูดต่อ “แม่ หนูยังคงมีเรื่องต้องทำ หนูขอวางสายก่อนนะ”

หลังจากพูดจบเธอวางสายโทรศัพท์ทันที

เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้น ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาจากหางตา แล้วเดินออกจากประตูไปทีละก้าว ราวกับดอกไม้ที่ปลิวไปตามสายลมและสายฝน ไม่มีอะไรสามารถล้มเธอลงได้

เธอเปิดประตู และดวงอาทิตย์ก็สาดส่องมายังร่างกายหญิงสาว อาบไล้อย่างอ่อนโยนบนตัวเธอ

รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนริมฝีปาก แล้วเธอก็เดินออกไป

ในตอนเที่ยง เซี่ยจิ่งเฉินและกงเหลียนซินก็มาถึงหมู่บ้านซิ่งฮวาแล้ว

เวลานี้เป็นช่วงที่ทุกคนกินข้าวที่บ้าน และได้กลิ่นอาหารไปตลอดทาง

จากทางเข้าหมู่บ้าน เซี่ยจิ่งเฉินเดินไปตามบ้านที่เขารู้จักและตะโกนเรียกหา

สักพักชายหนุ่มคนหนึ่งก็ออกมาจากข้างในบ้าน ทั้งสองกระซิบกันสองสามคำ จากนั้นชายคนนั้นก็หยิบแท่งไม้ขึ้นมาแล้วตามเขาไป

ระหว่างทางก็มีผู้คนเดินสมทบเซี่ยจิ่งเฉินมากขึ้นเรื่อย ๆ เกือบสิบคน

กงเหลียนซินเคยพบกับเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉินมาก่อน และทันใดนั้นเธอก็คาดเดาอย่างกล้าหาญในใจ

เธอมองไปที่เซี่ยจิ่งเฉิน แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง

ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดใช่ไหม?

ทันทีที่ทั้งสองเดินไปถึงประตูบ้าน พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังและร้องไห้อยู่ข้างใน

เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ใหญ่และเสียงร้องไห้เป็นของเด็ก ๆ โดยที่เสียงของเซี่ยซือถงและเซี่ยซือเหยียนนั้นดังที่สุด

ในใจกงเหลียนซินกังวลเกี่ยวกับเด็ก ๆ ดังนั้นเธอจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป และรีบวิ่งไปทันที

เซี่ยจิ่งเฉินกับเพื่อน ๆ ของเขาพยักหน้า และเดินตามไปข้างหลังอย่างใกล้ชิด

กลุ่มเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉินยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก และยังไม่เข้าไปทันที

ทันทีที่กงเหลียนซินและเซี่ยจิ่งเฉินเข้าไปในลานบ้าน พวกเขาก็เห็นความวุ่นวาย เด็กสามคนกำลังร้องไห้และผู้ใหญ่ก็กำลังทะเลาะกัน

แม่ของจางอวี้เจียวยืนอยู่ด้านหน้าชี้ไปที่หวังผิง และตะโกนใส่ ทั้งพ่นคำหยาบคายต่าง ๆ มากมาย

ลูกชายทั้งสี่คนยืนอยู่ข้างหลังเธอ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างได้ใจ

จางอวี้เจียวนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ ร้องไห้เรียกความสงสาร และพร่ำถึงความใจร้ายของเซี่ยจิ่งเฉิน

เมื่อเทียบกับคนตระกูลจางแล้ว หวังผิงดูอ่อนแอกว่ามาก

ทั้งเซี่ยจิ่งเยว่และเซี่ยโยว่หมิงเป็นคนที่พยายามเกลี้ยกล่อมทุกคนให้ใจเย็น ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ตรงกลาง เพื่อบอกทุกคนว่าอย่าทะเลาะกัน

คนตระกูลจางไม่ได้คิดจะปรองดอง พวกเขายังคงดุด่าคู่พี่น้องเซี่ยจิ่งเฉินและเซี่ยชิงหยวนด้วยน้ำเสียงที่ดังสูงสุด ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยิน

เมื่อเสียงดังขึ้น แม่ของจางอวี้เจียวก็ผลักเซี่ยโยว่หมิง แต่โชคดีที่เซี่ยจิ่งเยว่ยืนอยู่ข้างหลังและประคองพ่อของเขาได้ทัน

เมื่อเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เซี่ยจิ่งเฉินก็โกรธจัดและตะโกนทันที

“พอได้แล้ว!”

บทที่ 275 ฉันจูบคุณมันผิดตรงไหน?

บทที่ 275 ฉันจูบคุณมันผิดตรงไหน?

จางอวี้เอ๋อรอเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนที่ผู้คุมจะกลับมา

เขามองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า “ออกมา แค่ห้านาทีเท่านั้น”

จางอวี้เอ๋อดีใจมากและตอบอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณ! ขอบคุณ!” ในเวลานี้ ปกติแล้วจางอวี้เจียวจะงีบหลับอยู่ที่บ้านจนถึงบ่ายสามหรือสี่โมงเย็น

เมื่อชาวบ้านมาขอให้เธอรับโทรศัพท์ เธอก็ตื่นมาด้วยอาการงัวเงียและหงุดหงิด

เธอบอกปัดไปอย่างไม่อดทน “ไม่รับ ไม่รับ!”

เจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านตะโกนอยู่นอกหน้าต่าง “น้องสาวของเธอบอกว่ามีเรื่องด่วน ถ้าไม่มารับ ฉันจะวางสายแล้วนะ!”

เมื่อจางอวี้เจียวได้ยินแบบนี้ เธอก็กระเด้งตัวลุกจากเตียงทันที

หัวใจของเธอเต้นเหมือนกลอง และตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ได้

เธอไม่เสียเวลาแม้แต่จะหวีผมด้วยซ้ำ “ไป ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

จางอวี้เจียวใส่รองเท้าแตะของเธอ เปิดประตูแล้ววิ่งออกไป

หวังผิงกำลังดูแลเซี่ยซือถงกับเซี่ยซือเหยียนอยู่ที่ลานบ้าน เมื่อเห็นจางอวี้เจียววิ่งออกมาเร็วมาก เธอก็อดไม่ได้ที่จะตะโกน “ใจเย็น ๆ!”

จางอวี้เจียวแทบหายใจไม่ทันเมื่อไปถึงโทรศัพท์ “ว่าไงอวี้เอ๋อ?”

เสียงร้องของจางอวี้เอ๋อดังมาจากปลายสายทันที “พี่สาว พี่ต้องช่วยฉันนะ!”

จางอวี้เจียวระงับความไม่สบายใจ แล้วพูดอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้น? อธิบายให้ฉันฟังดี ๆ ก่อน!”

จางอวี้เอ๋อพูดพลางร้องไห้ อธิบายเรื่องโดยย่อเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้

ขณะที่พูดเล่าเรื่อง จางอวี้เอ๋อใช้มือป้องปากกับโทรศัพท์ เพราะกลัวว่าผู้คุมที่อยู่ด้านข้างจะได้ยิน

หากผู้คุมรู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับครอบครัวของเสิ่นอี้โจว ผู้คุมจะไม่มีวันช่วยเธออีกเลย

ดวงตาของจางอวี้เจียวเปลี่ยนเป็นมืดหม่นเมื่อเธอได้ยินเรื่องทั้งหมด

เธออุตส่าห์จินตนาการว่าเธอจะสง่างามแค่ไหนในฐานะพี่สะใภ้ของรองผู้อำนวยการ แต่สิ่งนี้กลับเกิดขึ้นกะทันหัน!

เธอตบหน้าผากตัวเองแล้วดุกลับไป “ทำไมเธอถึงโง่ขนาดนี้! ไม่รู้รึไงว่าต้องร้องไห้ยังไง เหอเส้าหยวนบังคับให้เธอต่อสู้กลับจนตัวตายรึไง? ตอนพวกเขาเรียกตำรวจแต่เธอกลับเอาแต่กอดไอ้หัวหน้าคนนั้นไม่ยอมปล่อยมือ!”

“ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ถ้าจำเป็นคุณก็ต้องเถียงหัวชนฝา ไม่ก็วิ่งเอาหัวโขกกำแพงซะ บังคับให้เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวออกมาให้ได้!”

จางอวี้เอ๋อหลั่งน้ำตา “หยุดดุฉันก่อนได้ไหม ตอนนี้หาทางช่วยฉันก่อนเถอะ!”

“ฉันได้ยินมาว่าเหอเส้าหยวนกับฉันอาจถูกตัดสินประหารชีวิตด้วย!”

ทั้งสองคนรู้ดีว่าการก่ออาชญากรรมด้วยการเล่นชู้เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก

จางอวี้เจียวเกาหัวของเธออย่างฉุนเฉียว “จำไว้ว่าต่อจากนี้ไป หากพวกเขาถามคำถามอะไรกับเธอ เธอจะต้องไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ฉันจะโทรหาพี่เขยของเธอแล้วขอให้เขาตามหาเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวให้”

กงเหลียนซินและเซี่ยไป่เหิงอาศัยอยู่ในห้องหนังสือ เนื่องจากไม่มีห้องว่างในบ้านแล้ว

เซี่ยชิงหยวนไปหาห้องเช่าให้สำหรับเซี่ยจิ่งเฉิน ซึ่งอยู่ข้างๆ เขตที่พักครอบครัว

เธอไปที่ตลาดและซื้อวัตถุดิบมารอปรุงอาหารในตอนเย็น วางแผนว่าจะทำอาหารมื้อใหญ่ที่อร่อยที่สุด

เมื่อเธอถือข้าวของและกำลังเดินกลับบ้าน เธอก็ดึงดูดสายตาคนนับไม่ถ้วน

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและยิ้มให้ผู้คนราวกับว่าเธอไม่รู้อะไรเลย

เมื่อเธอกลับถึงบ้าน หญิงสาวก็พบว่าเสิ่นอี้โจวกลับมาแล้ว

เขานั่งบนโซฟาโดยหันหลังให้เธอ และกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ในมืออยู่

เซี่ยชิงหยวนวางข้าวของทั้งหมดในห้องครัวและล้างมือ แล้วเดินเข้าหาอย่างเงียบ ๆ แล้วกอดเขาจากด้านหลัง

เธอกระซิบข้างแก้มของผู้เป็นสามีด้วยเสียงแผ่วเบา “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”

เสิ่นอี้โจวลูบแก้มของเธอเบา ๆ ตอนนี้ทั้งสองเหมือนลูกแมวสองตัวกอดกันอย่างอบอุ่นและน่ารัก

เขาถือหนังสือพิมพ์ไว้ในมือหนึ่ง และอีกมือหนึ่งจับแขนเธอไว้แน่น “ผมเพิ่งกลับมาไม่นานเอง”

สาเหตุที่เขาออกไปจากบ้านชั่วคราวก็เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายของจางอวี้เอ๋อ โดยการไปหลบอยู่ในศาลากลาง

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกผิด “เป็นเพราะฉัน เลยทำให้คุณต้องทำงานล่วงเวลาสินะ”

หลังจากพูดจบ เธอก็เอียงคอและจูบมุมริมฝีปากของเขาอย่างแรง “ขอบคุณนะ”

เสิ่นอี้โจวยกมุมปากยิ้ม

เขาลูบนิ้วเรียวยาวของภรรยา “ขอบคุณแค่นี้ยังไม่พอหรอกนะ”

ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันพลัน

เมื่อเห็นนิ้วเรียวของเขาลูบไล้ตัวเธอ การตัดกันระหว่างผิวสีขาวกับผิวสีข้าวสาลีก็ทำให้เธอนึกถึงภาพสีสันสดใสบางภาพอย่างที่อธิบายไม่ถูก

เธอต้องการดึงมือของเขาออก แต่เสิ่นอี้โจวยังจับเธอไว้แน่น

จากนั้นยังไม่ทันเอ่ยกล่าว เธอก็เอามืออีกข้างสอดเข้าไประหว่างกระดุมเม็ดที่สองที่เสื้อเขา

เสิ่นอี้โจวส่งเสียงอย่างพึงพอใจทันที “อื้ม!”

แน่นอนว่าเมื่อเห็นเช่นนี้ เธอก็ขยับมือของตัวเองไปทางแนวอกแกร่ง

เธอสัมผัสกล้ามเนื้อเรียบนูนกำลังพอดี ที่ให้ความรู้สึกดีมาก และทันใดนั้นที่นิ้วของเธอก็บีบคลึงแผ่นอก

เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ข้างหลังเขา โดยที่ร่างกายส่วนบนโน้มลงมา ศีรษะของเธอเอียงไปข้างหน้า ทำให้เห็นสีหน้าที่ไม่อาจอดกลั้นได้ของเขา

ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงตามการกลืนน้ำลาย

ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนจ้องมองไปยังกระดุมบนสุดที่เขาติดอยู่ตลอดเวลา และรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเธอตอนนี้ค่อนข้างน่าพอใจไม่น้อย

เสิ่นอี้โจวหยุดนิ้วของเธอที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างซุกซน เขากัดฟันแน่น “วันนี้คุณดูอารมณ์ดีจังเลยนะ คุณได้คุยกับพี่รองของคุณแล้วเหรอ?”

มือของเซี่ยชิงหยวนถูกกุมไว้ แต่สัมผัสที่เรียบเนียนนั้นทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเล่นอีก

เสิ่นอี้โจวมีรูปร่างที่ผอมสมส่วน เมื่อแต่งตัวแล้ว เขาก็มีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบเทียบได้กับนายแบบชายที่เธอเห็นในนิตยสารแฟชั่น

มุมปากของเธอโค้งงอขึ้น “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอารมณ์ดี?”

เสิ่นอี้โจวจ้องไปที่ถ้วยชาบนโต๊ะกาแฟตรงหน้า

ดวงตาของเขามืดลง “มันหายากที่คุณจะเป็นคนเริ่มก่อน เพราะงั้นคุณน่าจะกำลังอารมณ์ดีไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อเธอมีความสุข ก้าวของเธอจะเบาลงเมื่อเดิน และหางเสียงของเธอจะดังขึ้นเมื่อเธอพูด…ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่เธอไม่สังเกตเห็นเลย

เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างโกรธ ๆ และเกลี่ยเล่นใต้ฝ่ามือของเขาอีกครั้ง “แล้วยังไง ปกติฉันแค่ไม่อยากจะเริ่มก่อน เพราะถ้าฉันเป็นคนเริ่ม คุณอาจจะต้องใช้เวลาทุกวันทั้งวันบนเตียงแน่ ๆ”

เส้นเลือดบนคอของเสิ่นอี้โจวนูนขึ้นทันทีตามการกระทำของเธอ

มือที่เดิมลูบนิ้วของเธอเปลี่ยนเป็นจับข้อมือแทน “ไม่คิดจะหยุดใช่ไหม?”

เซี่ยชิงหยวนตระหนักอย่างช้า ๆ ว่าแผ่นอกที่เธอสัมผัสก็เปลี่ยนจากอ่อนนุ่มเป็นตั้งแข็ง และขนบริเวณโดยรอบต่างพากันลุกชันทันที

เธอตัวแข็งและไม่ขยับไหว “คุณเป็นผู้ชายของฉัน ฉันสัมผัสมันไม่ได้เหรอ? ฉันสัมผัสมันได้ทุกเมื่อที่ฉันต้องการ และฉันก็สัมผัสมันได้ทุกแบบที่ฉันอยากทำด้วย”

เธอจูบกระเดือกนูนตรงลำคอของเขา “นี่ไงฉันจูบคุณอยู่ ผิดตรงไหน?”

ทำไมเธอต้องยอมให้เสิ่นอี้โจวแกล้งเธอก่อนทุกครั้ง?

ตอนที่เธออยู่ในหมู่บ้านซีสุ่ยและสถาบันธรณีวิทยา เธอยังเป็นผู้นำอยู่เลย

เสียงของเสิ่นอี้โจวแหบแห้งอย่างสิ้นเชิง “ก็ได้ งั้นผมจะสนองความต้องการของคุณให้”

หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนและโอบเอวของเซี่ยชิงหยวนด้วยแขนเพียงข้างเดียว

เซี่ยชิงหยวนตกใจกับการกระทำที่กะทันหันนี้

เธอมักจะลืมความแข็งแรงที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมาได้เสมอ เพียงเพราะว่าเมื่อครู่นี้มือของเขาไม่ว่างอยู่

แต่ตอนนี้ก็สายเกินไปที่จะเสียใจแล้ว

ฝ่ามือใหญ่ของเขายังคงแนบอยู่ที่หลังส่วนล่างของเธอ และอุณหภูมิที่ร้อนอ้าวก็ทะลุผ่านเสื้อผ้า ทำเอาผิวหนังบริเวณนั้นของหญิงสาวร้อนแทบไหม้

เธอแนบชิดกับเขาเกือบทั้งร่าง การหายใจของทั้งสองประสานกัน และสมองเริ่มขาดออกซิเจน

เสิ่นอี้โจวจับท้ายทอยของเธอไว้ “อย่าร้องไห้ทีหลังก็แล้วกัน”

สิ้นเสียงเอ่ย เขาก็จูบเธออย่างแรง

เขารองรับน้ำหนักตัวของเธอ พาหญิงสาวลงนอนบนโซฟา จูบด้วยแรงอารมณ์ มันทั้งหนักหน่วงและดุดัน จนเธอแทบจะหมดลมหายใจ

เซี่ยชิงหยวนนอนอยู่บนโซฟา โดยจำได้ว่าทั้งสองยังอยู่ในห้องนั่งเล่น

เธอเอื้อมมือออกไปผลักเขา ทำให้เธอมีเวลาวินาทีหรือสองวินาที “อย่า…อย่าทำที่นี่”

เสิ่นอี้โจวมองที่เธอ แต่ใบหน้าที่มักจะเย็นชาของชายผู้นี้ตอนนี้มีแต่ความใคร่เท่านั้น “ผมก็นึกว่าคุณไม่กลัวอะไรแล้วซะอีก”

มือใหญ่ของเขาสอดเข้าไปในเสื้อผ้าด้านหลังเธอ คลำหาสายชุดชั้นในแล้วใช้นิ้วปลดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถลกเสื้อผ้าของเธอขึ้นไว้ที่ลำคอลำคล้ายถูกล่ามโซ่

ในครั้งนี้เซี่ยชิงหยวนตื่นตระหนกแล้วจริง ๆ

เธอจับมือเขา “เดี๋ยวพี่สะใภ้กับคนอื่นก็จะออกมาแล้วนะ”

ถ้าคนอื่นเข้ามาเห็นเธอและเสิ่นอี้โจวที่กำลังกอดรัดอยู่บนโซฟาแบบนี้ เธอคงไม่มีหน้าไปมองใครตรง ๆ อีกแล้ว

เสิ่นอี้โจวเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง นี่เป็นเวลา 16:12 น.

เขาฝังศีรษะของตัวเองไว้ในความนุ่มนิ่มที่ไร้สิ่งขวางกั้น “ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกมากกว่าหนึ่งชั่วโมง”

หลังจากพูดแล้วเขาก็อุ้มเซี่ยชิงหยวนไปที่ห้องนอน

ขายาวเตะเปิดประตูแล้วปิดมัน ตามด้วยเสียงเสื้อผ้าที่ถูกถอดร่วงหล่น

เซี่ยชิงหยวนหน้าแดง แล้วถูกเสิ่นอี้โจวผลักลงบนเตียง “รีบหน่อย”

เสิ่นอี้โจว “ได้ครับ”

สิบนาทีต่อมา เซี่ยชิงหยวนก็ทนไม่ไหวจริง ๆ จนต้องร้องเสียงหลงออกมา

“ฉันไม่ได้หมายถึง…รีบแบบนี้”

———————

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท