กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 303 ลูกชายคนเล็กของท่านฉี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 303 ลูกชายคนเล็กของท่านฉี

บทที่ 303 ลูกชายคนเล็กของท่านฉี

ห้องนอนใหญ่อยู่ด้านในสุดของชั้นสอง เมื่อเข้าไปจะมีห้องโถงเล็ก ๆ พร้อมเก้าอี้ และโต๊ะกาแฟ ด้านหลังมีฉากกั้นและมีเตียงกว้างสองเมตรวางอยู่ตรงกลางห้อง

มองจากข้างเตียงเป็นหน้าต่างบานใหญ่หันหน้าไปทางทิศใต้และมีหน้าต่างอีกบานหันหน้าไปทางทิศตะวันออกอีกด้านหนึ่งของห้องโถง ซึ่งเรียกได้ว่าแสงส่องได้พอดิบพอดี

ในห้องนอนมีห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วน ซึ่งยังคงมีอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ รวมถึง…กระจกที่มีความสูงถึงครึ่งตัวคน

ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนกระตุกเมื่อเห็นสิ่งนี้

เสิ่นอี้โจวกอดเธอจากด้านหลัง “คุณพอใจไหม?”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “มันดีมากเลย”

ฝ่ามือใหญ่ของเขาลูบหน้าท้องส่วนล่างของเธอ “คุณเห็นอ่างอาบน้ำนั้นไหม?”

เซี่ยชิงหยวนยังคงพยักหน้า “ฉันเห็นแล้ว”

เสิ่นอี้โจว “มันใหญ่หรือเปล่า?”

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง “ก็ใหญ่นะ”

เสิ่นอี้โจวโน้มตัวไปที่คอยาวระหง และก้มลงจูบเธอที่แก้ม “คืนนี้คุณอยากอาบน้ำไหม?”

ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ เลื่อนจากหน้าท้องขึ้นมา “มีน้ำหอมอยู่ข้าง ๆ ตู้ด้วยนะ ดูสิ”

คราวนี้เซี่ยชิงหยวนเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว…

เธอวางฝ่ามือบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว “คืนนี้เราต้องเข้านอนเร็วนะ พรุ่งนี้ฉันมีเรื่องต้องทำเยอะแยะเลย”

หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็ถอนตัวจากเขาและพูดต่อในขณะที่ยืดตัว

“หลังจากนั่งอยู่ในรถนาน ๆ ฉันก็รู้สึกปวดเอวไปหมดเลย”

เสิ่นอี้โจวมองดูเธอยืดเอวเรียว และบั้นท้ายที่โยกย้ายไปมาตามจังหวะเดิน มุมปากของเขาพลันยกขึ้นช้า ๆ “ผมตุนไว้ก็ได้ ทนอีกวันจะเป็นอะไรไป”

พอได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนรู้สึกขนลุกทันที

ผู้ชายคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า?

เสิ่นอี้โจวก้าวไปข้างหน้าและประคองภรรยา “ดูสิ คุณเดินไม่ระวังเอาซะเลยนะ”

หลังจากช่วยประคองเธอแล้ว เขาก็นั่งลงบนม้านั่งพลางปลดกระดุมคอแล้วดึงคอเสื้อออกด้วยมือข้างเดียว “สองวันต่อจากนี้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ดังนั้นมีเวลาเหลือเฟือแน่นอน”

เขามองดูเธออย่างเจ้าเล่ห์ “ชิงหยวน คุณช่างเอาใจใส่ผมเหลือเกิน”

เซี่ยชิงหยวน “…”

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเซี่ยชิงหยวนลงไปชั้นล่าง ป้าอู๋ก็มาทำงานแล้ว

ในครัวกำลังเต็มไปด้วยอาหารและส่งกลิ่นหอมอบอวล มันคือโจ๊กใส่เนื้อไม่ติดมันพร้อมทั้งมีมันเทศ

หลินตงซิ่วก็อยู่ในครัวเช่นกัน โดยแข่งขันกับป้าอู๋เพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ในขณะที่เสิ่นอี้หลินตามเสิ่นอี้โจวไปเพื่อออกกำลังกายในสนาม

เสียงนกร้องข้างนอกหน้าต่างดังเป็นครั้งคราว และแสงยามเช้าก็ลอดเข้ามาทำให้บ้านมีแสงสีทองสาดส่อง

คิ้วของเซี่ยชิงหยวนเรียวโค้ง ทุกอย่างสวยงามมาก

เมื่อเห็นเธอลงมา ป้าอู๋ก็ตะโกนออกมาว่า “สวัสดีค่ะคุณนาย”

หลินตงซิ่วดูเหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต “ชิงหยวน เสี่ยวอู๋มาแต่เช้าเลย พอแม่บอกจะทำอาหารเช้า เธอก็บอกว่าจะทำเอง พอแม่จะถูพื้น เธอก็ยังบอกด้วยว่าจะทำเองเหมือนกัน”

สีหน้าของหลินตงซิ่วเต็มไปด้วยความอึดอัด “ลูกช่วยบอกเธอหน่อยสิ เราสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ด้วยตัวเองนะ”

เธอไม่เคยถูกรับใช้แบบนี้มาเกือบตลอดชีวิต

ป้าอู๋เองก็กระอักกระอ่วนเช่นกัน “คุณนายหญิงคะ นี่เป็นงานของฉัน คุณนายหญิงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้เลยค่ะ”

เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดกับหลินตงซิ่ว “แม่คะ ป้าอู๋พูดถูกแล้วค่ะ นี่คืองานของเธอ ถ้าแม่ทำงานทั้งหมดนั่น แล้วแบบนั้นเธอจะไม่ตกงานเหรอคะ? แต่ถ้าแม่ต้องการช่วยป้าอู๋แบบนั้นก็พอได้อยู่ค่ะ”

เธอพูดกับป้าอู๋อีกครั้ง “ป้าอู๋คะ แม่สามีของฉันเคยชินกับการทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอดชีวิตน่ะค่ะ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่คุณแม่จะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ถ้าอย่างไรในอนาคตเธออยากจะช่วยคุณป้าทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ให้เธอช่วยทำทีนะคะ”

จากนั้นเธอเหลือบมองสองพี่น้องที่อยู่นอกประตูและพูดต่อ “ไม่ใช่แค่แม่สามีของฉัน แม้แต่ฉัน สามีของฉัน หรืออี้หลิน พวกเราก็จะทำบางอย่างบ้างที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองน่ะค่ะ”

ป้าอู๋รู้สึกประทับใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และเธอก็ตอบอย่างแข็งขัน “แบบนั้นก็ได้เลยค่ะ!”

เดิมทีตอนที่เธอได้รับมอบหมายให้ทำงานที่นี่ ผู้คนที่ทำงานด้วยกันต่างก็หัวเราะเยาะเธอ “ฉันได้ยินมาว่าลูกสะใภ้และแม่ของเลขาธิการเสิ่นมาจากชนบทแหละ พวกเขาไม่น่าจะใช่คนที่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยนะ บ้านน่าจะสกปรกมากทุกวัน และเธอจะต้องเหนื่อยมากจนปวดเอวแน่ ๆ”

“นอกจากนี้ฉันยังได้ยินคนพูดกันว่าคนบ้านนอกมีสำเนียงที่ฟังยากมาก ไม่รู้เลยว่าพอถึงตอนนั้นเธอจะสื่อสารกับพวกเขาได้ไหม!”

ป้าอู๋ตอบกลับในเวลานั้นว่า “ฉันเป็นแค่คนงาน ฉันไม่สนว่าครอบครัวของเจ้านายจะเป็นยังไงหรือมาจากไหนทั้งนั้นแหละตราบใดที่ฉันทำงานได้ดี”

อันที่จริงพอพูดไปแล้วเธอก็ยังเป็นกังวลอยู่ เธอกังวลว่าครอบครัวของเจ้านายใหม่จะอยู่ด้วยไม่ง่ายนัก

แต่เมื่อคืนเซี่ยชิงหยวนและคนอื่น ๆ ได้คลายความกังวลของเธอแล้ว

และสิ่งที่เธอได้ยินเช้านี้ ยิ่งทำให้ความวิตกกังวลหายไปแบบปลิดทิ้ง

เมื่อเห็นแบบนี้ หญิงวัยกลางคนก็ยิ่งอยากจะทำให้คนที่ไม่รู้ความจริงของครอบครัวเลขาธิการเสิ่นละอายใจเหลือเกิน!

เสิ่นอี้โจวพาเสิ่นอี้หลินไปออกกำลังกาย หลังจากนั้นก็กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและกินข้าวเช้าด้วยกัน

ป้าอู๋ปฏิเสธที่จะร่วมโต๊ะอาหาร เธอยืนยันจะนั่งกินแยกในห้องครัว

ก่อนออกไปข้างนอก เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “วันนี้อาจมีคนมาเยี่ยมที่บ้านก็ได้ แต่ถ้าหากคุณไม่ชอบการต้องต้อนรับผู้คนก็สามารถพาแม่กับอี้หลินออกไปเดินเล่นแทนได้นะ”

เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ฉันจะอยู่ที่บ้าน”

วันแรกอาจเป็นไปได้ที่จะซ่อนตัว แต่พวกเขาจะซ่อนได้นานแค่ไหนกันล่ะ?

อันที่จริงเธออยากรู้มากว่าใครจะเป็นคนแรกที่มาเยือนประตูบ้าน

เสิ่นอี้โจวยิ้ม “ได้สิ ผมเกือบลืมไปว่าภรรยาของผมเป็นคนไม่กลัวอะไรเลย”

จากนั้นเขาหันหน้าไปทางเสิ่นอี้หลินแล้วพูดว่า “หลังอาหารเช้า นายจะออกไปเล่นข้างนอกก็ได้นะ แต่พอสัปดาห์หน้า พี่จะพานายไปรายงานตัวที่โรงเรียน”

เสิ่นอี้หลินตอบกลับ “ผมขอไปรายงานตัวอีกครั้งในภาคการศึกษาหน้าได้ไหม?”

เสิ่นอี้โจวยิ้มอย่างน่ากลัว “ก็ได้ งั้นพี่จะให้พี่สะใภ้สอนหนังสือนายที่บ้านทุกวัน”

เสิ่นอี้หลินยกมือยอมแพ้ทันที “ไม่เป็นไร ๆ ผมจะไป ผมจะไป”

เซี่ยชิงหยวนเคาะโต๊ะด้วยมือของเธอแสร้งทำเป็นโกรธ “นี่ พวกนายสองคนอยากมีปัญหานักใช่ไหม?”

ป้าอู๋นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างห้องครัว พลางฟังการสนทนาของครอบครัวเจ้านาย

เธออดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว บรรยากาศที่มีความสุขแบบนี้ไม่ค่อยเห็นได้บ่อยในบ้านของผู้นำคนอื่นสักเท่าไหร่นัก

เซี่ยชิงหยวนส่งเสิ่นอี้โจวออกไปตามปกติแบบที่เคยทำ

เธอยืนอยู่หน้าสวนดอกไม้สักพัก และกำลังคิดว่าปีหน้าจะปลูกดอกไม้อะไรได้บ้าง

ขณะที่เธอกำลังจะเข้าประตูบ้าน หญิงสาวก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกขึ้นมา “ชิงหยวน!”

เซี่ยชิงหยวนหันศีรษะ และเห็นว่าเป็นเซี่ยจื่ออี้ที่เดินเข้ามา

ข้าง ๆ เธอคือฉินซูอวี้ ซึ่งไม่ได้เจอมานานแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยจื่ออี้ที่ยิ้มแย้ม สีหน้าของฉินซูอวี้ไม่ได้ดีนัก สีหน้าของเธอดูมืดมนราวกับว่ามีคนเป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืน

เซี่ยชิงหยวนหันกลับไป พลางยืดตัวแล้วยิ้มให้เซี่ยจื่ออี้ “ช่างบังเอิญจริง ๆ”

วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงแขนยาวสีขาว กระโปรงช่วงล่างดูพองเล็กน้อยและทำปลายกระโปรงพลิ้วได้ดีมาก การออกแบบช่วงเอวก็ทำให้เอวเรียวของเธอดูเย้ายวนมากขึ้น ทั้งยังสวมชุดชั้นในที่ซื้อจากเมืองกว่างโจว ซึ่งปรับเปลี่ยนทรงหน้าอกของเธอได้เป็นอย่างดี และยิ่งบวกกับเส้นผมที่ดัดเป็นลอนสวยยาวถึงเอว กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลมเบา ๆ หญิงสาวก็ดูราวกับนางฟ้าไม่หยอก

เมื่อเซี่ยจื่ออี้เห็นเซี่ยชิงหยวนที่หันกลับมาอย่างมั่นใจ รอยยิ้มที่มุมปากของเธอก็แข็งค้าง

เธอดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และดึงฉินซูอวี้เข้ามาใกล้

เซี่ยจื่ออี้ยิ้มและพูดว่า “ฉันเคยเจอเธอมาหลายครั้งแล้ว แต่วันนี้เธอสวยมากจริง ๆ นะ”

ฉินซูอวี้พ่นลมหายใจเบา ๆ และไม่พูดอะไร

เซี่ยชิงหยวนยิ้มตอบกลับ “ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ ฉันสวยมากเสมออยู่แล้วน่ะค่ะ”

เซี่ยจื่ออี้ “…”

ฉินซูอวี้ “…”

เซี่ยชิงหยวนทำเป็นเหมือนไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายและพูดต่อ “พวกเธอก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ? มามองหาฉันหรือกำลังมองหาอี้โจวล่ะ? บังเอิญจริง ๆ นะ อี้โจวเพิ่งออกจากบ้านไปเมื่อกี้เอง”

พอได้ยินแบบนั้น เซี่ยจื่ออี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเดินหน้าต่อดีหรือไม่

จากนั้นเธอพูดอย่างห้วน ๆ “แน่นอนว่าฉันต้องมาหาเธอสิ”

เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “งั้นก็ดีเลย ฉันเพิ่งมาถึงที่นี่และยังไม่มีคนรู้จัก เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ”

คิดว่าทำตัวน่ารังเกียจเป็นคนเดียวเท่านั้นเหรอ?

ฉันก็จะทำเหมือนกัน!

ตอนนี้มาวัดกันดูว่าใครกันแน่ที่น่ารังเกียจมากกว่ากัน!

เมื่อป้าอู๋เห็นคนมา เธอก็เทชาทันทีและทักทาย “คุณเซี่ย คุณฉิน เชิญดื่มชานะคะ”

ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้จ้องไปที่ใบหน้าของป้าอู๋สักครู่แล้วพูดว่า “ชิงหยวน แม่บ้านของเธอคนนี้นี่ดีจริง ๆ เลยนะ เธอรู้จักพวกเราด้วย”

ฉินซูอวี้อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เป็นไปได้ไหมที่รู้ว่าเราจะมา ก็เลยทำการบ้านหาข้อมูลมาล่วงหน้า?”

น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความพึงพอใจ

เซี่ยชิงหยวนโต้กลับทันที “ความสามารถของป้าอู๋ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุดน่ะ แม้แต่สุนัขในละแวกนี้เธอก็สามารถบอกได้ว่าใครเป็นเจ้าของ และสุนัขตัวนั้นชื่ออะไรในทันที”

“เธอ…” สีหน้าของฉินซูอวี้เปลี่ยนไปเป็นแย่อย่างมาก

นี่มันหมายความว่ายังไง? ไม่ใช่หาว่าพวกเธอเป็นสุนัขหรอกเหรอ?

ในความเป็นจริง ความคิดของเซี่ยชิงหยวนคือ ‘พวกหล่อนยังไม่ได้ดีเท่ากับสุนัขด้วยซ้ำ สุนัขน่ารักและจริงใจกว่าเยอะ’

เซี่ยจื่ออี้ตบมือของฉินซูอวี้เพื่อส่งสัญญาณให้ไม่แสดงอาการโกรธออกไป

เธอพูดว่า “วันนี้เรามาหาเธอน่ะ เพราะเดิมทีเราอยากชวนเธอไปทำผมและซื้อเสื้อผ้า เพื่อที่เธอจะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงเธอคงไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้นแล้วมั้ง”

ไม่เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องทำเพิ่มเท่านั้น แต่ยังสวยเกินไปอีกด้วย

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหลาดใจ “งานเลี้ยง?”

ฉินซูอวี้อดไม่ได้ที่จะอวด “เอ๊ะ หรือว่าเป็นไปได้ไหมที่อี้โจวไม่ได้บอกเธอ? คืนนี้แขกทุกคนจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาของลูกชายคนเล็กท่านฉีน่ะ”

เธอหยุดชั่วคราว พลางมองไปยังเซี่ยจื่ออี้ที่กำลังก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย

เธอกล่าวต่อ “และคืนนี้จะมีการประกาศการแต่งงานของจื่ออี้ และลูกชายคนเล็กของท่านฉีอีกด้วย!”

———————

บทที่ 297 ได้เวลามีลูก

บทที่ 297 ได้เวลามีลูก

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างเขินอาย “ได้ค่ะ”

เดิมทีเธอต้องการใช้เงินประมาณสามพันหยวนเพื่อซื้อหยกกับปี่เหลาซาน แต่ตอนนี้เธอไม่กล้าพูดเลย

ขนาดหมื่นห้าพันหกร้อยเขายังตำหนิแล้วสามพันเขาไม่ด่าเธอเลยเหรอ?

หญิงสาวเรียกเสี่ยวหลิวให้ขับรถพาปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานไปที่สถานีรถไฟ ซึ่งตัวเธอเองก็ไปส่งด้วยเช่นกัน

เมื่อปี่ฟู่หมานขึ้นรถไฟ เขานั่งข้างหน้าต่างและเห็นเซี่ยชิงหยวนยืนอยู่นอกชานชาลาส่งพวกเขาด้วยท่าทีไม่เต็มใจ ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับปี่เหล่าซาน “ตาเฒ่า เธอเป็นลูกสาวของคุณที่ถูกทิ้งไว้ข้างนอกหรือเปล่าเนี่ย?”

ปี่เหลาซาน “…”

เขายกมือขึ้นทำท่าเหมือนจะตบกะโหลกศิษย์รักแล้วพูดทันที “แกพูดเรื่องอะไรหะไอ้เด็กแสบ?”

ปี่ฟู่หมานรีบเอามือปกป้องศีรษะซ่อนตัวเองพร้อมพูดว่า “ก็มันจริงนี่ แต่ผู้หญิงที่ฉลาดแบบนี้ไม่ใช่ลูกสาวของคุณแน่”

ปี่เหลาซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างโกรธ ๆ “นี่ฉันแย่ขนาดนั้นเลยรึไง?”

ปี่ฟู่หมานพูดอย่างบูดบึ้ง “คุณพูดเองนะผมไม่ได้พูด”

ปี่เหลาซานถอนหายใจ “ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากมีลูกสาวที่ฉลาดและน่ารักแบบนี้เหมือนกันนะ”

แต่น่าแปลกเพราะทันทีที่เห็นเซี่ยชิงหยวน เขาก็รู้สึกชอบเธออย่างอธิบายไม่ได้ ชายชราไม่รู้ว่ามันเป็นชะตากรรมที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วยกันตั้งแต่ชาติปางก่อนหรือไม่

ดังนั้นด้วยความบังเอิญที่แปลกประหลาด เขาจึงมอบกำไลข้อมือหยกที่กว่าตัวเองจะได้มาอย่างยากลำบากแก่เธอ

ชายชรายังคงรู้สึกอยู่ในใจว่ากำไลข้อมือหยกนั้นควรเป็นของเธอ

เมื่อได้ยินเสียงหวูดรถไฟ เขาโบกมือให้เซี่ยชิงหยวนซึ่งอยู่นอกหน้าต่าง และเมื่อเห็นดวงตาที่จริงจังของเธอ ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา

เมื่อเห็นแบบนี้ ปี่ฟู่หมานก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้น “ไหนคุณบอกว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของคุณไง?”

เซี่ยชิงหยวนก็วิ่งตามรถไฟพลางตะโกนบอกปี่ฟู่หมาน “ศิษย์น้อง ระวังอย่าให้อาจารย์สูบบุหรี่มากเกินไป และอย่าลืมเตือนให้เขาสวมกางเกงเพิ่มด้วยเมื่ออากาศหนาวนะ!”

ปี่ฟู่หมานโบกมืออย่างไร้อารมณ์เพื่อแสดงว่าเขารู้แล้ว

จากนั้นเขาขมวดคิ้ว “ตาเฒ่า ทำไมเธอรู้ว่าคุณชอบสูบบุหรี่และมีปัญหาเรื่องเย็นขาล่ะ?”

ปี่เหลาซานไม่แน่ใจเช่นกัน “เธอน่าจะเดาได้มั้ง”

ปี่ฟู่หมานพ่นลมหายใจแล้วหันหลังให้ปี่เหลาซาน “อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะปฏิเสธไปได้นานแค่ไหน!”

ปี่เหลาซานพึมพำกับตัวเอง “หรือเป็นไปได้ไหมที่ฉันมีลูกสาวจริง ๆ?”

แต่มีกับใครล่ะ?

อวิ๋นซี?

หรือไฉ่เจียว?

ไม่น่าจะใช่ชุยฮวาใช่ไหม?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ปี่เหลาซานก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

หลังจากไปส่งปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมาน เซี่ยชิงหยวนไม่ได้กลับไปที่ร้านตรอกเก่า แต่กลับบ้านเพื่อทำอาหาร

ทันทีที่ใส่ข้าวลงในหม้อ กงเหลียนซินก็โทรมา

กงเหลียนซินพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่บ้านที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จากนั้นพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตระกูลจางมารับเซี่ยซือถง

“เธอคงนึกภาพไม่ออกแน่ว่าพวกคนตระกูลจางคว้าแขนของถงถงแรงขนาดไหนเพื่อให้ไปกับพวกเขา คนพวกนั้นไม่สนใจเลยว่าจะทำให้เด็กเจ็บรึเปล่า ถงถงกลัวมากจนน้ำตาไหล แต่จางอวี้เจียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับไม่พูดอะไรสักคำ แม่จับถงถงไว้และทนไม่ไหวที่จะต้องปล่อยไป”

ผู้ใหญ่ร้องไห้ เด็กก็ร้องไห้เหมือนกัน ส่วนเด็กอีกสามคนเห็นหน้ากันก็ร้องไห้ด้วยกัน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวังผิงที่เลี้ยงดูเซี่ยซือถงด้วยมือของเธอเอง แม้แต่กงเหลียนซินที่เป็นป้าก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะดูภาพนี้

กงเหลียนซินกล่าวต่อ “พวกตระกูลจางยังบอกด้วยว่าถ้าเราคิดถึงถงถง เราก็ควรไปเยี่ยมเธอให้บ่อยๆ และซื้อของขวัญหรืออะไรสักอย่างให้เธอทุกครั้งเวลาไปเยี่ยมด้วย”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ กงเหลียนซินก็แสดงสีหน้าดูถูก “พี่เลยบอกไปว่าเวลาปกติพวกเขาไม่เคยสนใจแท้ๆ ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่ควรพูดเหมือนตัวเองเป็นห่วงถงถงเพื่อซ่อนความคิดไร้ยางอาย!”

เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เพิกเฉยต่อพวกเขาไปก็พอ ถ้าพวกเขาทำไม่ดีจริง ๆ หลังจากนี้พี่ก็แค่ไปพาถงถงกลับมาอยู่ที่บ้านด้วยสักสองสามวันบ่อย ๆ ก็ได้”

เราคงไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวนั้นดูดเลือดอีกต่อไป เหมือนตอนที่ยังไม่หย่าใช่ไหมล่ะ?

กงเหลียนซินพูดถึงการไปเมืองหลวงของมณฑลอีกครั้ง “หลังจากเรื่องนี้ พี่ใหญ่ของเธอก็ไม่ต่อต้านกับการไปเมืองหลวงมณฑลมากเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ แต่ในทางกลับกัน พ่อแม่กลับดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะไปเลย”

เซี่ยโยว่หมิงและหวังผิงมีความคิดอะไรอยู่ ในฐานะลูกสะใภ้เธอยังพอเดาอะไรบางอย่างได้

เนื่องจากเหตุการณ์ของจางอวี้เอ๋อและจางอวี้เจียว มันทำให้หวังผิงแตกแยกกับเซี่ยชิงหยวนโดยสิ้นเชิง

การไปที่เมืองหลวงของมณฑลย่อมนำไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์กับเซี่ยชิงหยวนบ่อยครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความแตกแยกระหว่างแม่และลูกสาวยังไม่ได้รับการซ่อมแซม ดังนั้นหวังผิงจึงไม่สามารถพยักหน้าได้

ตอนนี้จางอวี้เจียวไม่ได้อยู่ที่ตระกูลเซี่ย หากทั้งสองคนออกไปพร้อมกับลูก ๆ ของพวกเขา จะเหลือเพียงคู่สามีภรรยาชราและเซี่ยซือเหยียนที่อยู่บ้านเท่านั้น ซึ่งเซี่ยจิงเยว่ย่อมกังวลเรื่องการจากไป

สิ่งต่าง ๆ เข้ามาเต็มไปหมดและดูเหมือนจะเป็นทางตันอีกครั้ง

เซี่ยชิงหยวนเข้าใจว่ากงเหลียนซินลังเลที่จะพูด

เธอครุ่นคิด “ถ้าพี่สะใภ้กับพี่ใหญ่อยากมาที่นี่ ฉันช่วยพวกพี่หาบ้านได้นะ ส่วนพ่อ เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวฉันโน้มน้าวเองค่ะ”

กงเหลียนซินสังเกตเห็นความผิดหวังในน้ำเสียงของเซี่ยชิงหยวน และเธอก็รีบพูดว่า “ในไร่ของบ้านเรายังมีผลผลิตที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวอีกมากน่ะ ช่วงนี้พ่อแม่เลยยังปล่อยมันไปไม่ได้ เอาเป็นว่าหลังจากปีใหม่ ฉันและพี่ใหญ่ของเธอจะลองชวนพวกเขาอีกครั้งนะ”

เซี่ยชิงหยวนไม่ได้กดดันอีกฝ่ายและตอบว่า “ได้ค่ะ”

เธอรู้ว่าไม่เพียงแต่หวังผิงเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเธอยังไง แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากับหวังผิงได้ยังไงเช่นกัน

มีสุภาษิตโบราณว่า ‘พ่อแม่ทุกคนในโลกนี้ล้วนไม่ผิด’ แต่เธอกลับไม่เห็นด้วยกับมัน

ความกตัญญูได้รับการสนับสนุนมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่บางครั้งความกตัญญูก็สามารถบดขยี้ลูกหลานจนตายได้

หลังจากเจ็บมาหลายครั้ง เธอก็ไม่อาจปราศจากความแค้นได้

ทุกครั้งที่หวังผิงทำร้ายเธอ มันก็เหมือนกับการตอกตะปูไปที่ประตู ต่อให้หลังจากนั้นไม่นานหวังผิงทำดีกับเธอ มันก็เหมือนกับการถอนตะปูออก

เธอพอใจกับความรักของแม่อย่างง่ายดายและลืมความเจ็บปวดได้อย่างง่ายดาย

แต่วันหนึ่งเธอจะค้นพบว่าแม้จะดึงตะปูออกแล้ว แต่รอยแผลที่ตะปูทำไว้นั้นไม่สามารถลบออกได้

แผลเก่าเหล่านี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถให้อภัยหรือลืมไปได้ง่าย ๆ

เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้น ไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้า แล้วกลับไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร

ช่างมันก็แล้วกัน เธอคิด

เธอจะยังคงเคารพหวังผิง แต่จะไม่เปิดใจให้หวังผิงอีก

ในตอนกลางคืน เซี่ยชิงหยวนนอนอยู่บนเตียงมองสมุดบัญชีของเธอด้วยสีหน้าขมขื่น

เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าหญิงสาวช่างน่ารักจริงๆ

เขาเดินไปนั่งลงแล้วถามว่า “เป็นอะไรเหรอ?”

เซี่ยชิงหยวนวางสมุดบัญชีลงและถอนหายใจ “อาจารย์ของฉันคิดว่าฉันยากจนน่ะสิ!”

ด้วยท่าทีเศร้าโศก เห็นได้ชัดว่าคำพูดของปี่เหลาซานกระทบใจเธอมาก

เสิ่นอี้โจวหยิบสมุดบัญชีของเธอมาดูเนื้อหาในนั้นแล้วพูดว่า “คุณทำเงินได้มากกว่าหมื่นหยวนในเวลากว่าครึ่งปี ซึ่งถือว่าดีมากแล้วนะ คุณยังเด็กและมีเวลาอีกมาก เมื่อถึงเวลาผมเกรงว่าคุณจะเกลียดกองกลิ่นทองแดงด้วยซ้ำ”

เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ไม่ ฉันจะไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน ใครจะไม่ชอบกับการมีเงินเยอะ ๆ ล่ะ”

เมื่อเห็นว่าเธอเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาพอพูดเกี่ยวกับเรื่องเงิน เสิ่นอี้โจวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เกรงว่าผมได้แต่งงานกับสาวน้อยผู้คลั่งไคล้เงินที่สุดแล้วนะเนี่ย”

เซี่ยชิงหยวนหันหลังกลับ นอนหงายบนเตียงแล้วดึงหน้าเขา “ใช่ ๆ มันเป็นฉันเอง น่าเสียดายที่คุณไม่สามารถเปลี่ยนใจได้แล้ว!”

ฝ่ามือใหญ่ของเสิ่นอี้โจวขับมือเธอ และมุมปากของเขายกยิ้มลึกซึ้งยิ่งขึ้น “คุณเป็นคนดีมาก ผมจะเสียใจได้ยังไง”

ขณะที่เขาพูด ชายหนุ่มก็จับมือเธอแล้วพูดว่า “ภรรยา เดือนหน้าผมจะอายุยี่สิบหกแล้วนะ”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “แล้วคุณต้องการอะไรเป็นของขวัญล่ะ?”

เดิมทีเธอวางแผนที่จะไปที่เมืองกว่างโจวหลังจากย้ายไปเมืองหลวงของมณฑล แล้วเลือกของขวัญวันเกิดให้กับเสิ่นอี้โจวที่นั่น

เสิ่นอี้โจวโน้มตัวเข้าหาเธอ “ผมหมายถึง ผมไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว”

เซี่ยชิงหยวน “แล้วไงอย่างไร?”

เสิ่นอี้โจว “หลังจากผมไปตรวจร่างกายรอบนี้ เรามามีลูกกันเถอะ”

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท