บทที่ 362 รสชาติของการไม่ได้เป็นที่ต้องการ
บทที่ 362 รสชาติของการไม่ได้เป็นที่ต้องการ
ย้อนกลับไปในเช้าวันเดิม
หลังจากที่เสิ่นอี้โจวไปทำงานในตอนเช้า เขาก็จำได้ว่าเซี่ยชิงหยวนบอกให้กลับบ้านเร็ว แล้วเขาก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง
ดังนั้นในตอนท้ายของวันเขาจึงรู้สึกมีแรงบันดาลใจอย่างล้นเหลือ และค่อนข้างรอคอยการมาถึงของตอนเย็น
ทว่าเมื่อกลับบ้านและมองไปยังบ้านที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง ชั่วขณะหนึ่งเขาสงสัยว่าตัวเองเข้าบ้านผิดหรือเปล่า
และทันทีที่เขาเข้าไปในห้องนั่งเล่น เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้น “สุขสันต์วันเกิด!”
เสิ่นอี้โจว “…”
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อี้โจว สุขสันต์วันเกิดค่ะ”
เสิ่นอี้หลินสวมหมวกฟางที่หลิงหลินซื้อมาให้สำหรับเขา ซึ่งดูคล้ายกับคนป่าเถื่อนชาวแอฟริกันเล็กน้อย เด็กชายจับมือกับเถาเหนียนซีซึ่งแต่งตัวคล้ายกันกระโดดออกมา “โฮ่ โฮ่ พี่ใหญ่สุขสันต์วันเกิด!”
มีอยู่ชั่ววินาทีที่เสิ่นอี้โจวต้องการวิ่งหนี
แต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พยักหน้าและยิ้มให้ทุกคน “ขอบคุณนะทุกคน”
ทันใดนั้นสายตาของเขาสะดุดที่ร่างสูงในกลุ่มคน และจ้องมองตาค้างโดยไม่ขยับ
ฉีจิ่นจือชูแก้วในมือให้เขา ดวงตาของอีกฝ่ายดูเฉยเมยและเกียจคร้าน
เสิ่นอี้โจวยกมุมริมฝีปากขึ้นและกึ่งยิ้มตอบ
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองถูกจับตามองโดยเซี่ยชิงหยวน ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
เมื่อกี้ทั้งสองคนนี้แอบส่งสายตาให้กันอย่างลับ ๆ รึเปล่าน่ะ?
พวกนายคิดว่าฉันตายแล้วรึไงหะ?
ต้องเป็นฉีจิ่นจือที่ริเริ่มติดต่อกับเสิ่นอี้โจวแน่ เมื่อกี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด ว่าแต่…ผู้ชายของเธอปกติอยู่แล้วใช่ไหม?
ด้วยความคิดนี้ หญิงสาวจึงยืนขวางตรงหน้าฉีจิ่นจือ ยิ้มให้เสิ่นอี้โจวแล้วพูดว่า “อาหารพร้อมแล้ว เราเริ่มกินกันเลยไหม?”
เซี่ยชิงหยวนเริ่มเตรียมอาหารมื้อนี้ตั้งแต่เช้า ป้าอู๋และหลิงหลินก็คอยช่วยอยู่ข้าง ๆ ต่อมาเมื่อหลายคนมาที่บ้านและเห็น จึงพากันมาช่วยและรวมตัวกันมากขึ้น
หลายคนมาร่วมช่วย พูดคุยสนุกสนานกัน บางคนก็ดูแลเด็ก ๆ กลิ่นหอมของอาหารในครัวก็หอมฟุ้งเข้าจมูกตลอดเวลา ดึงดูดแมลงตะกละไปทุกที่
เนื่องจากทุกคนมีการศึกษาที่ดี จึงห้ามใจไม่ให้เข้าไปในครัวเพื่อยกฝาหม้อขึ้นแอบดูได้
ทว่าก่อนจะถึงเวลาเลี้ยงฉลอง เซี่ยชิงหยวนก็เสิร์ฟอาหารที่เตรียมไว้บางส่วนออกมา และขอให้พวกผู้ใหญ่ป้อนอาหารให้เหล่าเด็ก ๆ ที่หิวโหยก่อน
ผู้ใหญ่ที่กำลังป้อนอาหารลูกหลาน พอเด็ก ๆ กินอาหารคำแล้วคำเล่าก็อยากจะกินสิ่งที่ป้อนบ้างเหลือเกิน ยิ่งเห็นก็ยิ่งท้องร้อง
แต่ด้วยมีคนมาร่วมงานจำนวนมากกว่าที่คิด หลิงเยี่ยจึงกลับไปที่บ้านของเขาอีกครั้งและขนโต๊ะยาว ๆ มาอีกตัวเพื่อให้เหล่าเด็ก ๆ ที่กินอิ่มแล้วนั่งที่โต๊ะแยก
โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารมากมายสะดุดตาสำหรับทุกคน อาหารบางจานแม้แต่ในร้านอาหารพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ
ตรงกลางมีต้มเครื่องในเนื้อวัวชามใหญ่ที่นำกลับมาจากร้าน และซุปไก่ใส่พุทราแดง ตั่งเซินและเห็ด ปกคลุมด้วยชั้นน้ำมันบางสีเหลือง
นอกจากนี้ยังมีหมูตุ๋นชาผูเอ่อร์ ซี่โครงหมูกระเทียม เนื้อแกะผัดต้นหอม หมูผัดเปรี้ยวหวาน เป็ดย่างเบียร์ ปลาย่างตะไคร้ กุ้งแม่น้ำทอดกระเทียมหอม ฟองเต้าหู้ต้มนม หน่อไม้ดอง ผักโขม ส่วนอาหารหลักก็คือข้าว เส้นหมี่ผัดเปรี้ยวหวาน เส้นหมี่รสเผ็ด…มีทั้งแบบเผ็ดหรือไม่เผ็ด และมีทั้งแบบเสฉวนหรือกวางตุ้ง ซึ่งถูกใจทุกคน
เด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่ในสนาม ผู้ใหญ่ก็กินข้าวและคุยกันอยู่ข้างใน บรรยากาศมีชีวิตชีวามาก
ด้วยโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร ทุกคนแทบจะต้องเกาะกำแพงเพื่อเดินได้อย่างสะดวกหลังกินเสร็จ
พวกผู้หญิงช่วยกันทำความสะอาดหลังกินเสร็จ ในขณะที่พวกผู้ชายดูแลเด็ก ๆ และพูดคุยกัน
เนื่องจากมีผู้หญิงและเด็กอยู่ที่นี่ด้วย ผู้ชายจึงไม่สูบบุหรี่ และถือโอกาสนี้ทำความรู้จักกับคนที่พวกเขารู้จักเพียงแค่ในที่ทำงานเท่านั้น
เมื่อเทียบกับเสิ่นอี้โจวที่กำลังนั่งอยู่ตรงกลาง ฉีจิ่นจือได้ออกไปที่ริมสนามบ้านแล้วสูบบุหรี่เพียงลำพัง
ชายหนุ่มพิงรั้วไม้ที่สร้างไว้ให้ไม้เลื้อยที่เซี่ยชิงหยวนปลูกไว้ ซึ่งตอนนี้กำลังพันอยู่เต็มรั้วและเบ่งบานไปด้วยดอกไม้ช่วงสุดท้ายของปี
เขาปรารถนาความรื่นเริง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ชอบความรื่นเริง
เพราะเขารู้อยู่ในใจว่าถึงแม้ความรื่นเริงจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าใกล้มันแค่ไหน มันก็ไม่เคยเป็นของเขา
เช่นเดียวกับตอนที่เขายังเป็นเด็ก ในช่วงเทศกาลตรุษจีนเมื่อเห็นพ่อแม่ของเด็กคนอื่น ๆ รวมตัวกันหัวเราะคิกคัก
เขาก็มักจะแอบดูเงียบ ๆ อยู่ที่หน้าต่างและมองด้วยความอิจฉา
เมื่อโจวโม่รู้ เธอจะคว้าหูแล้วดุด่าเขาทันที “นั่นคือสิ่งที่แกควรจะอยากดูเหรอหะ? แกอิจฉาคนอื่นรึไง? ถ้าแกมีความสามารถนักก็ไปขอให้พ่อของแกกลับมาซะสิ! ไม่รู้รึไงว่าพ่อของแกไม่ต้องการแกแล้วน่ะ?”
“ผมรู้!” ฉีจิ่นจือยังเด็กและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงดูบ้านของคนอื่นเฉลิมฉลองปีใหม่ไม่ได้ แต่เขากัดริมฝีปากและปฏิเสธที่จะหลั่งน้ำตา แม้จะถูกแม่ตัวเองตบหน้าแค่ไหนก็ตาม
เมื่อฟังเสียงหัวเราะในบ้าน ฉีจิ่นจือรู้สึกได้ถึงความแห้งเหือดในจิตใจที่อธิบายไม่ได้ เขาดับก้นบุหรี่และกำลังจะหาเหตุผลที่จะออกจากงาน แต่เมื่อหันหลังกลับ เขาเห็นเซี่ยชิงหยวนออกมาจากครัว
มือของเธอยังมีคราบน้ำอยู่ และยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรแล้วมองดูเขา
แสงสว่างในสนามบ้านค่อนข้างสลัว แต่แสงจากห้องนั่งเล่นก็ชดเชยความสลัวนี้ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวถูกอาบด้วยแสงสว่าง
ใบหน้าที่เงียบสงบแต่ดูเป็นประกาย คิ้วขมวดและดวงตาที่เป็นกังวล ทำให้หัวใจของเขาสงบลงในทันที
มือของฉีจิ่นจือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างช้า ๆ พลางกำหมัดแน่น เขารู้สึกอยากจะทำอะไรสักอย่างแต่ก็สิ้นหวัง
ปลายเท้าของเขาหันไปในทิศทางของเซี่ยชิงหยวน แต่ทันทีที่เขาก้าวออกไป เฟิงหว่านก็เปิดประตูออกมาจากบ้านแล้วเอ่ยเรียก “ชิงหยวน ฉันเห็นว่าซุปของเธอดูเหมือนจะได้ที่แล้วน่ะ มาดูหน่อยไหม?”
เซี่ยชิงหยวนสะดุ้งและรีบตอบ “ได้ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อกี้ที่เซี่ยชิงหยวนเดินออกมา เธอเห็นฉีจิ่นจือสูบบุหรี่เพียงลำพัง และกำลังเหลือบมองไปทางห้องนั่งเล่น
เธอจึงมองไปยังห้องนั่งเล่นเช่นกัน และเห็นเสิ่นอี้โจวอย่างรวดเร็ว
หัวใจของเธอเต้นรัว สงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรเกี่ยวกับเสิ่นอี้โจวอีกหรือไม่
แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร เฟิงหว่านก็เรียกหาซะก่อน ซึ่งทำได้แค่พยักหน้าให้ฉีจิ่นจือแล้วเข้าไปในบ้าน
ฉีจิ่นจือมองไปยังแผ่นหลังอันสง่างามของเซี่ยชิงหยวน ลังเลที่จะพูดบางอย่าง และในที่สุดก็ไม่ได้หยุดเธอเอาไว้
เขาหัวเราะกับตัวเอง หมดความสนใจที่จะอยู่ต่อไป ชายหนุ่มเข้าไปอำลาทุกคนแล้วจากไปทั้งอย่างนั้น
เขาเดินคนเดียวบนถนนของเขตที่พักอาศัย แสงไฟสลัว ๆ ดูเหมือนจะปกปิดความเหงาของเขาได้ดีกว่า
เขามองไปยังสถานที่แห่งหนึ่งแล้วหยุดชั่วคราว
เซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่ตรงหน้าฉีจิ่นจือ
เธอปล่อยผมปลิวว่อนและสวมชุดสีขาว หากฉีจิ่นจือมีจิตใจไม่เข้มแข็งพอ เขาอาจจะตกใจและคิดว่าเป็นผีหิวโหยมาขอส่วนบุญไปแล้ว
ภายใต้แสงจันทร์และไฟถนน ดูเหมือนว่าจะมีน้ำตาอยู่บนใบหน้าของเธอ
ฉีจิ่นจือตั้งใจจะเมินเฉย
เขาหรี่ตาลงแล้วคิดจะเดินผ่านเธอไปโดยไม่แยแส
แต่เมื่อเขากำลังจะเดินพ้น เซี่ยจื่ออี้ก็พูดว่า “มันรู้สึกแย่มากใช่ไหมล่ะที่ไม่ใช่คนที่ถูกเลือก?”
ฉีจิ่นจือหยุดเพียงชั่ววินาที แล้วเดินไปข้างหน้าต่อไป
เซี่ยจื่ออี้หันกลับไปหาและพูดต่อ “แค่มองดูก็เจ็บปวดแล้วที่ไม่สามารถอ้างสิทธิ์เป็นของคุณเองได้ ใช่ไหม?”
เป็นแบบที่เธอคิด ในที่สุดฉีจิ่นจือก็หยุดหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้
เซี่ยจื่ออี้มองดูแผ่นหลังที่เย่อหยิ่งของเขา และรู้สึกอยากแก้แค้น “คุณชอบเธอแล้วยังไง? เธอแต่งงานแล้ว! ถ้าคุณมีความสามารถนัก…อั่ก!”
ทันใดนั้นมือเรียวยาวที่เย็นชาข้างหนึ่งก็คว้าคอของเธอไว้
หญิงสาวอึดอัดมากจนพูดไม่ออก และเจ็บคออย่างรุนแรง
ฉีจิ่นจือมองเธอด้วยสายตาเย็นชา “ยังอยากแพร่ข่าวลือบ้าบออะไรอีกหะ?”
บทที่ 355 อยู่ไม่ได้ก็หย่าไปซะ
บทที่ 355 อยู่ไม่ได้ก็หย่าไปซะ
เฉินหลี่กลับบ้านด้วยความโกรธและเห็นฉินโย่วเหลียงนั่งอยู่บนโซฟา ที่กำลังสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
เธอโยนกระเป๋าใส่สามีทันที “ฉินโย่วเหลียง ที่พูดทางโทรศัพท์นั่นหมายถึงอะไร?”
ฉินโย่วเหลียงไม่ทันระวัง จึงโดนกระเป๋าเข้าที่หน้าของเขาเต็ม ๆ
เมื่อแม่บ้านที่อยู่ด้วยเห็นสิ่งนี้ เธอก็ก้มหน้าลงทันทีด้วยความกลัวและวิ่งไปที่ห้องครัวเพราะกลัวว่าจะโดนหางเลขไปด้วย
ฉินโย่วเหลียงโยนกระเป๋าของเฉินหลี่ลงบนพื้น หลังจากเห็นแม่บ้านจากไปแล้ว เขาก็ชี้ไปที่เฉินหลี่ด้วยมือที่ถือบุหรี่ และตวาดทันที “เฉินหลี่! อย่ามาบ้ากับผมแบบนี้นะ!”
เฉินหลี่ก้าวมาข้างหน้าแล้วจ้องเขม็ง “หรือฉันไม่มีสิทธิ์บ้า? คุณพูดแบบนั้นกับฉันทางโทรศัพท์แล้วฉันจะไม่โกรธได้ยังไง!”
ตั้งแต่แต่งงานกันมาหลายปี เฉินหลี่เป็นฝ่ายที่สามารถโกรธฉินโย่วเหลียงได้ แต่เมื่อไหร่กันที่ฉินโย่วเหลียงสามารถทำแบบนี้กับตัวเธอได้?
นอกจากนี้ สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดกับเธอในโรงพยาบาล มันทำให้เธอต้องการหาที่ระบาย
เมื่อมองดูใบหน้าที่ดุร้ายของเฉินหลี่แล้ว ฉินโย่วเหลียงก็รู้สึกคลื่นไส้ “คุณ…คุณมันอันธพาล!”
หลังจากถูกเรียกว่าเป็นอันธพาลหลายครั้งในวันเดียว เฉินหลี่ก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป เธอกระโจนเข้าใส่ฉินโย่วเหลียงและเริ่มข่วนหน้าเขา
เธอกรีดร้องออกมา “ฉินโย่วเหลียง คุณมันไม่มีจิตสำนึก! ฉันไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อครอบครัวของเรารึไง!”
ฉินโย่วเหลียงไม่สามารถหลบได้และถูกเฉินหลี่ข่วนจนมีรอยเลือดสีแดงหลายรอยปรากฏบนใบหน้าของเขา
เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วสัมผัสแผลบนใบหน้า ผลลัพธ์คือเขาหน้าบูดบึ้งด้วยความเจ็บปวด
แล้วแบบนี้เขาจะไปทำงานตอนบ่ายต่อได้ยังไง?
ฉินโย่วเหลียงไม่อดทนอีกต่อไปเช่นกัน และผลักเฉินหลี่ออก “ถ้าคุณมีเวลาบ้ากับผมที่นี่นัก ทำไมไม่ขึ้นไปดูลูกสาวคนดีของคุณล่ะ! ผมบอกให้คุณรู้ไว้นะ ถ้าคุณไม่จัดการปัญหานี้อย่างถูกต้อง คอยดูกันได้เลยว่าผมจะจัดการกับคุณยังไง!”
เฉินหลี่ตะเบ็งเสียงออกจากลำคอ “คุณกล้างั้นเหรอ!”
“ถ้าคุณมีความสามารถมากนัก ฉันก็คงไม่ต้องโกรธขนาดนี้ไหม?”
“คุณและเซี่ยเจิ้งเข้าทำงานที่สำนักงานมณฑลพร้อมกัน แต่ทำไมคนหนึ่งได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่อันทรงเกียรติ แต่คุณกลับได้เป็นแค่ผู้อำนวยการแผนกเล็ก ๆ! แล้วตอนนี้คุณยังกล้ามาตะโกนใส่ฉันอีกเหรอ?”
“ฉันคิดว่าคุณมันก็เป็นแค่ไอ้คนไร้ประโยชน์เท่านั้นแหละ!”
ในฐานะผู้ชาย สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดคือการถูกผู้หญิงของตัวเองเรียกว่าคนไร้ประโยชน์
เฉินหลี่กับภรรยาของเซี่ยเจิ้งเป็นเพื่อนสนิทกัน และมักถูกเปรียบเทียบกันเสมอ
เมื่อตำแหน่งของเซี่ยเจิ้งยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เสียงนินทาก็น้อยลงเพราะไม่มีการเปรียบเทียบอีกต่อไป
ไม่ว่าฉินโย่วเหลียงจะแย่แค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นผู้อำนวยการแผนกหนึ่งของแผนกมณฑลและได้รับการยกย่องจากคนมากมาย แต่ตอนนี้เฉินหลี่ดูถูกเขามากจนเขาโมโหอย่างที่สุดจนศีรษสั่นระริก และลุกขึ้นยืน
หน้าอกของเขาสั่นอย่างรุนแรงและชี้ไปที่เธอพลางพูดไม่ออก
เฉินหลี่ไม่คิดจะยอมแพ้และพยายามหาคำพูดใดก็ตามที่เจ็บปวดที่สุด เธอต้องทำให้ฉินโย่วเหลียงรู้สึกแย่เหมือนกับตัวเธอเอง “ทำไม คุณต้องการจะกินฉันรึไง?”
“มีแต่ผู้ชายที่ไม่มีความสามารถเท่านั้นที่จะเป็นเหมือนคุณ โทษทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยาและลูก ๆ ของเขา”
“ฉันตาบอดจริง ๆ ตอนที่ฉันแต่งงานกับคุณ และฉัน…”
“ถ้าคุณอยู่ไม่ได้ก็หย่ากับผมไปซะ!”
ใบหน้าของฉินโย่วเหลียงซีดเซียวหลังจากพูดประโยคนี้ จากนั้นเขาก็กระแทกประตูแล้วออกไป
เฉินหลี่ตกใจมากในตอนแรก จากนั้นก็ได้สติและตะโกนไปทางประตู
“ถ้าแน่จริงนักก็ออกไปแล้วไม่ต้องกลับมา!”
สิ่งที่เธอได้รับการตอบกลับคือเสียงเดินจากไปของฉินโย่วเหลียง
เฉินหลี่และฉินโย่วเหลียงแตกหักแล้วจริง ๆ เธอทรุดตัวลงบนโซฟาและปิดหน้า ไม่รู้ว่าเธอร้องไห้หรือทำอะไรอยู่
เมื่อแม่บ้านได้ยินเสียงนั้น เธอเพียงยืนอยู่ที่ประตูห้องครัวและดูสถานการณ์เงียบ ๆ เหลือบมองแล้วรีบถอยกลับทันทีเพราะกลัวว่าจะถูกเฉินหลี่พบ
ทันใดนั้นเฉินหลี่ก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน
มีน้ำตาอยู่ที่หางตาของเธอและใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เธอก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้นอย่างหนักหน่วง
แม่บ้านซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวฟังเสียงฝีเท้าของเฉินหลี่ และอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับฉินซูอวี้
เฉินหลี่เดินขึ้นไปชั้นบนและไปที่ประตูห้องของฉินซูอวี้ จากนั้นก็เคาะประตูอย่างแรง
ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่ประตู
เฉินหลี่ระงับความโกรธของตนไว้ “ซูอวี้ นี่แม่เอง ช่วยเปิดประตูให้แม่หน่อยได้ไหม?”
ยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน
เฉินหลี่แนบหูไปที่ประตูแล้วเคาะอีกครั้ง
คราวนี้เธอได้ยินเสียงด้านใน แต่ฉินซูอวี้ก็ยังไม่มาเปิดประตูให้เธอ
จากนั้นเฉินหลี่ก็ไม่อดทนอีกต่อไป
เธอทุบประตูด้วยฝ่ามือและกระแทกเสียงดัง “ซูอวี้ แม่สั่งให้ลูกเปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
…
สุดท้ายเซี่ยจื่ออี้ก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อคำแนะนำที่เพื่อนร่วมงานที่มอบให้เธอได้
เธอขอลาจากหัวหน้าแผนกครึ่งวันแล้วกลับบ้าน
ตอนจะจากไป เหยาเป่ยเซิงพยายามพูดกับเธอด้วยความเป็นห่วง “จื่ออี้ อย่าเศร้าเลยนะ ตอนนี้คนเรามีอิสระที่จะเลือกรักใครก็ได้แล้ว ลุงเซี่ยจะต้องเข้าใจแน่นอน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเซี่ยจื่ออี้ก็ยิ่งดูน่าเกลียดมากขึ้น
เธอหันไปมองเหยาเป่ยเซิงด้วยสายตาเย็นชา “สหายเหยาคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร ซูอวี้กับฉันแค่เข้าใจผิดกัน ซึ่งฉันจะไปอธิบายให้เธอเข้าใจอย่างชัดเจนหลังจากนี้ ส่วนที่คุณพูดเกี่ยวกับความรักที่อิสระ ฉันคิดว่าคุณคิดไปเองมากเกินไปนะคะ!”
นับตั้งแต่ฉินซูอวี้เข้ามาและสร้างความยุ่งยากเช่นนี้ คนเดียวที่ไม่เย็นชากับเธอ ทั้งยังพยายามช่วยเธอมากขึ้นก็คือเหยาเป่ยเซิง
แน่นอนว่าเซี่ยจื่ออี้รู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เขาแค่ฟังคำพูดของฉินซูอวี้และคิดว่าเธอชอบเขาจริง ๆ ถึงขั้นจะขอก้าวผ่านคำว่าเพื่อน
น่าเสียดายที่เธอไม่เคยมีความคิดรักใคร่กับเขาเลย
ตอนที่เรียนอยู่มัธยม เธอแอบจีบเขาโดยไม่บอกฉินซูอวี้ เพียงเพราะเธอไม่ชอบให้ใครมาขวางทางและแสดงความรักต่อฉินซูอวี้
โดยไม่คาดคิด เหยาเป่ยเซิงเด็กเนิร์ดติดกับอย่างจังและขอให้ฉินซูอวี้ส่งจดหมายรักให้เธอ
ผลที่ตามมาของการทำเช่นนี้ก็เหมือนกับการแหย่รังแตน
ฉินซูอวี้ทะเลาะกับเธอทันที และยังสร้างความยุ่งยากต่อหน้าพ่อแม่ทั้งสองอีกด้วย
ต่อมาเป็นเซี่ยเจิ้งที่ต้องก้าวเข้ามาประนีประนอมให้ทั้งสองคน และย้ายเหยาเป่ยเซิงไปโรงเรียนอื่น เขาเกลี้ยกล่อมทั้งสองฝั่ง ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะทำให้ฉินซูอวี้เลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ชายคนนี้และฉินซูอวี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
คนหนึ่งคิดว่าเธอชอบเขาทันทีที่แสดงความคลุมเครือออกมา และอีกคนยังคงทะเลาะกับเธอได้เพราะผู้ชายคนเดิม
ในความเป็นจริง เธอรู้สึกว่าเหยาเป่ยเซิงและฉินซูอวี้เป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ
หากเธอรู้ก่อนว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเพราะเหยาเป่ยเซิง เธอคงจะไม่ยั่วยวนเขาตั้งแต่แรกแล้ว
ความเย็นชาบนใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้ทำให้เหยาเป่ยเซิงตกตะลึง
เขาพูดว่า “จื่ออี้ ฉัน…”
“คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว” เซี่ยจื่ออี้ขัดจังหวะเขา “ฉันไม่รู้ว่าทำไมซูอวี้ถึงเข้าใจผิด และฉันไม่สามารถปกป้องตัวเองได้อีกต่อไป ฉันแค่หวังว่าคุณจะเข้าใจ ซูอวี้เป็นเพื่อนสนิทของฉัน และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเธอ ดังนั้นฉันหวังว่าเราทั้งสองจะสามารถเปลี่ยนความคิดของตัวเอง และกลับไปใช้ชีวิตปกติของเราได้ดังเดิมนะคะ”
คำพูดของเธอนั้นฟังดูชอบธรรม และดวงตาของเธอก็กระจ่างใส
เธอทำตัวเหมือนเป็นผู้หญิงใจดีที่ไม่เพียงแต่ไม่สนใจตัวเองเมื่อถูกเพื่อนทำร้าย แถมยังให้ความสำคัญกับเพื่อนคนนั้นก่อนอีกด้วย
เพื่อนร่วมงานชายที่อยู่ใกล้ ๆ แสดงสีหน้าดูถูกเหยาเป่ยเซิง ราวกับว่าเขาเป็นคนที่คอยรบกวนเซี่ยจื่ออี้อยู่
ใบหน้าของเหยาเป่ยเซิงกลายเป็นน่าเกลียด แต่เขาไม่อาจที่จะตำหนิเซี่ยจื่ออี้ได้
นอกจากนี้เธอไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรกับตัวเขาเลยจริง ๆ ทุกอย่างเป็นเพียงความฝันโง่เง่าของเขาเอง
เขาหลีกทางให้เซี่ยจื่ออี้อย่างหดหู่และยิ้มอย่างเศร้าหมอง “ได้ ผมเข้าใจแล้ว ผมขอโทษจริง ๆ ที่สร้างปัญหาให้คุณครับ”
เซี่ยจื่ออี้พยักหน้า “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นเธอก็หยิบของแล้วเดินออกจากที่ทำงานไป
เมื่อเธอเดินผ่านโต๊ะของเพื่อนร่วมงานหญิงสองคน เพื่อนร่วมงานหญิงไม่ได้ทักทายเธอเหมือนเคย แต่ก้มหน้าลงราวกับว่าไม่ได้เห็นเธอ
ตอนนี้เซี่ยจื่ออี้ไม่มีเวลามาสนใจภาพลักษณ์ดี ๆ ที่สร้างมาแล้วว่าถูกทำลายมากน้อยเพียงใด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไปอธิบายให้เซี่ยเจิ้งมั่นใจในตัวเธอ และค้นหาตัวคนที่ชักใยเรื่องนี้ทั้งหมด
เพราะด้วยไอคิวของฉินซูอวี้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะสามารถนึกออกได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ว่าเป็นเธอ
หญิงสาวหันไปมองและนึกถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวันนี้ เซี่ยชิงหยวน!
ตั้งแต่มีข่าวลือจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนเซี่ยชิงหยวนจะไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่ออกมาพูดเพื่อปกป้องตัวเอง
เช่นเดียวกับเสิ่นอี้โจว เขารักเซี่ยชิงหยวนมากที่สุด เขาจะไม่สนใจได้ยังไง?
ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป ซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียที่ใหญ่หลวงเป็นครั้งแรกเช่นวันนี้
เซี่ยชิงหยวน ฉันประเมินเธอต่ำไป!
————————————