ไซ่หย่าเซวียน ”…” ไม่รู้จะพูดอะไร สายตาของเขาบอกอย่างชัดเจน แล้วเธอจะพูดอะไรได้
ไม่ได้เจอกันนานหลายเดือน ทั้งสองเปลี่ยนไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม อวี้ไป่หันดูผอมและอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องทุกข์ทนกับความคิดถึง ส่วนไซ่หย่าเซวียนกลับอ้วนท้วมสมบูรณ์ขึ้น ได้รับความรักที่หวานชื่น
อวี้ไป่หันยังคงจับจ้องไปที่หน้าของไซ่หย่าเซวียน เพิกเฉยต่อความกระอักกระอ่วนของเธอ ”ผมคิดถึงคุณมาก”
เขาตามจีบเธอโดยไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝงมาก่อน
ไซ่หย่าเซวียนค่อยๆ คลายความกระอักกระอ่วนลง เธอยิ้มอย่างน่ารัก ”คุณเป็นคนที่รักเดียวใจเดียวจริงๆ ทั้งที่มีผู้หญิงตั้งมากมายบนโลกใบนี้ แต่ทำไมคุณถึงต้องมายุ่งกับฉันที่มีแฟนแล้วด้วยคะ”
เธอไม่เคยปฏิเสธเขาอย่างอ้อมค้อมมาก่อน
พูดได้ว่า พวกเขาทั้งสองคนมีนิสัยที่คล้ายกันมาก พวกเขาเป็นคนตลก ที่พูดจาตรงไปตรงมา
“ฮ่าๆๆ…” อวี้ไป่หันยิ้มราวกับพระจันทร์เสี้ยว ”ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณยังเป็นคนใจร้ายเหมือนเดิมเลยนะ”
ไซ่หย่าเซวียนเบ้ปากอย่างน่ารัก ”คุณเองก็ยังหลายใจเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอคะ”
อวี้ไป่หันเลิกคิ้ว ”คุณใส่ร้ายผม ตั้งแต่รู้จักคุณผมก็รักนวลสงวนตัวมาโดยตลอด คุณไม่อยู่ผมก็ไม่ได้ทำตัวหลายใจ รั่วปิงเป็นพยานให้ได้”
เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก ”เรื่องที่คุณรักนวลสงวนตัวนั้นเป็นความจริง แต่ฉันไม่คิดว่าการที่คุณทำแบบนี้แล้วจะตามจีบไซ่หย่าเซวียนได้ ตอนนี้เธอเป็นแฟนของฉู่เทียนรุ่ย ฉู่เทียนรุ่ยเป็นพี่ชายของฉัน ดังนั้นฉันยังคงไม่สนับสนุนคุณ”
“ชิๆๆ…” อวี้ไป่หันโมโหจนถึงกับเบ้ปาก ”เหลิ่งรั่วปิง ชีวิตของผมอยู่ในกำมือของคุณ เราสองคนรู้จักกันมาตั้งนาน ไม่ค่อยจะมีเรื่องดีๆ ต่อกันเลย” ถอนหายใจแล้วหันไปมองไซ่หย่าเซวียน ”รีบกินเถอะครับ กินอิ่มแล้วผมพาคุณออกไปเที่ยวเล่นเอง”
ไซ่หย่าเซวียนพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก ”ไปเที่ยวเล่นที่ไหนคะ”
อวี้ไป่หันยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ”ความบันเทิงระดับหรูภายใต้บริษัทอวี้ซื่อ ทำให้คุณมีความสุขได้ทุกด้าน”
ไซ่หย่าเซวียนกลอกตามองบนด้วยความน่ารัก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วยิ้ม ”ฉันให้เกียรติคุณก็ได้ค่ะ ไปช่วยอุดหนุนกิจการของตระกูลอวี้ แต่ว่าฉันขอพูดเอาไว้ก่อนนะคะ ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้ว คุณอย่าคิดไม่ซื่อกับฉันเด็ดขาด เพราะฉันไม่มีวันให้โอกาสคุณ”
อวี้ไป่หันตักเนื้อไก่ไปที่จานของไซ่หย่าเซวียน ”รีบกินเถอะครับ ทำไมพูดมากจังเลย!”
ไซ่หย่าเซวียนเบ้ปาก ก้มหน้าลงกินอาหารที่อวี้ไป่หันตักให้เธอ
ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคน กลับไปเป็นเหมือนตอนที่ไปเที่ยวเมืองไห่ด้วยกัน โต้เถียงกันบ้างเล็กน้อย แต่อยู่ด้วยกันอย่างผ่อนคลาย เขามุ่งหน้าจีบเธออย่างชัดเจน ส่วนตัวเธอเองก็ปฏิเสธเขาอย่างตรงไปตรงมา
เหลิ่งรั่วปิงมองดูทั้งสองคนที่โต้เถียงกันและหัวเราะด้วยกัน เธอเริ่มครุ่นคิด
เพราะอวี้ไป่หันเอาแต่เร่ง ทำให้ไซ่หย่าเซวียนกินข้าวเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอใช้เวลากินไม่นานก็อิ่มแปล้ อวี้ไป่หันเห็นเธอวางตะเกียบลง จึงรีบยื่นกระดาษทิชชู่ให้เธอ ขณะที่ไซ่หย่าเซวียนเช็ดปากเขาก็รีบคว้ากระเป๋าของเธออย่างรวดเร็ว ตอนที่ไซ่หย่าเซวียนทิ้งกระดาษทิชชู่ลงถังขยะ เขาก็เลื่อนเก้าอี้ให้เธอด้วยความใส่ใจ ทุกอย่างที่เขาทำนั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติ ทำด้วยความเชี่ยวชาญ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำแบบนี้เพื่อเธอ
“รั่วปิง ฉันไปก่อนนะ” ไซ่หย่าเซวียนไม่มีความกระมิดกระเมี้ยนแต่อย่างใด เธอเดินตามอวี้ไป่หันออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนที่เหลืออีกสามคนนั่งจ้องหน้ากัน
คนที่ตกตะลึงที่สุดคือกู้จือเหา เขาอยากจะถามไซ่หย่าเซวียน การที่เธอสนิทกับผู้ชายคนอื่นแบบนี้ พี่เทียนรุ่ยรู้หรือเปล่า
เมื่อเป็นแบบนี้ ภายในห้องที่เหลือเพียงสามคน จึงพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เวินอี๋ลุกออกไปเข้าห้องน้ำ
ยืนอยู่ตรงหน้ากระจก เวินอี๋ค่อยๆ หุบยิ้มบนใบหน้าของเธอ มีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ เธอไม่ได้มีความสุขอย่างที่แสดงออกมา เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้ง แต่เธอกลัวเหลิ่งรั่วปิงเป็นห่วง ดังนั้นจึงฝืนยิ้ม
เวลานี้ ยืนอยู่ตามลำพัง เธอไม่อาจอดกลั้นความเสียใจได้แล้ว น้ำตารินไหลลงมาอย่างไม่เอาไหน มู่เฉิงซียังคงทำให้เธอปวดใจ
หลังจากผ่านไปนาน เธอเช็ดน้ำตาบนใบหน้า จากนั้นล้างหน้าล้างตาให้สะอาด เตรียมจะเดินออกไป แต่ขณะที่เธอกำลังหมุนตัวหันหลังเดินออกไป เธอก็เห็นมู่เฉิงซีเปิดประตูเข้ามา เขาจับจ้องมาที่เธอ ”เวินอี๋!”
เสียงของเขาแหบพร่า คล้ายว่าพยายามข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้
เวินอี๋ก้าวถอยหลังสองก้าว ”คุณมู่เฉิงซี คุณคิดจะทำอะไรคะ”
มู่เฉิงซีพยายามข่มความรู้สึกของตนเองที่อยากจะดึงตัวเธอเข้ามากอด เขาไม่อยากทำให้เธอตกใจ ”กลับบ้านกับผม?”
เวินอี๋หัวเราะเย้ยหยัน ”คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ จะให้ฉันกลับบ้านหลังไหนของคุณ ตอนนี้คุณเป็นสามีของซย่าอี่มั่ว จะให้ฉันกลับไปเป็นนกน้อยในกรงทองของคุณหรือไงคะ” น้ำเสียงเย้ยหยันของเธอเคล้าไปด้วยความเศร้า ”ถึงแม้ฉันจะมีฐานะต่ำต้อย ทั้งยังการศึกษาไม่สูง ไม่ได้มีหน้าตาที่สวย แต่ฉันมีความทระนงตน การไปเป็นเมียน้อยของคนอื่นคือขีดความอดทนของฉัน” ดวงตาที่เปล่งประกายของเธอมีน้ำคลอเบ้า เธอมีความดื้อดึงและเข้มแข็งราวกับกุหลาบที่อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนโปรยปราย ”คุณมู่เฉิงซี ช่วยให้เกียรติฉันหน่อยนะคะ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ”
มองดูหญิงสาวที่บอบบางและแข็งแกร่ง มู่เฉิงซีเจ็บปวดจนทุกเซลล์ในร่างกายสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด ”เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นแบบนั้นนะครับ คุณกลับไปกับผมก่อน ผมจะค่อยๆ อธิบายให้คุณฟัง”
เขาต้องรีบพาเธอกลับไป ไม่อย่างนั้นถ้าเหลิ่งรั่วปิงรู้เข้า เขาจะพลาดโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน
เวินอี๋ก้าวถอยหลัง ”คุณมู่เฉิงซี คุณไปซะเถอะค่ะ ไม่ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง ฉันก็ไม่มีวันหันกลับไป ตระกูลมู่ของคุณสูงศักดิ์เกินไป ฉันไม่อยากจะเข้าไปแม้แต่น้อย”
การปฏิเสธที่เด็ดขาด ทำให้มู่เฉิงซีแทบบ้า คล้ายกับมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม เกาหัวใจของเขา เขาดึงเวินอี๋เข้ามาโอบกอด ”ใครอนุญาตให้คุณไม่เชื่อฟังผม” นิสัยเผด็จการของเขากลับมาอีกครั้ง ”เราเพิ่งแยกจากกันไม่นาน คุณก็ไปเป็นแฟนกับไอ้โง่กู้ คุณนี่มันเก่งจริงๆ!”
เมื่อก่อน เวินอี๋กลัวเวลาเขาโมโหอย่างมาก แต่ตอนนี้เธอไม่อยากจะก้มหน้าให้กับความเผด็จการของเขา ”นั่นเป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ!”
มู่เฉิงซีกัดฟันแน่น ”ไม่เกี่ยวอะไรกับผม? คุณเป็นผู้หญิงของผม แล้วมันจะไม่เกี่ยวกับผมได้ยังไง!”
เวินอี๋เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความดื้อรั้น สู้กับสายตาของมู่เฉิงซี ”ผู้หญิงของคุณคือซย่าอี่มั่ว ไม่ใช่ฉัน…อื้อ”
มู่เฉิงซีที่กำลังเดือดพล่านไม่อาจจัดการกับผู้หญิงที่ทำให้เขาแทบบ้า ทำได้เพียงใช้จูบที่ร้อนแรงของเขาหยุดคำพูดของเธอที่เขาไม่อยากได้ยิน
ความคิดถึงที่เก็บกลั้นมนาน ด้วยรสจูบที่ร้อนแรงและบ้าคลั่งนี้ เขาแทบอยากจะกลืนกินตัวเธอเข้าไป
ร่างเล็กของเวินอี๋ ตกอยู่ภายใต้พันธนาการของผู้ชายเผด็จการ เธอไม่อาจขัดขืนได้แม้แต่น้อย มีเพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้น จนกระทั่งลมหายใจของเธอถูกเขาพรากไปเกือบหมด เธอจึงซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างอ่อนระทวย
มู่เฉิงซีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองคนตัวเล็กที่ถูกเขาจูบจนแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากของเขาเผยยิ้ม ใบหน้าเหี้ยมโหดของเขาเผยรอยยิ้มจางๆ ”กลับบ้านกับผมนะครับ” เสียงของเขาแหบพร่า ราวกับกระหายน้ำมานาน
คล้ายกับเวินอี๋ตื่นจากฝัน เธอดีดดิ้นสุดแรง ”คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคะ!”
มู่เฉิงซีจะปล่อยเธอไปได้อย่างไร โอบกอดเธอเอาไว้พร้อมกับกัดฟันแน่น ”ถ้าขืนคุณยังไม่เชื่อฟังผม ผมจะฆ่ากู้จือเหาทิ้ง!”
เวินอี๋โกรธจนมือทั้งสองข้างสั่นเทา ”คุณมีสิทธิ์อะไร คุณมีสิทธิ์อะไรในการฆ่าเขา”
มู่เฉิงซีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความร้ายกาจ ”ถ้าผมบอกว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ ต้องการทำลายความปลอดภัยของเมืองหลง เหตุผลนี้เพียงพอหรือยัง”
“คุณ!” เวินอี๋กำหมัดแน่น ”คุณมู่เฉิงซี คุณมันสารเลว!” เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกแยะแบบนี้
มู่เฉิงซีไม่อยากเสียเวลาอีก มือใหญ่ของเขาช้อนตัวเวินอี๋ขึ้นมา จากนั้นกอดเธอเอาไว้แน่น หมุนตัวหันหลังเดินออกไปจากห้องน้ำ ขณะที่เดินอยู่ตรงโถงทางเดิน ร่างสูงของเขาทอดเงายาว รองเท้าบูทสีดำของเขาเดินไปจังหวะบนพื้นหินอ่อน คล้ายกับทหารที่ชนะสงคราม
เวินอี๋ฟาดมือไปที่แขนของเขาอย่างแรง ”คุณมู่เฉิงซี คุณมันสารเลว ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”
มู่เฉิงซีไม่สนใจ ไม่ชะลอฝีเท้าลงแม้แต่น้อย ทุกคำพูดที่เขาเปล่งออกมานั้นหนักแน่น ”คุณอยากให้ผมฆ่ากู้จือเหาทิ้งมากใช่ไหม”
เวินอี๋ไม่กล้าที่จะดีดดิ้นทันที ถึงแม้เธอจะไม่รักกู้จือเหา แต่เธอไม่มีวันทำให้เขาต้องเดือดร้อน นิสัยของมู่เฉิงซีเธอรู้จักเป็นอย่างดี ผู้ชายคนนี้เหี้ยมโหด ฆ่าได้ทุกอย่าง เผด็จการ เคร่งขรึม ถ้าทำให้เขาโมโห เขาคว้าปืนออกมาฆ่ากู้จือเหาได้จริงๆ
แต่การถูกมู่เฉิงซีฉุดกระชากลากถูกไปแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกโมโหมาก ด้วยเหตุนี้เธอจึงยื่นมือออกไป ตบหน้าของเขาอย่างแรง ใบหน้าที่เย็นชาของชายหนุ่มถูกเธอตบอย่างแรง รอยแดงปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน
มู่เฉิงซีหัวเราะ ”คุณอยากจะใกล้ชิดกับผมมากขนาดนี้เลยเหรอ”
เวินอี๋รู้สึกอายมาก ปล่อยมือด้วยความโมโห ขณะที่เธอยังคิดไม่ออกว่าจะหนีไปจากเขาได้อย่างไร เขาก็ยัดเธอเข้าไปในรถแล้ว จากนั้นรัดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้
เวินอี๋กำลังจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ มู่เฉิงซีก็เข้ามานั่งในรถแล้ว เขาสตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว รถคันสีดำขับพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เวินอี๋โมโหอย่างมาก ”คุณมู่เฉิงซี คุณจะพาฉันไปไหนคะ”
ใบหน้าเย็นยะเยือกของมู่เฉิงซีเผยรอยยิ้มออกมาทันที แววตาอ่อนโยนจับจ้องมาที่เวินอี๋ ”พาคุณกลับไปที่บ้านหลังใหม่ของเรา”
ใช่ เขาซื้อคอนโดกลางเมืองเอาไว้หนึ่งห้อง ที่นั่นไม่ว่าใครก็ไม่มีวันหาเขาเจอ เขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกซย่าอี่มั่วตามราวี และไม่ต้องกังวลว่าเหลิ่งรั่วปิงจะพาตัวเวินอี๋ไป เขาจะอยู่ที่นั่น แล้วเอาหัวใจของเวินอี๋กลับมา
เวินอี๋ไปเข้าห้องน้ำอยู่นานไม่กลับมาสักที เหลิ่งรั่วปิงและกู้จือเหาเริ่มรู้สึกเป็นห่วง ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงออกมาตามหาเธอที่ห้องน้ำ แต่เปิดประตูหาทุกห้องแล้ว ก็ยังไม่เจอเวินอี๋ โทรศัพท์ไปหาเธอก็ปิดเครื่องไปแล้ว
กู้จือเป็นกังวลอย่างมาก ”รั่วปิง เวินอี๋จะเป็นอะไรหรือเปล่า”
แววตาหลักแหลมของเหลิ่งรั่วปิงฉายแสงแห่งความเหี้ยมโหด ”ที่นี่โรงแรมอิมพิเรียล เป็นโรงแรมในเครือหนานกง คนที่กล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ นอกจากมู่เฉิงซีแล้วไม่มีใครอื่น เวินอี๋ต้องถูกเขาเอาตัวไปแน่ๆ”
กู้จือเหาเป็นห่วงมากกว่าเดิม ”ตอนนี้ควรทำยังไงดีครับ”
เหลิ่งรั่วปิงตะโกนเรียกผู้จัดการ ขอดูกล้องวงจรปิด หลังจากดูกล้องวงจรปิดเสร็จ สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงเคร่งขรึมราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน แววตาเยือกเย็นจนถึงขั้นแช่แข็งทุกสรรพสิ่งได้
ในกล้องวงจรปิด มู่เฉิงซีไม่สนใจการขัดคืนของเวินอี๋ ฉุดกระชากลากถูเธอออกไปจากโรงแรม แล้วยัดเธอเข้าไปในรถ
เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันแน่นพร้อมกับกำหมัด ”มู่เฉิงซี เห็นฉันไม่มีตัวตนหรือไง”