บทที่ 283 ส่วนแบ่งที่ดินของข้าราชการ
คำพูดของต้วนเจ๋อหมิงทำให้ไป๋เยี่ยยิ่งงงเข้าไปใหญ่!
เพราะว่าสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขานั้นมีน้ำหนักมาก ตอนที่ท่านประธานาธิบดีให้เลือกจะได้ไม่ตกใจมาก
ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ!
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็นึกขึ้นได้ถึงตอนที่ประธานาธิบดีเรียกเขาว่าท่าน หรือว่า…
ไป๋เยี่ยเข้าใจแล้ว
หรือว่า…เราจะได้เป็นข้าราชการและได้รับส่วนแบ่งที่ดินกันนะ
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ราชวงศ์อังกฤษมีการลดทอนอำนาจลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ศตวรรษที่สิบเก้า สิทธิต่างๆ ของขุนนางถูกลดลงครั้งแล้วครั้งเล่า แน่นอนว่าที่ดินศักดินาต่างๆ ในสมัยก่อนก็ถูกแปรสภาพเป็นทรัพย์สินหมดแล้ว
เนื่องจากภาษีมรดกที่ขุนนางต้องจ่ายนั้นสูงขึ้น ที่ดินศักดินาจึงค่อยๆ กลายเป็นภาระและในที่สุดก็กลายเป็นทรัพย์สินของประเทศ
ทว่าประเทศเมียนมานั้นแตกต่างออกไป ที่นี่มีส่วนแบ่งที่ดินศักดินาให้ข้าราชการน้อยมาก ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ประเทศเมียนมาก็แบ่งที่ดินให้กับข้าราชการเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
คนแรกคือนายพลท่านหนึ่งของเมียนมา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้ปกป้องสถานที่สำคัญและประชาชนไว้ หลังจากที่เขาเสียชีวิตลงในสนามรบ เขาก็ได้รับทั้งตำแหน่งข้าราชการและที่ดินผืนหนึ่ง
คนที่สองคือผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมของเมียนมา แม้เขาจะได้รับส่วนแบ่งน้อย ทว่าเขาก็เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนแรกในประวัติศาสตร์เมียนมา
ไป๋เยี่ยจะกลายเป็นคนที่สามที่ได้รับส่วนแบ่งนี้หรือไม่
ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็ยิ่งเบิกตากว้าง แม้เขาจะไม่ได้สนใจยศฐาบรรดาศักดิ์มากนัก แต่ส่วนแบ่งที่ดินนั้นแตกต่างออกไป เพราะที่ดินผืนนั้นจะได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาลและกองทัพของเมียนมา
แม้ว่าขนาดของพื้นที่จะไม่สำคัญ แต่ก็มีความหมายอย่างยิ่ง!
ไป๋เยี่ยครุ่นคิดพลางมองบนแผนที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเลือกตรงไหนดี
ต้วนเจ๋อหมิงเห็นท่าทีของไป๋เยี่ยก็เอ่ยขึ้น “อันที่จริงทางการคงแบ่งที่ดินให้คุณได้ไม่เยอะนัก ต่อให้ทำได้ ก็ยังต้องคำนึงถึงผังเมืองด้วย แต่มีที่ดินผืนหนึ่งที่คุณจะได้ส่วนแบ่งค่อนข้างเยอะอยู่นะ”
ต้วนเจ๋อหมิงเอ่ยพลางวงพื้นที่บริเวณชานเมือง ไป๋เยี่ยก็มองตามด้วยความสงสัย
ต้วนเจ๋อหมิงพูดต่อ “จริงๆ แล้ว ที่ทางเราทำแบบนี้ก็เพราะหลังจากฟื้นฟูเมืองแล้ว ก็เพราะผมยังหวังว่าจะได้ร่วมมือกับคุณต่อไปในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น ผมก็หวังว่าคุณจะช่วยปรับปรุงระบบสาธารณสุขและช่วยสร้างศูนย์การแพทย์สมัยใหม่ขึ้นในเมืองของเรา”
ศูนย์การแพทย์เหรอ
ต้วนเจ๋อหมิงมองการณ์ไกลจริงๆ!
ในฐานะที่เขาเองก็มาจากสถานพยาบาลแห่งหนึ่งของโลก หากไป๋เยี่ยจัดตั้งศูนย์การแพทย์ได้ที่นี่จริง นั่นจะเป็นโอกาสและเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
ต้วนเจ๋อหมิงถอนหายใจพลางเหลือบมองไป๋เยี่ยก่อนจะเอ่ยต่อ “อันที่จริงครอบครัวของผมก็ทำศูนย์การแพทย์อยู่ และมีเส้นสายในเมียนมามากมาย ถ้าคุณมาเข้าร่วมกับผม ผมก็ยินดีแบ่งผลประโยชน์ให้คุณนะ คิดว่าไงบ้างครับ”
มิน่าล่ะ ที่แท้นี่ก็คือจุดประสงค์ของเขา ทว่าไป๋เยี่ยก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ต้องมีการส่งเสริมกันอยู่แล้ว และด้วยวิธีนี้ก็จะบรรลุผลสำเร็จได้
ต้วนเจ๋อหมิงมีที่ดิน ส่วนไป๋เยี่ยมีเทคโนโลยีอยู่ในมือ นี่คือพิมพ์เขียวอันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นบนดินแดนเมียนมา
อย่างไรก็ตาม ไป๋เยี่ยก็รู้ดีว่าเขายังมีอำนาจไม่พอที่จะต่อรองอีกฝ่ายได้
ความร่วมมือในลักษณะนี้ไม่ค่อยยุติธรรมนัก บางครั้งแม้แต่สิทธิ์ในการต่อรองยังไม่เท่าเทียมกันเลย
ไป๋เยี่ยจึงส่ายหัวและกล่าวยิ้มๆ “ท่านประเมินผมสูงเกินไปแล้ว ผมยังมีศักยภาพไม่พอหรอกครับ”
สีหน้าของต้วนเจ๋อหมิงยังคงเรียบเฉย เขามองไป๋เยี่ยพลางเอ่ยเสียงเนิบ “ผมรู้ครับ ก็เลยหวังว่าถึงตอนนั้นพวกเราจะร่วมมือกันได้อย่างเท่าเทียม เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่แค่ระดับเมืองหรือระดับประเทศเท่านั้น แต่เป็นระดับโลก!”
ไป๋เยี่ยตะลึงในความคิดของต้วนเจ๋อหมิง เป้าหมายของเขาคือเป้าหมายระดับโลกสินะ
ไป๋เยี่ยยิ้ม เป็นเรื่องใหญ่แล้วไง
“ขอบคุณครับท่าน เมื่อไหร่ที่วันนั้นมาถึง ผมจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
ทันทีที่ไป๋เยี่ยเดินออกมาจากสำนักงานชั่วคราว จ้าวหู่ชิวก็เดินประกบหลังเขามาทันที
เมื่อกลับมาถึงฐานรักษาพยาบาลแล้ว ไป๋เยี่ยก็สังเกตเห็นชายร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่นอกเต็นท์ ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าไป๋เยี่ยมาก
ชายคนนั้นกำลังยืนคุยกับอาคามอสอยู่ เมื่อยืนเทียบกันแล้วจะเห็นว่าชายคนนั้นทั้งสูงและดูแข็งแรงกว่าอาคามอสมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีท่าทีสำรวม
เมื่ออาคามอสเห็นไป๋เยี่ยกลับมาแล้วก็รีบเดินเข้ามา “อ…อาจารย์ไป๋ นี่คือคนที่ผมเล่าให้ฟัง ศาสตราจารย์โมลโดครับ”
โมลโดตกใจที่เห็นไป๋เยี่ยยังอายุน้อย ทว่านั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความชื่นชมและความเคารพของเขาที่มีต่อไป๋เยี่ยเลย “สวัสดีครับศาสตราจารย์ไป๋ ผมบังเอิญไปได้ยินแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างกายวิภาคของกระดูกและข้อกับการทำงานของร่างกายตามหลักสรีรวิทยาน่ะครับ…ก็เลยเดินทางมาที่นี่ เผื่อว่าจะได้เรียนรู้จากคุณบ้าง”
ไป๋เยี่ยเห็นว่าโมลโดมีท่าทีนอบน้อมแม้เขาจะอยู่ในวัยห้าสิบกว่าปีแล้วก็รู้สึกไม่ชินเท่าไหร่จึงเอ่ยปาก “ศาสตราจารย์โมลโด เข้ามานั่งคุยกันก่อนสิครับ เป็นเกียรติของเรามากที่มีผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณมาเยี่ยมเยือน…คุณอาคามอส รบกวนรินน้ำให้เขาทีครับ”
ตอนนี้ไป๋เยี่ยเรียกใช้งานอาคามอสและโยฮันได้อย่างสบายใจแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ถือสาอะไร…
ไป๋เยี่ยยังไม่ทันพูดจบ อาคามอสก็รินน้ำร้อนให้พวกเขาทั้งสองคนแล้ว
มอลโดนั่งลงและเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นเฉพาะทางต่างๆ ซึ่งนี่ก็เป็นจุดประสงค์หลักของการมาเยือนครั้งนี้
ไป๋เยี่ยเองก็ยินดีมาก อย่างไรเสียหนังสือศัลยกรรมกระดูกของโมลโดก็ได้รับการยอมรับ ซึ่งในปัจจุบัน หัตถการหลายๆ อย่างก็ยังคงอิงตามแบบฉบับของโมลโดอยู่
เพราะฉะนั้น ในเมื่อได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญแบบนี้แล้ว ไป๋เยี่ยจะไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไปเด็ดขาด
พวกเขาคุยกันตั้งแต่เก้าโมงจนถึงบ่ายสองโมง และดูเหมือนทั้งสองคนจะคุยกันถูกปากถูกคอดี อย่างไรก็ตาม อาคามอสก็เป็นบุคลากรจากสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับการศัลยกรรมกระดูกมากนัก แต่ก็พอจะรู้เรื่องอยู่บ้าง
โมลโดรู้สึกยินดีมากกับการแลกเปลี่ยนความรู้ตลอดช่วงเช้า ไป๋เยี่ยเป็นเหมือนอย่างที่อาคามอสเล่าจริงๆ หลายๆ แนวคิดของเขาเกี่ยวกับการศัลยกรรมกระดูกนั้นล้ำหน้าไปมาก
อย่างไรเสียทักษะศัลยกรรมกระดูกของไป๋เยี่ยก็อยู่ที่เลเวลหกแล้ว ทักษะระดับปรมาจารย์ทำให้เขาเข้าใจเนื้อหาเชิงลึกได้ก่อนใครๆ และเมื่อเขาพัฒนาแนวคิดของตนเองจนสมบูรณ์แบบแล้ว เขาก็จะอัปเกรดทักษะของตนเองขึ้นเป็นเลเวลเจ็ด
แน่นอนว่าระหว่างสองเลเวลนี้มีช่องว่างขนาดใหญ่ เพราะความแตกต่างของเลเวลหกและเลเวลเจ็ดอยู่ที่องค์ความรู้ในปัจจุบัน ซึ่งการจะอัปเกรดตนเองขึ้นเป็นเลเวลเจ็ดนั้นจะต้องรู้จักพัฒนาแนวคิดล้ำยุคที่ต่อยอดมาจากทักษะเดิมที่มีอยู่แล้ว และเมื่อสั่งสมความรู้นั้นมาถึงจุดหนึ่งแล้วก็จะขึ้นสู่เลเวลเจ็ดได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไป๋เยี่ยคิดว่าถ้าเขาอยากจะอัปทักษะนี้ขึ้นเลเวลเจ็ด เลเวลของทักษะการแพทย์ฉุกเฉินสาขาอื่นๆ อย่างการผ่าตัดหัวใจและสมองก็จะขาดหายไปแทน
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็หันไปทางอาคามอส “คุณพอจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉินสาขาอื่นบ้างไหมครับ อย่างสาขาการผ่าตัดหัวใจและผ่าตัดสมองฉุกเฉินน่ะครับ”