วาคาดะ ซายูริที่นั่งทรุดลงไปกับพื้นค่อยๆลุกขึ้นยืน เธอแสร้งทำเป็นตัวสั่นพลางบีบน้ำตาให้ไหลออกมา การทำแบบนี้จะเป็นการเรียกคะแนนความสงสารจากอีกฝ่ายได้บ้าง
“ข ขอโทษค่ะที่ปามีดใส่” เธอดัดน้ำเสียงให้ดูสั่นเครือและหวาดกลัว “น หนูไม่ได้ตั้งใจ”
ทักษะในการแสดงของเด็กสาวนั้นน่าทึ่งเป็นอย่างมาก เธอสามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าได้อย่างอิสระเสรีราวกับว่าตัวเองเป็นนักแสดงมืออาชีพ เธอสามารถทำให้น้ำตาไหลออกมาเองได้ เธอเคยฝึกฝนอะไรแบบนี้มาแล้วหลายร้อยล้านครั้งในโลกเก่า เรียกได้ว่าความสามารถในการแสดงของเธอนั้นเกินขอบเขตของคำว่ามืออาชีพไปไกลแล้ว
“โอ๋ๆ ไม่เอานะไม่ร้อง” ฮันน่าเอ่ยด้วยสีหน้าเห็นใจ เธอล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวออกมา “เอานี่ไปซับน้ำตาก่อนสิ”
ในมุมมองของฮันน่า อีกฝ่ายคือเด็กสาวที่กำลังรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก การที่อีกฝ่ายจะระมัดระวังตัวจนเผลอปามีดใส่เธอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ความจริงแล้วเธอผิดที่ไม่ทิ้งจดหมายอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ด้วยซ้ำ
เธอพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงตื่นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง และก็คงรู้สึกสับสนและหวาดกลัวแน่ๆ ก็ดันตื่นมาอยู่ในบ้านใครก็ไม่รู้นี่นะ ไม่แปลกใจเลยที่จะระมัดระวังจนต้องไปหยิบมีดมาป้องกันตัวแบบนั้น
เธอตัดสินใจว่าจะไม่เอาผิดหรือถือโทษที่อีกฝ่ายเขวี้ยงมีดมาปักหัวเธอ แทนที่จะเอาเวลาไปหงุดหงิดแบบนั้น สู้เอาเวลาไปปลอบโยนอีกฝ่ายที่กำลังรู้สึกเศร้าจะดีกว่า
“น่าๆ เป็นเด็กผู้หญิงไม่ควรจะร้องแบบนี้สิ เดี๋ยวหมดสวยนะ” ฮันน่า สมิธก้มตัวลงพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของอีกฝ่าย สัมผัสได้ถึงแรงสะอื้นเล็กๆ เธอสวมกอดเด็กสาวตรงหน้าพลางตบไหล่เบาๆ
“ไม่ร้องๆ โอ๋เอ๋ๆ ขอโทษที่ทำให้ตกใจน้าา” ฮันน่าปลอบ ยิ้มอบอุ่น
สำเร็จ! วาคาดะ ซายูริร้องตะโกนในใจ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนลงแล้วเพราะการแสดงของเธอ เท่านี้ก็คงปลอดภัยแล้วสินะ นึกว่าจะโดนทำอะไรเพราะดันไปปามีดใส่หัวอีกฝ่ายซะอีก
เธอเริ่มค่อยๆผ่อนแรงสะอื้นลง ลดอาการสั่นกลัวพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายมอบให้มาเช็ดน้ำตา
หลังจากนั้นราวๆห้านาที เด็กสาวก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนโซฟา มันตั้งอยู่ใกล้ๆกับชั้นหนังสือในห้องนั่งเล่นแห่งนี้ ฮันน่านั่งข้างๆพลางยื่นน้ำเปล่ามาให้ อีกฝ่ายยิ้มด้วยท่าทางใจดีและเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ไม่ไกลเกินไปและไม่ใกล้เกินไปเพื่อไม่ให้เด็กสาวรู้สึกอึดอัด
“ดื่มนี่ก่อนนะ” เธอเอ่ย
“ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวรับแก้วน้ำไปอย่างสุภาพ เธอยกมันขึ้นมาดื่ม รู้สึกได้ถึงน้ำบริสุทธิ์และใสสะอาดที่ไหลผ่านลำคอ ราวกับว่าสมองของเธอตื่นตัวอย่างสมบูรณ์ จิตใจสดชื่นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เธอดื่มมันจนหมดแก้ว
อึก อึก อึก
“ดีขึ้นบ้างรึยัง” ฮันน่าถามด้วยท่าทีเกร็งๆ เหมือนจะยังรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยที่ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว แม้ว่าเธอพึ่งจะโดนมีดปักสมองไปก็เถอะ แต่เธอไม่ใช่พวกคนคิดอาฆาตสักหน่อย
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะคุณฮันน่า” วาคาดะ ซายูริยิ้มสดใสพลางหันมามองอีกฝ่าย สีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ อย่างน้อยก็ที่อยากให้อีกฝ่ายเห็นล่ะนะ
“เรียกฉันว่าฮันน่าเฉยๆก็พอ” ฮันน่ายิ้มกลับ “ว่าแต่ ทำไมเธอถึงไปอยู่ตรงนั้นได้ล่ะเมื่อคืนนี้?”
“หือ?”
“เมื่อคืนพายุเข้า” ฮันน่าเริ่มเล่า “ฉันออกไปตรวจสภาพบ้านข้างนอกแล้วพบว่าเธอกำลังนอนสลบอยู่น่ะ แถมตัวก็เลอะโคลนไปหมด ฉันเลยพาเข้ามาในบ้านและอาบน้ำให้น่ะ”
นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเธอถึงได้ตื่นมาบนเตียงนอนสินะ ยูริครุ่นคิดกับตัวเอง เธอตัดสินใจกุเรื่องไปอีกหนึ่งอย่าง
“หนูจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ” เธอบอก “ไม่มีความทรงจำเหลืออยู่เลยว่าทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้นได้ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองตื่นมาบนเตียงนอน และมาพบกับคุณเนี่ยแหละค่ะ”
ใช่แล้ว ตัดสินใจกุเรื่องไปว่าตัวเองความจำเสื่อมนั่นเอง ฮันน่าจะได้เลิกเซ้าซี้สักทีว่าทำไมเธอถึงไปนอนสลบอยู่หน้าบ้านอีกฝ่ายได้ เธอไม่อยากให้ความลับเรื่องการเป็นผู้เดินทางข้ามโลกของตัวเองถูกเปิดเผยยังไงล่ะ
“งั้นเหรอ…” ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฮันน่าดูเศร้าอย่างประหลาด “จะบอกว่าเธอความจำเสื่อมงั้นเหรอ ยังจำชื่อตัวเองได้รึเปล่า?”
ตอนแรกฮันน่าไม่ได้ถามชื่อของเด็กสาวเพราะมองว่ายังไม่เหมาะสม อีกฝ่ายอยากจะเยียวยาจิตใจของเด็กสาวซะก่อนจากนั้นค่อยถามไถ่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสงบลงแล้วหลังจากดื่มน้ำ เธอเลยตัดสินใจได้ว่าได้เวลาถามแล้ว
เด็กคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงมานอนสลบหน้าบ้านเธอได้ และจะไม่นำปัญหามาให้เธอในภายหลังใช่หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่เธออยากรู้มากเลยล่ะ ปกติแล้วเวลามีคนมานอนสลบหน้าบ้านย่อมสร้างความหวาดระแวงให้เจ้าของบ้านอยู่แล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็ตาม
แถมดูเหมือนจะความจำเสื่อมซะด้วยสิ
“หนูพอจำชื่อของตัวเองได้อยู่ค่ะ” เด็กสาวพยักหน้าหงึกๆ มันดูน่ารักน่าเอ็นดูเมื่อมองในมุมมองของฮันน่า “หนูชื่อวาคาดะ วาคาดะ ซายูริค่ะ”
วาคาดะ ซายูริ? เป็นชื่อกับนามสกุลที่แปลกจังนะ ฮันน่าครุ่นคิดกับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า
“หนูชื่อวาคาดะงั้นเหรอ?” เธอทวนซ้ำเพื่อความมั่นใจ เพราะไม่แน่เธออาจจะฟังผิดก็ได้ อาจจะชื่อโรน่าหรืออะไรแบบนั้น แต่เธอก็มั่นใจนะว่าหูของตัวเองไม่มีทางผิดเพี้ยนได้ขนาดนั้นแน่
แต่น่าแปลก หลังจากถามคำถามออกไปแล้ว อีกฝ่ายกลับส่ายหัวเบาๆ หรือว่าเธอฟังผิดจริงๆ ก็นั่นสินะ บนโลกนี้มันจะมีคนชื่อแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ มันแปลกเกินไปแล้ว
ฮันน่าไม่รู้เลยว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่ใช่คนของโลกนี้ เป็นสิ่งแปลกปลอมของโลกอย่างแท้จริง สิ่งแปลกปลอมอันแสนชั่วร้ายที่เทพธิดาถ่มถุยลงมาบนโลกใบนี้
“วาคาดะคือนามสกุลค่ะ” คำตอบของเด็กสาวทำเอาฮันน่าถึงกับสับสนเลยล่ะ อะไรนะ ส่วนที่คิดว่าเป็นชื่อดันเป็นนามสกุลงั้นเหรอ? แปลกจริงๆด้วย เด็กสาวตรงหน้าเต็มไปด้วยปริศนาอย่างแท้จริง คนที่มีนามสกุลอยู่ข้างหน้า…ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
“ง งั้นแปลว่าซายูริก็…”
เด็กสาวพยักหน้าหงึก
“ใช่ค่ะ วาคาดะคือนามสกุล ซายูริคือชื่อจริงๆของหนูค่ะ” อีกฝ่ายบอกเสียงหวาน “รวมๆแล้วก็เป็น วาคาดะ ซายูริ เรียกชื่อหนูว่าซายูริ หรือจะเรียกสั้นๆว่ายูริจังก็ได้นะคะ”
ฮันน่ารู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองขาวโพลน โลกนี้ช่างกว้างใหญ่! ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าสักวันจะได้เจอกับคนที่มีนามสกุลอยู่ข้างหน้าแบบนี้ บางทีเธออาจจะศึกษาหาความรู้มาไม่มากพอก็เป็นได้
“ง งั้นฉันจะเรียกเธอว่ายูริจังนะ” ฮันน่าพยายามปรับอารมณ์พลางบอกอย่างใจเย็น “แนะนำตัวกันอีกครั้งแล้วกัน ฉันมีชื่อว่าฮันน่า นามสกุลสมิธ เธอสามารถเรียกฉันว่าฮันน่าจังก็ได้นะ หรือจะเรียกว่าพี่สาวก็ได้”
ด้วยความที่อายุมากกว่า ฮันน่าในปีนี้มีอายุสิบห้าปีแล้ว ส่วนยูรินั้นเป็นแค่เด็กเจ็ดขวบ ดังนั้นถ้าพิจารณาจากสภาพตอนนี้แล้ว พวกเธอทั้งสองคนก็มีศักดิ์เป็นพี่น้องกันยังไงล่ะ
ยูริมองฮันน่าด้วยสายตาแปลกๆ ดูเหมือนว่าเธอจะคิดว่าฮันน่านั้นเป็นพวกที่อยากมีน้องสาวเป็นของตัวเองหรืออะไรแบบนั้นรึเปล่า
“ฮะแฮ่ม เอาเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักนะยูริจัง” ฮันน่ายื่นมือมาให้จับ ดูเหมือนว่าวัฒนธรรมการทักทายของโลกนี้จะเป็นเหมือนกับโลกเก่าของเธอแฮะ ในโลกเก่าบางประเทศก็ทักทายด้วยวิธีนี้เช่นกัน แต่บางทีนี่อาจจะเป็นการทักทายของฮันน่าคนเดียวก็ได้
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พี่สาว” ยูริยิ้มแย้มพลางจับมือกับอีกฝ่าย เธอเห็นฮันน่าแก้มแดงพลางทำสีหน้ามีความสุขอย่างประหลาด หรือว่าบางทีฮันน่าอาจจะเป็นพวกโลลิค่อน? ช่างมันเถอะ
หลังจากจับมือกันเสร็จ ฮันน่าก็ถามเธอว่า
“ยูริจังจำพ่อกับแม่ตัวเองได้รึเปล่า”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูเป็นห่วงและกังวล ดูท่าเธอจะอยากทวงคืนความทรงจำให้กับเด็กสาว แต่ฮันน่าไม่มีทางรู้ว่าความจำเสื่อมอะไรนั่นมันก็แค่การโกหกและแหกตาของเด็กสาวนามว่าวาคาดะ ซายูริเท่านั้น
“หนู…จำอะไรไม่ได้เลย” ยูริเอ่ย เธอจงใจลากเสียงคำว่า’หนู’ให้ยาวกว่าปกติเล็กน้อย ก่อนจะเว้นช่องว่างไปราวๆหนึ่งถึงสองวิ และเอ่ยคำว่าจำอะไรไม่ได้เลย เพื่อเป็นการหลอกฮันน่าว่าเธอนั้นรู้สึกเศร้ากับความทรงจำที่ขาดหายไปของตัวเอง
ในการพูดประโยคๆหนึ่ง แค่การเว้นช่องว่างและลากเสียงยาวกว่าปกติเล็กน้อย เท่านี้ก็สามารถสร้างประโยคที่มีน้ำเสียงแตกต่างกันได้แล้ว บรรดานักพูดทั้งหลายต่างก็ใช้เทคนิคนี้ มันเป็นเทคนิคที่สามารถจูงใจผู้ฟังได้บางส่วน แน่นอนว่าเนื้อหาเองก็สำคัญเช่นกัน
“งั้นเหรอ….” ฮันน่าทำหน้าเศร้าเล็กน้อย เธอนั่งลงข้างๆเด็กสาวที่กำลัง’เศร้าสร้อย’ ก่อนจะลูบหัวเบาๆเป็นการปลอบใจ “แล้วจากนี้เธอจะทำยังไงต่อ”
วาคาดะ ซายูริหันมามองเธอด้วยแววตาอ่อนล้า น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาผสมความสั่นเครือเอาไว้อย่างชัดเจน
“หนู…ขออยู่อาศัยกับพี่ไปสักพักจะได้รึเปล่าคะ”
ฮันน่ารู้สึกสงสารจับใจ ในสายตาของเธอ อีกฝ่ายคือเด็กที่ผ่านอะไรมามาก ความจำเสื่อม จำพ่อกับแม่ของตัวเองไม่ได้ จำได้เพียงชื่อของตัวเองเท่านั้น ชื่อที่พ่อและแม่ตั้งให้…
นี่มันน่าเศร้าไปหน่อยนะ
ฮันน่าไม่รู้เลยว่าระหว่างที่เธอเศร้าอยู่นั้น วาคาดะ ซายูริก็แอบคาดหวังปนตื่นเต้นในใจ หวังว่าเรื่องโกหกที่เธอแต่งขึ้นอย่างสดๆร้อนๆจะได้ผลนะ
เธอจงใจทำให้ฮันน่าสงสารและขออยู่อาศัยด้วย อีกฝ่ายไม่มีทางปฏิเสธสาวน้อยตาดำๆคนนี้ได้หรอกน่า หรือถ้าให้พูดในทางเทคนิค ตาแดงๆล่ะนะ
“ได้เลย ยูริจัง ไม่มีที่ไปใช่ไหม” ฮันน่าสวมกอดเด็กสาวพลางลูบหัว มันให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับแม่ที่กำลังปลอบลูกของตัวเองไม่มีผิด เด็กสาวได้กลิ่นหอมอ่อนๆโชยออกมาจากตัวของอีกฝ่าย กลิ่นดอกคาโมมายงั้นเหรอ? เอาเถอะ หอมดีแฮะ
“ขอบคุณค่ะ พี่สาว” เด็กสาวฉวยโอกาสนั้นสวมกอดกลับ
วินาทีนี้ แวมไพร์หนึ่งตนและมนุษย์ผู้ชั่วช้าหนึ่งคนต่างก็ได้ตัดสินใจว่าจะอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้…