———-
แขกผู้มาเยือนต่อจากข้ารับใช้จอมมารและมังกรนั้นก็คือกลุ่มคนเผ่ามนุษย์สัตว์สวมชุดเกราะ
ด้วยเดินทางมาในเส้นทางที่ไร้ถนนหนทางเลยไม่สามารถใช้งานรถม้าขนสัมภาระได้
พวกเขาแบกสัมภาระจำนวนไม่น้อยเอาไว้บนหลัง แม้จะน้อยกว่าคราวที่กลุ่มทากะเดินทางมาก็ตาม
ทั้งหมดสิบคน
ทุกคนสวมชุดเกราะที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว คงจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้ไม่น้อยเลย
แม้ใบหน้าคล้ายกับมนุษย์ ทว่าด้านบนศีรษะมีหูสัตว์ และหางโดดเด่นอยู่บริเวณบั้นท้าย
ความหนาแน่นของขนบริเวณแขนแตกต่างกันไป
มีทั้งคนที่มีแขนเหมือนกับสัตว์ และคนที่มีแขนเหมือนกับมนุษย์
“ชื่อของข้าคือการ์ฟ เดินทางมาจากหมู่บ้านฮาวลิ่งที่ตั้งอยู่ในภูเขาฝั่งตะวันออก อยากจะผูกมิตรกับหมู่บ้านแห่งนี้”
ผู้นำกลุ่มก้าวออกมาหนึ่งก้าวเพื่อกล่าวทักทาย
ผมตั้งใจว่าจะก้าวออกไปเช่นเดียวกัน ทว่าลูในรูปลักษณ์ผู้ใหญ่ก็ก้าวออกมาด้านหน้าเสียก่อน
“ยินดีต้อนรับ หมู่บ้านไทจูแห่งนี้ขอแสดงความยินดีต่อการมาเยือนของคุณ”
เธอใช้วิธีพูดที่ดูหวือหวาแตกต่างไปจากปกติ
“ต้องขอขอบคุณ”
“ก็ตั้งใจว่าจะนำทางไปยังที่พักอยู่หรอกนะ……พวกนายที่อยู่ตรงนี้คือสมาชิกทั้งหมดแล้วงั้นเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ มีอะไร?”
“งั้นเหรอ งั้นจะถือว่าคนอื่นนอกเหนือไปจากนี้เป็นศัตรูนะ”
ลูพูดด้วยน้ำเสียงแฝงแรงกดดันเล็กน้อย
ระหว่างที่เครื่องหมายคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว ก็มีเผ่ามนุษย์สัตว์สองคนออกมาจากป่า
สวมชุดและอุปกรณ์ที่ไม่สะดุดตา คงจะซ่อนตัวอยู่สินะ
สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงได้ออกมา พวกคุโระก็โผล่ออกมาให้เห็น
“……ต้องขอโทษด้วย เหมือนจะมีคนพลัดหลงไปจากกลุ่มอยู่ด้วย”
“แบบนั้นก็อันตรายแย่เลย น่าจะตรวจสอบให้ดีก่อนจะเข้าหมู่บ้านนะ อีกอย่างภายในหมู่บ้านระมัดระวังการกระทำด้วย ที่นี่มีคนที่แม้แต่ฉันก็ต้องเกรงใจทีอยู่ด้วยนะ”
“…เข้าใจแล้ว ขอสัญญาว่าจะไม่ลงมือทำอะไรโดยพละการ”
ลูนำทางกลุ่มเผ่ามนุษย์สัตว์ไปยังอาคารรับแขกที่เพิ่งสร้างเสร็จ
เดิมทีผมตั้งใจไว้ว่าจะให้อาคารรับแขกมีขนาดเพียงพอสำหรับแขกสี่คนพักอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย
ทว่าไอเดียที่ว่าก็พังคลืนไป เพราะคนอื่น ๆ แย้งว่าอาคารจะแคบเกินไป
การจะเดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้จำเป็นต้องข้ามป่าฝ่าภูเขาเข้ามา
ถึงแม้จะมีแขกที่ไม่คาดฝันอย่างข้ารับใช้จอมมมารหรือมังกรมาเยือน อย่างไรก็ดี โดยปกติแล้วก็จะมีคนไม่ต่ำกว่าสิบคนเดินทางมา
ให้คิดเผื่อไว้สักสามสิบคนจะเป็นการดีกว่า
เลยตัดสินใจสร้างให้มีขนาดใหญ่ เพราะเห็นว่าสิ่งที่พวกเธอพูดมานั้นสมเหตุสมผล
รอบนี้มีแขกทั้งหมดยี่สิบคน
ซึ่งก็เกินพอสำหรับการต้อนรับ
ผมขยายพื้นที่ทางตะวันตกของเขตตะวันตกเฉียงใต้อันเป็นที่ตั้งของบ้านฟลอร่ากับกลุ่มของเรีย แล้วสร้างอาคารรับแขกเอาไว้
อาคารมีขนาดเทียบได้กับบ้านของผม แม้จะไม่มีทั้งชั้นสองหรือห้องใต้ดินก็ตาม
สิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นมาในช่วงหลัง ๆ นี้มีประสิทธิภาพในการใช้สอยมากกว่า ประจวบเหมาะกับต้องใช้รับแขกด้วยเลยสร้างไว้ให้เน้นภาพลักษณ์เป็นพิเศษ
อันที่จริง ภายในนั้นบางส่วนดูปราณีตเสียยิ่งกว่าบ้านของผมเสียอีก
อย่างไรก็ดี ก็เป็นของดีที่สุดเท่าที่หมู่บ้านเราจะหาได้ แม้อาจจะเทียบได้แค่กับบ้านพักที่มีคุณภาพระดับหนึ่งเท่านั้นก็ตามที
ดังนั้นจึงไม่ได้เรียกว่า อาคารรับแขก แต่เป็น บ้านพัก แทน
ชื่อเรียกที่เข้ากับภาพลักษณ์นั่นแหละดีที่สุด
ผมล้อมรั้วพื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านพัก แบ่งขอบเขตของพื้นที่เอาไว้ชัดเจน
“หากเป็นพื้นที่ในรั้วล่ะก็ ทำตัวตามสบายได้เลยนะครับ”
ก็เพื่อการณ์นี้
หรือต่อให้ไม่ปฏิบัติตาม
“หากข้ามรั้วนี้มาโดยไม่ได้รีบอนุญาตแล้วล่ะก็ ผมไม่รู้ด้วยนะ”
ไม่ได้เพื่อการณ์นี้เช่นกัน
จะได้ใช้จริง ๆ ก็หลังจากนี้น่ะนะ…
ตัวรั้วไม่ได้สร้างจากท่อนซุงแบบง่าย ๆ ทว่าเป็นรั้วล้อมบ้านซึ่งออกแบบมาเป็นอย่างดี
สียังคงเป็นสีตามธรรมชาติเพราะไม่มีสีจะใช้ทา ถ้าหากหาสีทามาได้ด้วยทางใดทางหนึ่งแล้วล่ะก็ ผมก็จะทาสีขาว
ผมนึกบางอย่างขึ้นมาได้หลังจากที่ เดินดูรอบ ๆ บ้านพักหลังจากสร้างเสร็จ
จืดชืด
มองออกไปไม่ไกลนักจะเห็นบ้านของเรีย
เนื่องจากบริเวณนี้คือพื้นที่ที่ผมพรวนดินเอาไว้จึงไม่มีอะไรบดบั้งทัศนวิสัยอยู่เลย
ไม่จำเป็นต้องมีของที่ต้องใช้บังสายตาจนมิดชิด แต่ก็ยังอยากได้อะไรที่พอบดบังสายตาได้เอาไว้สักหน่อย
คิดแบบง่าย ๆ ก็คงต้องต้นไม้ล่ะนะ
เลยตัดสินใจปลูกต้นผลไม้เอาไว้ ณ บริเวณใกล้ ๆ บ้านของเรีย
ที่เป็นต้นผลไม้นั่นก็เพราะมีความต้องการให้ต้นไม้ที่จะปลูกสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงบ้าง
ในฤดูหนาวอาจจะเหงาสักหน่อย แต่ก็ได้ความยินยอมแต่โดยดี
หลัก ๆ ที่ปลูกก็คือ แอปเปิ้ล แพร์ และพลับ
โดยส่วนตัวแล้ว จะปลูกต้นซากุระที่ออกผลเป็นเชอร์รี่ได้สักกี่ต้นกันนะ
แต่เอาเถอะ ยังไงต้นอ่อนทั้งหลายก็คงยังใช้บังสายตาไม่ได้ไปสักพัก
หลังจากนั้นก็ทำแปลงปลูกพืชผักสวนครัวอย่างแตงโมกับสตรอเบอร์รี่
ผมทำเช่นเดียวกันกับบ้านหลังอื่น ๆ ด้วย
ผมปลูกต้นซากุระที่ไม่ออกผลไว้รอบ ๆ ตัวบ้านพัก ทั้งนี้ก็เพราะให้ความสำคัญกับบรรยากาศรอบ ๆ
แล้วก็สร้างแนวพุ่มไม้บริเวณด้านในของรั้วกั้น
แม้จะไม่รู้ชื่อของพืชชนิดนี้ ถ้าจินตนาการภาพในหัวเป็นแนวพุ่มไม้ที่เห็นบ่อย ๆ ในโลกใบก่อน ผลลัพธ์ก็คงจะออกมาตามนั้นล่ะนะ
ถ้าไม่ตัดแต่งกิ่งจะได้ไหมนะ
เอาไว้ว่ากันหลังจากปลูกแล้วกัน
หลังจากนั้น ผมไปปลูกต้นไม้ไว้ในพื้นที่สำหรับแขกด้วย เพราะอารมณ์พาไป
ผมแจ้งพวกเขาไปว่าผลผลิตจากต้นไม้ภายนอกไร่นั้นสามารถใช้ได้ตามสะดวก หรือถ้าต้องการก็จะปลูกไว้ให้
เป็นที่ชื่นชอบทีเดียว
ขอนอกเรื่องสักหน่อย ผมทำการขยายพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น เขตอยู่อาศัย
ผมไม่ติดใจอะไรเป็นพิเศษเพราะอันที่จริงผมก็คิดแบบนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว และก็เพราะคนที่อาศัยอยู่ที่นั้นจดจำสถานที่แบบเดียวกันนี้ จึงลงเอยเช่นนั้น
อีกอย่าง บริเวณที่บ้านของผมตั้งอยู่ อันเป็นที่ตั้งของต้นไม้ใหญ่ ตอนนี้ถูกเรียกว่า เขตต้นไม้ใหญ่
“จะเรียกว่าออกไปต้อนรับแขก หรือออกไปคุมตัวแขกดีล่ะ…”
ผมรู้สึกติดใจในการกระทำของลู
และเทียร์ก็ตอบความสงสัยนั้น
“คุณสามีค่ะ โดยปกติแล้วทูตที่ต้องการมาผูกมิตรนั้น จะนำของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย แม้กระทั่งมังกรยังนำมาด้วยเลยค่ะ”
“…จะบอกว่าพวกเขาไม่ได้มีจุดประสงค์แบบนั้นเหรอ”
“ก็อาจเป็นไปได้ค่ะ หากฝ่ายนั้นไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน ทางเราเองก็ไม่สามารถต้อนรับตามปกติได้ค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง ก็จริงอย่างที่ว่านะ”
“อีกอย่างหนึ่งนะคะ แม้จะไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร แต่ก็ให้อีกทหารสองคนซ่อนตัวเอาไว้ คุณลูก็เลยลดระดับการต้อนรับลงไปอีกขึ้นหนึ่งน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ แล้วกลูเดลล์ที่นำทางพวกเขามา ไม่สังเกตเห็นตัวตนของสองคนนั้นเหรอ”
“เธอทราบเรื่องนั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มองเป็นภัยเลยปล่อยเอาไว้น่ะค่ะ เดี๋ยวจะไปดุให้ทีหลังนะคะ”
“เบา ๆ มือแล้วกันนะ
อืม ก็ดูไม่มีพิษภัยอย่างที่ว่าจริง ๆ แหละน่ะ”
“นั่นสินะคะ งั้นแค่คอยระมัดระวังเอาไว้”
ในคืนเดียวกันนั้น ก็มีจัดงานเลี้ยงต้อนรับ
งานเลี้ยงจัดในบ้านพัก
ผม ลู แล้วก็เทียร์ก็เข้าร่วมด้วย
เรียและกลุ่มแอนก็มาด้วยเหมือนกัน แต่พวกเธอทุ่มเทไปกับงานเบื้องหลัง
เรื่องอาหาร ก็เป็นอาหารที่พวกเรารับประทานกันเป็นประจำแต่จัดให้หรูหราขึ้นเล็กน้อย
ผลไม้จัดเรียงไว้โดยไม่มีการปลอกเปลือก
ต่างกับงานเลี้ยงต้นรับโดไรม์ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่ผลไม้ต่างถูกปลอกเปลือกและจัดตกแต่งไว้เป็นอย่างดี
ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถตอนรับแขกทุกคนเหมือนกันได้
การต้อนรับในตอนที่กษัตริย์มาเยือน ขุนนางมาเยือน พ่อค้ามาเยือน มิตรมาเยือน และคนแปลกหน้ามาเยือน ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา
ถึงจะเข้าใจก็ตามที ก่อนเริ่มงานเลี้ยงมีการหารือกันว่าจะนำไวน์ออกมาหรือไม่
แม้ทุกคนจะเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ แต่ผมก็ดึงดันจนถึงที่สุด
ยังไงก็อุตส่าห์เดินทางมากันทั้งที ถึงจะไม่รู้เป้าหมายก็เถอะ
ตราบใดที่ยังไม่แน่นอนว่าเป็นศัตรูก็ต้อนรับด้วยมารยาทไปก่อนแล้วกัน
“รู้สึกผิดจริง ๆ เรื่องอาหารในงาน”
แม้จะดึงดันจนได้ไวน์มาเสิร์ฟแต่ก็ถูกจำกัดปริมาณเอาไว้อยู่ดี
น่าจะราว ๆ สองแก้วต่อคนเห็นจะได้
หลังจากไวน์หมดก็จะเป็นน้ำ
จากมุมมองผมแล้ว อาหารที่จัดให้ก็แค่พิเศษกว่าอาหารที่ทานเป็นปกตินิดหน่อยเท่านั้นเอง ทำเอารู้สึกผิด
ทว่า ก่อนหน้านี้พวกลูก็บอกเอาไว้ว่า ให้กำจัดความรู้สึกแบบนั้นทิ้งไป
แผนมีอยู่ว่าในระหว่างงานเลี้ยงให้พยายามเค้นเอาเป้าหมายของการมาเยือนมา และถ้าหากฝั่งนั้นมีเรื่องสำคัญก็คงลงมือเหมือนกัน
เพื่อการณ์นั้นเราจะมัวมาถ่อมตัวอยู่ไม่ได้
เพราะเห็นด้วยกับจุดนั้น หลังจากเริ่มทานอาหาร จึงปรับอารมณ์ของตัวเองแล้วรับรองพวกเขาตามปกติ
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เอาจริง ๆ ก็ชวนคุยเท่านั้นเอง
“ต้องขอโทษในความไม่รู้ของตัวผมด้วย แต่ขอถามได้ไหมว่าหมู่บ้านฮาวลิ่งเป็นสถานที่แบบไหน”
ผมลองถามคนในหมู่บ้านดูแล้วแต่ก็ไม่มีใครรู้จักเลย
“หมู่บ้านฮาวลิ่งตั้งอยู่ใจกลางภูเขาที่ห่างออกไปเล็กน้อยทางตะวันออกของที่นี่ ได้ยินมาว่าก่อตั้งเมื่อพันปีก่อนเห็นจะได้ ก็นะ เอาจริง ๆ คงจะสักห้าร้อยปีก่อนล่ะมั้ง เพราะพวกคนเฒ่าชอบอวดเบ่งจุดแปลก ๆ น่ะนะ”
ไม่รู้ใจกว้างขึ้นเพราะฤทธิ์ไวน์หรือเปล่า การ์ฟเลยว่าง่ายขึ้นมา
สมาชิกในหมู่บ้านน่ามีราวห้าร้อยคน
กลุ่มคนห้ากลุ่ม กลุ่มหนึ่งราวร้อยคน อาศัยอยู่ร่วมกัน
ฟังดูเหมือนกับกลุ่มคนภูเขาห้ากลุ่มที่รวมตัวกันมากกว่าหมู่บ้านซะอีก
ส่วนมากคือเผ่ามนุษย์สัตว์ เกินกว่าครึ่งคือสายพันธุ์สุนัข
อาชีพหลักคือการล่าสัตว์กับขุดแร่ ติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับหมู่บ้านมนุษย์ซึ่งตั้งอยู่อีกฝากของภูเขามาโดยตลอด
แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้เกิดมีปัญหากับฝั่งมนุษย์ การแลกเปลี่ยนเลยหยุดชะงัก จึงกำลังลบากในหลาย ๆ เรื่อง หมู่บ้านแห่งนี้เลยกลายเป้นเป้าหมายในการติดต่อแลกเปลี่ยนแห่งต่อไปนั่นเอง
เพิ่งจะได้รู้ถึงการมีอยู่ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็เมื่อไม่นานมานี้เอง
ดูเหมือนว่าจะรู้มาจากประกาศของข้ารับใช้จอมมาร
ทั้งหมู่บ้านฮาวลิ่งและหมู่บ้านของมนุษย์อีกฝั่งเองก็ดูเหมือนจะอยุ่ภายในเขตการเก็บภาษีของจอมมารเหมือนกัน
อย่างนี้นี่เอง
เข้าใจจุดมุ่งหมายคร่าว ๆ แล้ว
หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องราวความลำบากตรากตำของกลุ่มการ์ฟก่อนจะเดินทางมาที่นี่
ผมก็พงักหัวหงึก ๆ ตอบรับไปพลางทานอาหาร
จากเท่าที่ลอบมองไปรอบ ๆ ดูเหมือนเผ่ามนุษย์มนุษย์สัตว์จะมีความสุขกับอาหารดี
โล่งใจได้เปราะหนึ่ง
“ถ้ายังซ่อนตัวอยุ่แบบนั้นอาจจะไม่ได้กินอะไรแบบนี้ก็ได้ ดีจริง ๆ ที่ออกมา”
“ว่าแต่ ทำไมถึงซ่อนตัวเหรอคะ”
“ก็เป็นหมู่บ้านที่มาเป็นครั้งแรกนี่นะ จะยังไงก็ควรระมัดระวังไว้ก่อนอยู่แล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ต้องกลับไปรายงานที่หมู่บ้านน่ะสิ”
ทั้งลูและเทียร์ก็ตั้งใจรวบรวมข้อมูลกันอย่างเต็มที่
พึ่งพาได้จริง ๆ
———-
เอาภาพไปก่อนไว้ขยันจะทำรูปแบบที่เข้าใจง่ายให้นะครับ (ฮา)