ตอนที่ 330 ยานข้ามแดน
หลังจากตัวอักษรมงคลติดแล้ว แกะอย่างไรก็แกะไม่ออก เหลียงผิงเล่อถอยหลังหลายก้าวมองดู พบว่าติดตรงเป็นอย่างยิ่ง จึงอดถอนใจชมเชยไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่เขย พวกท่านมาดูหน่อย ตัวอักษรมงคลนี้ติดขึ้นไปแล้ว แกะอย่างไรก็แกะไม่ออก”
การกระทำนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของคนในบ้าน จางฟู่และภรรยา รวมถึงคนตระกูลเหลียงพากันเดินมาที่หน้าประตู มองตัวอักษรมงคลที่ประณีตติดอย่างเรียบร้อยประณีต
ขณะทุกคนกำลังฉงนกับเรื่องนี้ต่างมองจ้องตัวอักษรมงคลนี้ด้วยความตั้งใจ ทันใดนั้นมองเห็นกระแสแสงจางๆ ฉายวาบขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
“เอ๋! ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่เขย ท่านปู่ ท่านลุง บนตัวอักษรมีแสงด้วย ต้องเป็นของล้ำค่าแน่นอน!”
เสียงเด็กชายดังขึ้น ทำให้คนข้างๆ เข้าใจในทันที
“ใช่ ข้าเหมือนจะเห็นเช่นกัน!”
“แท้ที่ไม่ใช่ข้าตาฝาดหรอกหรือ”
“นี่ไม่มีทางใช่ของล้ำค่ากระมัง”
เหลียงชุนหลานรีบถามจางฟู่สามีตนเอง
“สามี ตอนติดตัวอักษรมงคลที่บ้านพวกเรา มันติดประตูบ้านด้วยตนเองเหมือนกันหรือไม่”
“ไม่รู้สิ ท่านพ่อทากาวแล้วติดเลย แต่ติดแล้วเรียบร้อยสวยงาม พวกเรารีบร้อนมาที่นี่ไม่ใช่หรือ จึงไม่ได้ดูให้ละเอียด…”
เหลียงผิงเล่อกล่าวด้วยความตื่นเต้นอยู่ข้างๆ
“นี่ พี่เขย ที่บ้านพวกท่านต้องมีเหมือนกันแน่ ตัวอักษรมงคลสองตัวนี้ท่านจี้เป็นคนเขียน อีกทั้งกำชับไว้ด้วย ตัวอักษรนี้อาจเป็นของล้ำค่า ข้าได้ยินมาว่าบัณฑิตที่มีคุณธรรมสูงส่งเมื่อลงพู่กันแล้วเหมือนมีเทพช่วย บทความหนึ่งถือเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง ตัวอักษรสองตัวนี้ก็คงเป็นเช่นเดียวกัน!”
เหล่าเหลียงได้ยินเช่นกันก็กล่าวทันที
“ไอ้หยา ตัวอักษรนี้ติดอยู่บนประตู ตากลมตากฝนตากแดดน่าเสียดายแย่ หากเสียหายขึ้นมาจะทำอย่างไร หาคนมาใส่กรอบให้ไม่ดีกว่าหรือ”
“ใช่! ทว่าแกะลงมาไม่ได้แล้ว!”
“แกะลงมาทำไมเล่า นี่เป็นตัวอักษรมงคลฉลองปีใหม่ ท่านจี้ให้ติดก็ติดเถอะ”
“ใช่ๆๆ อย่าสลับความสำคัญมั่วสิ!”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรทุกคนล้วนอารมณ์ดีมาก ตัวอักษรมงคลบนประตูยิ่งมองยิ่งเข้าตา ถึงแม้กลับเข้าไปคุยกันในเรือนแล้ว พวกเขายังออกมามองดูอยู่หลายครั้ง
…
ส่วนผู้เขียนตัวอักษรมงคลตอนนี้อยู่บนหลังวาฬมุ่งหน้าไปยังทะเลรกร้าง ข้างหลังมองไม่เห็นแผ่นดินแล้ว
จี้หยวนมองผืนทะเลกว้างใหญ่ แม้โลกในสายตายังคงเลือนราง ทว่าความรู้สึกเปิดกว้างกลับเหมือนเหยียบเมฆบินขึ้นสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
‘ในเมื่อมาแล้วก็สงบใจเถอะ!’
คิดได้ดังนั้นแล้วจี้หยวนไม่วุ่นวายใจอีก กลับเพิ่มความรู้สึกสนใจขึ้นเล็กน้อย เดิมทีก็ออกมาเดินเล่นเปิดหูเปิดตาอยู่แล้ว แม้ในแผนการต้องไปยังเกาะนภาตะวันออกก่อน แต่ในเมื่อวันนี้ต้องไปทะเลรกร้าง ระยะทางไกลโพ้นเป็นพิเศษอย่างไรก็ถือว่าได้เพิ่มพูนประสบการณ์แล้ว
“แม่ทัพวาฬยักษ์ เจ้าเรียกตนเองเช่นนี้ตลอด ทว่ายังไม่ได้บอกชื่อแซ่ของเจ้าเลย”
“ฮ่าๆ ท่านจี้ไม่รู้ ข้ามีนามว่าแม่ทัพวาฬยักษ์ ต่อไปหากมีโอกาสต้องบอกชื่อแซ่ ก็เรียกว่าวาฬยักษ์ได้ ไม่รู้ว่ามีชื่อเช่นนี้หรือไม่ หากไม่มีข้าก็เป็นคนแรกพอดิบพอดี!”
วาฬยักษ์ตัวนี้มองโลกในแง่ดีทีเดียว โดยเฉพาะรับจี้หยวนและอิงรั่วหลีมาแล้วอารมณ์ดีมากอย่างชัดเจน พูดจาคล่องปรื๋อ
จี้หยวนฟังแล้วยิ้มขึ้น ไม่ได้พูดมากอีก
“ทะเลตะวันออกไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่ ข้ามเกาะขามเขตแดนไม่ได้ใช้เวลาแค่วันเดียว ท่านจี้ เทพรั่วหลี หากพวกท่านไม่รังเกียจไปอยู่ในท้องข้าดีกว่า ในนั้นนับว่ากว้างขวางนัก”
ขณะว่ายน้ำผ่านคลื่นทะเล เม่ทัพวาฬยักษ์รวดเร็วว่องไว กล่าวบอกสองคนบนตัวเสียงดัง ส่วนหัวของมันใหญ่กว่าวาฬทั่วไปหลายสิบเท่า ในท้องถึงแม้ไม่ใช่จักรวาลกว้างใหญ่ ทว่ามีที่ว่างเพียงพอย่างแน่นอน กระนั้นจี้หยวนและอิงรั่วหลีไม่ต้องการ
จี้หยวนไม่ได้พูดอะไร อิงรั่วหลีเพียงพูดเสียงเบา
“เจ้าว่ายน้ำไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้า”
จี้หยวนส่ายหน้า สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง โต๊ะไม้สีดำขลับตัวหนึ่งลอยออกมา จากนั้นมีพู่กัน น้ำหมึก กระดาษลอยตามออกมาด้วย พู่กันขนหมาป่าที่ส่องแสงเทพจาง ๆ เป็นครั้งคราวก็อยู่ในหมู่พวกมันเช่นกัน
“เรื่องนี้และภาพนี้กลับเหมือนกับท่องแดนฝันท่ามกลางหมู่เมฆ เทพีแม่น้ำเชิญตามสบาย ข้าคนแซ่จี้จะเขียนตัวอักษรสักหน่อย”
จี้หยวนกางกระดาษออก ใช้แท่นทับกระดาษไว้ อิงรั่วหลีที่อยู่ข้างๆ เดินไปอีกด้านหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ ยื่นนิวเรียวกดลงที่แท่นฝนหมึก นางใช้มือหนึ่งดึงแขนเสื้อยาว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งฝนหมึกอย่างช้าๆ
“ท่านอาจี้ ออกไปทะเลบูรพาครั้งนี้ห่างจากแม่น้ำเทียมฟ้าไม่รู้กี่หมื่นลี้ ท่านเรียกข้าว่าเทพีแม่น้ำ คนอื่นได้ยินแล้วคิดมากและคาดเดาไปไกลได้ง่าย อาจมีความยุ่งยากอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ เรียกข้าว่ารั่วหลีเถอะเจ้าค่ะ!”
ธิดามังกรพูดจามีเหตุผล แม้จี้หยวนเรียกเช่นนี้ตลอดจนเคยชินแล้ว แต่ตนเองและครอบครัวมังกรเฒ่านับว่าใกล้ชิดกัน กลับไม่เป็นไร
ทว่ายังไม่ถึงกับต้องลองเรียกตอนนี้ จี้หยวนกล่าวว่า “พูดมีเหตุผล” จากนั้นหยิบพู่กันขนหมาป่าเตรียมแตะหมึกแล้ว
ธิดามังกรยิ้มเล็กน้อย ถือแท่งหมึกพลางมองจี้หยวนกดพู่กันบนแท่นฝนหมึกทีละน้อย สุดท้ายยกพู่กันเขียนลงบนกระดาษ
ที่เขาเขียนคือ ‘ฝันท่องเมฆา’ ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่สำนวนที่คัดลอกให้ตระกูลเว่ย อีกทั้งไม่ใช่แนวความคิดในตำราดั้งเดิม แต่เพิ่มความรู้สึกของจี้หยวนเข้าไป
เมื่อเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษ หมึกก็แห้งในทันที ชัดเจนว่าเป็นตำราบันทึกสวรรค์
จี้หยวนไม่เคยศึกษาวิชาตำราบันทึกสวรรค์ดั้งเดิม แต่เพราะมีภาชนะเซียนอยู่ข้างๆ อีกทั้งเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณ ความตื่นรู้เนิ่นนานต่อตำราบันทึกสวรรค์เหมือนกับพัฒนาขึ้นโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องตั้งใจร่ำเรียน
ครั้งนี้จี้หยวนเขียนช้ามาก แม้ไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ทว่าธิดามังกรมองอยู่ข้างๆ ตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง
…
เวลาเคลื่อนคล้อย ถึงคืนก่อนวันปีใหม่แล้ว จี้หยวนยังคงนั่งหลังงอเล็กน้อยเขียนตัวอักษรอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่ใช้น้ำหมึกหมดแล้ว ธิดามังกรจะฝนหมึกให้ทันที
ครืน…
หวิว…หวิว…หวิว…
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นกลางท้องฟ้า ล้มคลั่งม้วนพัดทั่วบริเวณ คลื่นบนผิวน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างรุนแรง ทว่าลมฝนกลับไม่กระทบโต๊ะของจี้หยวน
ครืน…
ซ่า…
ฝนกระหน่ำเหมือนกับฟ้ารั่ว จี้หยวนเขียนถึงตัวอักษรไม่กี่ตัวสุดท้ายของบันทึกท่องเมฆาแล้ว
เมื่อจรดตัวอักษรสุดท้ายลงแล้ว จี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้า มีทั้งสายฟ้าฟาด ลมแรงส่งเสียงร้อง
“วันนี้เป็นคืนก่อนวันปีใหม่ เกี่ยวพันกับการฝึกปราณของข้าอยู่บ้าง”
ธิดามังกรกำลังจ้องมองบทความที่อยู่บนโต๊ะอย่างเหม่อลอย เมื่อได้ยินจี้หยวนพูดแล้วถึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“ท่านอาจี้ อยากให้ข้าจัดการเมฆฝนบนท้องฟ้าหรือไม่”
นางเป็นเทพวารี อีกทั้งเป็นเผ่ามังกร ขอเพียงต้องการทำเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องรีบร้อน พายุฝนรุนแรงเช่นนี้ยากจะหาได้เหนือท้องทะเล”
จี้หยวนยกมือสะบัดแขนเสื้อใส่ท้องฟ้า แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกจากช่องแขนเสื้อ ก่อนจะมีเสียงฟ้าร้องคลุมเครือดังขึ้น จากนั้นลอยเข้าสู้ชั้นเมฆในทันที
ชิ้ง…
สีทองฉายวาบแล้วกระจายตัวทั่วท้องฟ้า กลายเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่พันแสงสายฟ้าไว้ ซึ่งก็คือตัวอักษรขับไล่ มาร กำจัด มนตร์ดำ
ก่อนหน้านี้อิงรั่วหลีเคยฟังพี่ชายจนเองเล่าถึงเรื่องนี้ ความจริงแล้วเกาเทียนหมิงแห่งทะเลสาบวารีนภาและพี่ชายเคยเล่าเรื่องบางเรื่อง จากนั้นเรื่องก็ถึงหูนางและบิดา
ตอนนี้มองท้องฟ้าแล้ว ในใจพลันเข้าใจอะไรได้
‘บัญชาเวทอัสนีของท่านอาจี้!’
ราวกับเพื่อตอบรับความคิดในใจธิดามังกร วินาทีที่เวทอสนีกางออกบนท้องฟ้า สายฟ้าฟาดรุนแรงพลันกำเริบเสิบสานยิ่งขึ้น
เปรี้ยง…ครืน…
เปรี้ยง….
สายฟ้าหลายสายมาถึงเวทอัสนี ความเร็วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนก็มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ท้องฟ้าและผืนทะเลใต้ชั้นเมฆล้วนถูกสายฟ้ารวมกลุ่มส่องสว่าง เหมือนกับกล้องถ่ายรูปนับไม่ถ้วนกับลังเปิดแฟลชอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งครึ่งเค่อให้หลัง พายุฝนฟ้าคะนองที่ปกคลุมสุดลูกหูลูกตาก็อ่อนกำลังลงไม่น้อย
จากนั้นจี้หยวนกวักมือครั้งหนึ่ง เวทอัสนีที่ดูแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรสักเท่าไหร่กลับมาถึงมือแล้ว
นี่เป็นจุดที่จี้หยวนภูมิใจต่อเวทอัสนีที่สุด หลังจากปราณทั้งห้าในกายเต็มเปี่ยม จี้หยวนมีความเข้าใจใหม่กับเวทอัสนี เช่นเดียวกับเมื่อเขาดูดซับปราณสายน้ำพิสุทธิ์และฟ้าร้องที่เล็ดลอดออกมาจากโม่หรง ตอนนี้เวทอัสนีสามารถดึงดูดฟ้าร้องและสายฟ้าได้เช่นกัน
เงื่อนไขข้อแรกคือขนาดของพายุฝนฟ้าคะนองจะต้องมีขนาดใหญ่พอ หากเป็นพายุฝนฟ้าคะนองธรรมดา lkpahkที่ดูดซับไว้อาจไม่มากเท่ากับการสูญเสียเมื่อสายฟ้าฟาดกระจายไป
“ท่านอาจี้ เช่นนั้นข้าจะพัดเมฆฝนไปแล้วนะ”
“รบกวนเจ้าแล้ว!”
ธิดามังกรยิ้ม กระโจนตัวขึ้นทันที กลายเป็นมังกรเจียวตัวยักษ์ใหญ่กลางท้องฟ้า นอกจากบนตัวมังกรเจียวมีแสงสีแดงแล้ว ยังมีแสงเทพหลากสีวนเวียนอยู่โดยรอบ บินขึ้นสู่ท้องฟ้า ผ่านเข้าไปในชั้นเมฆโดยตรง
“โฮก…”
เสียงมังกรคำรามสะเทือนชั้นเมฆจนถ้วนทั่ว มองเห็นหางมังกรขนาดใหญ่กวาดไปมาอยู่ระหว่างเมฆเลือนราง พาให้ชั้นเมฆเปลี่ยนเป็นรูปร่างของหางมังกรด้วย
ไม่นานนักฝนตกหนักก็หยุดลง จากนั้นชั้นเมฆค่อยๆ สลายตัว เผยให้เป็นท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวอยู่เบื้องหลัง
อิงรั่วหลีบินวนรอบท้องฟ้ารอบหนึ่ง ฝนฟ้าคะนองหายไปแล้วทว่าไม่ได้หยุดทันที เมื่อมองไปยังที่ไกล ตรงนั้นมีเรือเหาะแล่นอยู่บนท้องฟ้า ความยาวของมันจากหน้าไปถึงหลังประมาณหนึ่งลี้ได้
สายตาของจี้หยวนมองไปยังเรือเหาะที่อยู่ไกลๆ เช่นกัน เมื่อครู่ถูกพายุฟ้าคะนองกีดขวาง แม้แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าไกลออกไปมีเรือเหาะอยู่ลำหนึ่ง เห็นท่าทางและแสงธรรมที่แผ่ออกมาจางๆ เขาพึมพำอย่างอดไม่ได้
“เห็นทีเป็นยานข้ามแดน”
อีกด้านหนึ่ง หน้ายานข้ามแดนรู้สึกได้ว่าพายุท่ามกลางเมฆข้างล่างอ่อนกำลังลงแล้ว อีกทั้งรู้สึกได้ว่าอาจเกิดเรื่องผิดธรรมดาขึ้น จากนั้นมองเห็นมังกรเจียวตัวหนึ่งบินวนเวียนกลางกลุ่มเมฆ ขับไล่เมฆฝนไปได้ในเวลาอันสั้น
เรือข้ามฟากย่อมเป็นเครื่องมือข้ามแดนไกลที่สร้างโดยผู้ฝึกปราณ แต่ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกปราณหรือผู้ฝึกปราณสำเร็จแล้วทั้งหมด นอกจากผู้ฝึกปราณระดับต่ำแล้ว ถึงขนาดนี้คนธรรมดาจำนวนมาก
คนกลุ่มหนึ่งบนเรือในตอนนี้มองมังกรเจียวข้างหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นทันควัน
“มังกร! มีมังกร! มาดูกันเร็ว มังกรตัวใหญ่มาก!”
“ไหน”
“นั่นๆ ตรงนั้น!”
“รีบมาดูสิ…รีบไปเรียกพี่น้องมาดูด้วย!”
“สวรรค์ ที่แท้มังกรตัวใหญ่ขนาดนี้เชียว เป็นมังกรเจียวหรือมังกรแท้กัน”
กาบเรือทั้งสองข้างมีคนรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งผู้อาวุโสและเด็ก มีทั้งคนใจเย็นและตื่นเต้น ไม่นานนักผู้ฝึกเซียนบนยานข้ามแดนก็หายตัวมาข้างหน้าแล้วตะโกนเสียงดัง
“ทั้งหมดเงียบ! อย่ารบกวนมังกรเจียวในทะเล!”
เซียนอีกคนหนึ่งก็หมุนกายปรากฏตัวข้างๆ ผู้ฝึกเซียนสวมหมวกสูงก่อนหน้านี้
“ศิษย์พี่ มังกรเจียวตัวนี้ไร้เขา แสงสีรุ้งฉายชัดทั่วกาย เห็นทีจะเป็นมังกรเจียวไร้เขาในตำนานกระมัง”
“ไม่ผิดแน่ มังกรเจียวชั่วร้ายนับว่าหายาก ขอเพียงไม่จู่โจมอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเป็นอะไร!”
หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง มังกรเจียวตัวนั้นหันมองมาพอดี สองคนไม่กล้าประมาท โค้งหายประสานมือพร้อมกัน นับว่าคารวะทักทายแล้ว
อิงรั่วหลีมองเรือเหาะไกลๆ อย่างเรียบเฉย จากนั้นลงจากท้องฟ้า แปลงกายเป็นคนตกลงบนหลังวาฬอีกครั้ง
จนกระทั่งตอนนี้ ผู้ฝึกเซียนบนเรือเหาะที่สายตาดีเกินใครถึงพบว่าบนผิวน้ำทะเลมีวาฬยักษ์ตัวหนึ่ง บนตัวมันตั้งไว้ด้วยโต๊ะหนังสือ นอกจากมังกรเจียวไร้เขาที่แปลงกายเป็นสตรีสวมชุดผ้าไหมยาวพลิ้วไสว ยังมีอีกคนหนึ่งกำลังไพล่หลังเงยหน้ามองมาทางเรือเหาะ บนมือที่ไพล่หลังอยู่นั้นถือพู่กันด้ามหนึ่ง ชัดเจนว่าคนที่เขียนตัวอักษรบนโต๊ะหนังสือคือคนคนนี้