ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊ – ตอนที่ 126

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

 

เช้าตรู่ของสัปดาห์ที่สามหลังจากเริ่มบู้ตแคมป์

เฮเลนาฝึกฝนในส่วนของตนเองจนจบเหมือนเช่นเคย จากนั้นเมื่อฟ้าเริ่มสว่างเธอก็รวบรวมสมาธิ

ช่วงเวลาที่เหลือคืออีกหนึ่งสัปดาห์

อันที่จริงบู้ตแคมป์นั้นจะต้องดำเนินการยาวนานเป็นเวลาสามเดือน แต่คราวนี้กลับเป็นช่วงสั้น ๆ เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ถึงกระนั้น เฮเลนาก็คิดว่าเธอได้ค้นหาจุดเด่นของเหล่าเด็กสาว พัฒนามัน แล้วก็ขัดเกลาให้พวกเธอเป็นทหารเต็มตัวได้อย่างเหมาะสมแล้ว

ดังนั้น

 

“ทุกคน ตื่นนอน!!”

 

“ค่ะ!!”

 

เมื่อได้ฟังคำของเฮเลนาทั้งห้าก็เด้งลุกขึ้นมาในทันที แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปเป็นชุดสำหรับการฝึกอบรมอย่างคล่องแคล่วว่องไว

จากนั้นเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ ก็ก้าวออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าวตามลำดับ มายืนเรียงแถวหน้ากระดานกันโดยแทบไม่เสียเวลาเลย

 

“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”

 

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ! ท่านเฮเลนา!”

 

“ทุกคนไปรวมพลกันที่สวน”

 

“ค่ะ!!”

 

ไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งอะไรมากไปกว่านั้น พวกเธอก็มุ่งไปยังสวนระหว่างอาคารกันอย่างพร้อมเพรียงไม่มีแตกแถว

เฮเลนาเองก็ตามไปด้านหลัง และเมื่อมาถึงสวนระหว่างอาคารพวกเธอก็ยืนเข้าแถวหน้ากระดานกันโดยไม่ต้องให้บอกอะไรเลย

การที่ไม่ต้องสั่งอะไรก็ยังเคลื่อนไหวกันไปได้เช่นนี้นับว่าน่าดีใจอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งที่น่าดีใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนั้นก็คือสีหน้าแววตาของทุกคนที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจนั่นเอง

เฮเลนาพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการฝึกวิ่งเหมือนเช่นเคย

 

“เอาล่ะฟรองซัวส์เป็นหัวแถว วิ่งได้!”

 

“ค่ะ!!”

 

แม้ในตอนแรกพวกเธอจะมีความแตกต่างในด้านพลังกายอยู่ แต่ตอนนี้ก็สามารถวิ่งไปพร้อมกันได้โดยไม่เสียจังหวะแล้ว

เฮเลนาวิ่งไปพร้อมกันอยู่ด้านข้างของพวกเธอเหล่านั้น

จากนั้นก็—ร้องเพลง

 

“หน่วยพยัคฆ์แดงเลือดใหม่แรงฤทธิ์!”

 

“หน่วยพยัคฆ์แดงเลือดใหม่แรงฤทธิ์!!”

 

“เสือแดงพุ่งปลิดชีพขย้ำคอมัน!”

 

“เสือแดงพุ่งปลิดชีพขย้ำคอมัน!!”

 

“หน่วยพยัคฆ์แดงกุมหอกให้มั่น!”

 

“หน่วยพยัคฆ์แดงกุมหอกให้มั่น!!”

 

“เสือแดงบุกสะบั้นกระชากแนวศัตรู!”

 

“เสือแดงบุกสะบั้นกระชากแนวศัตรู!!”

 

เฮเลนาร้องเพลงขับร้องปลุกใจประจำกองอัศวินพยัคฆ์แดง “เกียรติภูมิพยัคฆ์แดง” โดยมีเด็กสาวทั้งห้าคนคอยร้องตามไปเรื่อย ๆ

 

 

แม้ที่นี่จะไม่ใช่กองอัศวินพยัคฆ์แดง แต่น่าเสียดายที่เฮเลนาไม่รู้จักเพลงขับร้องอื่นนอกจากของกองอัศวินพยัคฆ์แดงเลย

และแล้วเมื่อสิ้นสุดการฝึกวิ่งก็เข้าสู่การฝึกฝนกล้ามเนื้อพื้นฐาน ทุกคนสามารถวิดพื้น ซิตอัป และสควอตได้เป็นจังหวะพร้อมเพรียงกัน โดยเฮเลนาก็คอยปรบมือให้จังหวะไปด้วย

อาจเป็นเพราะอยู่ในวัยกำลังโตกระมัง ตอนนี้พวกเธอทุกคนจึงมีพลังกายมากพอที่จะทำได้ถึงอย่างละสองร้อยครั้งกันแล้ว

 

จากนั้นเป็นการฝึกฝนศิลปะวิชาในช่วงบ่าย

 

“ฟรองซัวส์! ตั้งใจดูการเคลื่อนไหวของศัตรูให้มากกว่านี้! ศัตรูมันไม่หยุดเป็นเป้านิ่งให้หรอกนะ!”

 

“ค่ะ!!”

 

บางครั้งก็เป็นการฝึกอบรมโดยให้ฟรองซัวส์ยิงธนูใส่ชิ้นไม้ที่เฮเลนาขว้างออกไป

 

“มาริเอล! การเคลื่อนไหวระดับนั้นหลอกล่อศัตรูไม่ได้หรอกนะ! เคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นอีก!”

 

“ค่ะ!!”

 

บางครั้งก็ให้มาริเอลฝึกซ้อมกับเฮเลนาแบบเอาจริงเพื่อเสริมสร้างความต้องการที่จะพัฒนาฝีมือตนเอง

 

“ชาร์ลอตเต! อย่าละเลยการป้องกัน! แค่การมองแยกแยะในชั่วพริบตามันเอาตัวรอดในสมรภูมิไม่ได้หรอกนะ!”

 

“ค่ะ!!”

 

อัดชาร์ลอตเตให้ร่วงไปกองกับพื้นด้วยการโจมตีต่อเนื่องเป็นชุดจนมองแยกแยะไม่ทัน

 

“คลาริสซา! ต่อให้ควบคุมม้าได้ดังใจแต่ถ้าคนบนหลังม้าเคลื่อนไหวไม่ได้เรื่องมันก็ไม่มีความหมาย รู้ไว้ซะด้วย!

 

“ค่ะ!!”

 

บางครั้งก็สอนวิธีใช้หอกยาวต่อสู้บนหลังม้าให้กับคลาริสซา แล้วก็จัดการฟาดให้ร่วงลงมาทุกรอบ

 

“แองเจลิกา! อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ! เจ้าเองก็ต้องมีวิธีการต่อสู้ของตัวเองอยู่แน่! ไม่มีใครมาสอนให้ได้หรอกนะ!”

 

“ค่ะ!!”

 

บางครั้งก็พยายามค้นหาว่าแองเจลิกามีพรสวรรค์อะไรบ้างหรือไม่

 

เวลาได้ล่วงเลยไปอย่างคุ้มค่า

และแล้วเมื่อใกล้จะได้เวลาอาหารมื้อเย็น เฮเลนาก็อนุญาตให้ทั้งห้าคนนั่งลงในสวนระหว่างอาคาร

เธอยืนตรงหน้าทั้งห้าคนแล้วก็ยิ้มออกมา

 

“อืม……พวกเจ้าทุกคน สีหน้าแววตาเริ่มดูดีกันขึ้นมาบ้างแล้วนะ!!”

 

“ขอบพระคุณค่ะ!”

 

“เช่นนั้น ระหว่างที่พักเหนื่อย เรามาคุยกันสักหน่อยดีกว่า”

 

ระหว่างที่มองดูทั้งห้าคนไปพลาง เฮเลนาก็นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้

แม้แต่เฮเลนาเอง ตอนที่เข้าประจำหน่วยใหม่ ๆ ก็ยังอ่อนเยาว์ ไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับกองทัพเลย ในตอนที่เข้ารับการฝึกทหารใหม่เป็นเวลาสามเดือน แม้เธอจะเป็นสตรีแต่ก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางบุรุษทั้งมวล

เพราะมีวันเวลาเหล่านั้น เฮเลนาจึงมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้

แม้เธอจะเคยชิงชังครูฝึกผู้เข้มงวดมาก่อน แต่พอมานึกดูตอนนี้กลับมีเพียงความรู้สึกขอบคุณจากใจเท่านั้น

 

“เอาล่ะ ฟรองซัวส์”

 

“ค่ะ!!”

 

“อะไรคือสิ่งที่จะปกป้องเจ้าในสนามรบ”

 

“ค ค่ะ!! นั่นมันก็……เอ่อ! โล่กับชุดเกราะค่ะ!”

 

“ก็จริงตามนั้น โล่และชุดเกราะช่วยรับคมดาบของศัตรู ปกป้องร่างกายของเราไว้ได้”

 

ฟรองซัวส์ลูบอกเหมือนกับโล่งใจ

โล่กับชุดเกราะคือยุทโธปกรณ์พื้นฐาน หากไม่มีมันก็อาจถูกสังหารได้ด้วยศรดอกเดียว ทั้งยังไม่สามารถป้องกันคมดาบได้

 

“มาริเอล”

 

“ค่ะ!!”

 

“เช่นนั้นแล้ว หากมีโล่กับชุดเกราะแล้ว คิดว่าจะได้รับชัยชนะในสมรภูมิหรือไม่”

 

“ไม่คิดค่ะ!”

 

“ทำไมกันล่ะ”

 

“ต่อให้สามารถป้องกันตนเองจากคมดาบของศัตรูได้ แต่หากคมดาบของเราไปไม่ถึงก็ไม่อาจเอาชนะศัตรูได้ค่ะ!”

 

“ก็จริงตามนั้น หมายความว่า ดาบของเรา อาวุธของเราก็ช่วยปกป้องเราด้วยเช่นกัน”

 

หากเอาแต่ป้องกันก็ไม่สามารถโค่นศัตรูได้

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การสังหารศัตรูเพื่อปกป้องตนเองก็เป็นหนึ่งในสัจธรรม ฆ่าก่อนที่จะถูกฆ่า แม้มันจะเป็นวิธีคิดที่ดูป่าเถื่อน แต่ก็ไม่ใช่วิธีคิดที่ผิดอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน ทหารที่ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนั้นได้ย่อมแข็งแกร่ง นั่นก็เป็นอีกหนึ่งสัจธรรมเช่นกัน

 

“ชาร์ลอตเต”

 

“ค่ะ!!”

 

“เช่นนั้นแล้วหากทหารสวมเกราะกับโล่และถือดาบไว้ในมือจะสามารถได้รับชัยชนะหรือไม่”

 

“ไม่ได้เจ้าค่ะ!”

 

“ทำไมกันล่ะ”

 

“การต่อสู้ต้องใช้ยุทธวิธีด้วยเจ้าค่ะ! ต้องต่อสู้ด้วยยุทธวิธีที่ยอดเยี่ยม จึงจะสามารถได้รับชัยชนะเจ้าค่ะ!”

 

“ก็จริงตามนั้น หากเป็นการสู้ในระดับตัวต่อตัว แค่มีอาวุธกับเครื่องป้องกันก็สามารถสู้ได้ ทว่าการสู้รบเป็นกลุ่มนั้นจะขาดยุทธวิธีไปไม่ได้”

 

‘อืม’ เฮเลนาพยักหน้า

ทหารเพียงคนเดียวย่อมไม่สามารถคิดได้ แต่ชัยชนะในศึกสงครามนั้นพูดอีกอย่างก็คือชัยชนะในด้านยุทธวิธีนั่นเอง ต่อให้ได้รับความเสียหายมากเท่าไร หากบรรลุวัตถุประสงค์เราก็จะสามารถคว้าชัยชนะมาได้

ทว่า ยังหรอก นี่ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

 

“คลาริสซา”

 

“ค ค่ะ!!”

 

“เช่นนั้น ขอแค่ทหารสวมเกราะกับโล่ ถือดาบในมือ และมียุทธวิธีที่ยอดเยี่ยม เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเอาชนะได้รึไม่”

 

“ค คิดว่าไม่ได้ค่ะ!”

 

“ทำไมกันล่ะ”

 

“ข้าคิดว่าต้องมีความสามัคคีค่ะ! จำเป็นต้องร่วมมือกับพรรคพวกด้วยค่ะ!”

 

“ก็จริงตามนั้น ต่อให้มียุทธวิธีที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน หากทหารหย่อนยานในความสามัคคีมันก็ไม่มีประโยชน์”

 

ค่อย ๆ เข้าใกล้คำตอบที่ถูกต้องไปทีละก้าว

การกระทำของทหาร พูดอีกอย่างก็คือการกระทำเป็นกลุ่ม มันต้องมีการร่วมมือประสานกันอย่างละเอียดละออ มีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน กลุ่มนั้นจึงจะสามารถสำแดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

ดังนั้นเฮเลนาจึงได้ฝึกให้ทั้งห้าคนมีความสามัคคีและเชื่อใจซึ่งกันและกันมากขึ้นเช่นนี้

 

“แองเจลิกา”

 

“ค่ะ!!”

 

“เช่นนั้นแล้ว ขอแค่ทหารสวมเกราะกับโล่ ถือดาบในมือ มียุทธวิธีที่ยอดเยี่ยม และมีความสามัคคีที่ไม่สั่นคลอน เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเอาชนะได้รึไม่”

 

“อุ……ร เรื่องนั้น……”

 

“ตอบมาสิ”

 

“ม ไม่ทราบค่ะ!!”

 

“ใช่แล้วล่ะ”

 

เฮเลนายอมรับคำตอบของแองเจลิกา

แองเจลิกาเองเมื่อเห็นว่าเฮเลนายอมรับแบบนั้นก็ทำตาโตร้อง ‘เอ๊ะ’ อย่างชัดเจน เพราะโดยปกติแล้วหากโดนถามอะไรแล้วไม่สามารถตอบได้ เฮเลนาก็จะลงโทษพวกเธอเสมอ

ทว่า คำตอบของแองเจิลกานั่นเอง ที่เป็นจิ๊กซอชิ้นสุดท้ายอันนำไปสู่คำตอบที่ถูกต้อง

 

“ท้ายที่สุดแล้ว ศึกสงครามมันก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน กองทัพที่สู้ชนะเสมอไปน่ะไม่มีอยู่จริงหรอก เช่นนั้นแล้วหากถามว่าอะไรคือปัจจัยที่มีอิทธิพลเป็นอย่างสุดท้าย……คำตอบก็คือโชคไงล่ะ”

 

“ช โชค……?”

 

“ใช่แล้ว คำพูดที่ตอบกันออกมาเมื่อครู่……ยุทโธปกรณ์ ยุทธวิธี ความสามัคคี……มันคือสิ่งที่ตระเตรียมไว้เพื่อลดปัจจัยของโชคให้ต่ำที่สุดนั่นเอง ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็ยังต้องมีการเสี่ยงโชคฝากชะตาไว้กับฟ้ากับสวรรค์ไม่น้อยอยู่ดี”

 

แม้แต่ในสมรภูมิที่เฮเลนาใช้ชีวิตผ่านมา ก็มีนับครั้งไม่ถ้วนที่รอดมาได้เพราะโชคช่วย

มีหลายสถานการณ์ที่หากถูกโชคทอดทิ้ง เธออาจตายไปแล้วก็ได้

เพราะเคยผ่านสมรภูมิเช่นนั้นมา คำพูดของเฮเลนาจึงมีน้ำหนักยิ่ง

 

“เช่นนั้นแล้ว หากไม่ต้องการให้โชคชะตาทอดทิ้ง คิดว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดกันล่ะ”

 

“……”

 

ไม่มีเสียงตอบรับคำถามของเฮเลนา

ก็เป็นธรรมดาที่จะเป็นเช่นนี้ การดึงดูดปัจจัยที่มองไม่เห็นด้วยตาอย่างโชคเอาไว้กับตัว มันย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นความเชื่อที่เฮเลนายึดมั่น

 

“มันคือการเชื่อมั่นในตนเองไงล่ะ”

 

“เชื่อมั่นในตนเอง…..หรือคะ?”

 

“อา ในสมรภูมินั้น ผู้ที่ยอมแพ้ย่อมหมดกำลังใจและตกตายไปก่อน ดังนั้นตราบเท่าที่เรายังไม่ล้มเลิกที่จะมีชีวิตอยู่ ต่อให้เจอสถานการณ์เช่นไรก็สามารถตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ว่าจะเอาชีวิตรอดไปให้ได้ สิ่งที่จำเป็นการนั้น ก็คือการเชื่อมั่นในตนเองนั่นเอง”

 

‘ควับ’ เฮเลนายกมือขวาขึ้นมา

และสายตาของทั้งห้าต่างก็ถูกดึงดูดมาที่มือของเฮเลนา

 

“ทุกคน จงมองดูข้างกายให้ดี”

 

“……”

 

“ตรงนั้นมีใครอยู่กัน แน่นอนว่าเป็นสหายร่วมรบของพวกเจ้าไงล่ะ และสหายร่วมเหล่านั้นรบต่างก็เชื่อมั่นในพวกเจ้าเช่นกัน ดังนั้น—”

 

ฟรองซัวส์ คลาริสซา มาริเอล ชาร์ลอตเต แองเจลิกา

สายตาของทั้งห้าต่างก็สอดประสานกันไปมาในกลุ่มทั้งห้าคน

 

“จงเชื่อมั่นในตัวเจ้าที่สหายร่วมรบเชื่อมั่น เมื่อใดที่รู้สึกสงสัยในตนเองก็จงคิดถึงสหายร่วมรบ เมื่อใดที่รู้สึกท้อถอยอยู่ในห้วงลึกของความเป็นความตายก็จงคิดถึงสหายร่วมรบที่กำลังรอเจ้ากลับไป เชื่อมั่นในตนเองและเชื่อมั่นในสหาย หากทำเช่นนั้นได้ เจ้าก็จะไม่มีทางยอมแพ้”

 

หากบอกว่านี่เป็นทฤษฎีที่สอนความทรหดอดทนอย่างเดียว มันก็อาจจะจริง

แต่ความเข้มแข็งของจิตใจคนเรา มันก็เชื่อมโยงไปถึงความเป็นความตายในสนามรบโดยตรง

และมนุษย์โดยปกติแล้ว หากไม่ใช่คนที่มีความหลงตัวเองอย่างล้นเหลือ ย่อมไม่สามารถเชื่อมั่นในตนเองโดยไม่ตั้งคำถามอะไรเลยไปได้อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น

ตัวตนที่ไม่อาจทดแทนอย่างสหายร่วมรบนี่แหละ จะช่วยมอบพลังในการมีชีวิตอยู่ได้

 

“เอาล่ะ ดูเหมือนจะนอกเรื่องไปไกลเกินแล้วสินะ การฝึกที่เหลืออีกหนึ่งสัปดาห์……จงตามมาให้สุดชีวิตซะ!”

 

“ค่ะ!!”

 

“เช่นนั้นก็กลับไปที่ห้องของข้า แล้วก็อาบน้ำหลังอาหารเย็น! ไปได้!”

 

“ค่ะ!!”

 

เฮเลนามองดูแผ่นหลังของทั้งห้าที่ตอบกลับมาอย่างว่าง่ายแล้วก็พากันจากไป จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา

หากมันดำเนินต่อไปแบบนี้ ทั้งห้าคงจะสามารถสำเร็จการศึกษาได้อย่างเรียบร้อยดีแน่นอน

และเมื่อถึงเวลานั้น

 

ก่อนให้รางวัล เธอจะเข้าไปกอดทุกคนทีละคนด้วยก็แล้วกัน—

 

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

ตำนานวังหลังของพระชายาขาบู๊

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท