ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ – ตอนที่ 53

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

​            ขอบคุณทุกท่านที่เข้าสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

 

​            วันหยุดฤดูร้อนแรกในฐานะเด็ก ม.ปลายของฉันเดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว

​            ไม่รู้เพราะว่าเป็นปิดเทอมหน้าร้อนหรือเป็นเพราะว่าตัวฉันยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ฉันจึงได้รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองวุ่นๆ จนไม่ได้มีเวลาว่างๆ มานั่งๆ นอนๆ เหมือนอย่างตอนนี้เท่าไร

​            พอได้กลับมาใช้เวลาว่างๆ หลบร้อนนอนตากลมเครื่องปรับอากาศตัวฉันที่กำลังรอให้ค่ำไวๆ อยู่ในห้องจึงได้เริ่มพิจารณาชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของตัวเอง

​            แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นฤดูร้อนที่ซาบซ่ามีกลิ่นโซดาเลม่อนเหมือนวัยรุ่นเทสดีคนอื่นๆ แต่ฤดูร้อนนี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายซะจนฉันหาเวลาทำการบ้านและทบทวนบทเรียนสำหรับเทอมหน้าแทบจะไม่ทัน

​            ทั้งงานของคณะกรรมการสภานักเรียนที่มีเข้ามาให้ช่วยบ่อยๆ จนช่วงครึ่งหลังของปิดเทอมมานี้ฉันไปโรงเรียนเกือบทุกวัน

​            บางวันก็ไปเที่ยวกันกับเซริและพวกคุณคาวากุจิบ้างถ้าตารางว่างตรงกัน ถึงช่วงเทศกาลโอบ้งจะต่างคนต่างแยกย้ายเลยไม่ได้มาเจอกันอีก แต่ตอนนี้ก็น่าจะกลับมากันแล้ว ไม่แน่อีกวันสองวันนี้อาจจะนัดเจอกันอีกก็ได้

​            อ่อ… แล้วก็ยังมีเหตุการณ์ที่ไปเที่ยวทะเลตอนปิดเทอมใหม่กับพวกคนที่ติวสอบด้วยกัน แต่อันนั้นมีเรื่องไม่ดีเยอะกว่าเรื่องดีๆ เพราะงั้นข้ามไป

​            คิดไปคิดมาชีวิตช่วงปิดเทอมก็มีอยู่แค่นี้เอง รวมเรื่องการบ้านและทบทวนเนื้อบทเรียนล่วงหน้าด้วยแล้วก็ดูไม่เยอะอะไร

​            “แล้วทำไมปิดเทอมมันหมดไวจัง รู้สึกเหมือนยังไม่ได้พักเลย”

​            ฉันที่นอนพิจารณาการใช้ชีวิตของตนเองได้ข้อสรุปนั้นออกมาแบบงงๆ สุดท้ายก็เลิกสนใจหัวข้อเรื่องการใช้ชีวิตไปและหันไปสนใจหัวข้อที่น่าตื่นเต้นกว่าแทน

​            นั่นก็คือ เทศกาลดอกไม้ไฟในคืนนี้นั่นเอง

​            ถ้าพูดถึงฤดูร้อนของเด็ก ม.ปลาย หนึ่งในอีเวนต์หลักที่ทุกรอมคอมต้องมีคือเทศกาลดอกไม้ไฟ

​            และฉันที่เพิ่งจะเคยเป็นเด็ก ม.ปลาย ก็สนใจอีเวนต์นี้มากๆ

​            ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นเด็ก ม.ปลาย แล้วอยากจะให้มีเหตุการณ์แบบในนิยายหรือมังงะหรอกนะ แต่ขึ้นชื่อว่างานเทศกาลแล้วความสนุกมันต้องมาก่อนอยู่แล้ว ประกอบกับปกติที่บ้านฉันจะไปงานเทศกาลแบบนี้กันทุกปีเป็นประจำอยู่แล้ว ถึงช่วงหลังๆ มานี่พ่อกับแม่จะขี้เกียจไปเลยเหลือแค่ฉันกับพี่ แต่เราก็ยังไปกันตลอด

​            แถมปีนี้เห็นว่าจะมีการจัดงานที่ใหญ่กว่าทุกปี ตอนที่เห็นโปสเตอร์ประกาศก็นึกอยากไปแล้ว แต่ก็คิดว่าพี่ที่ตอนนี้วุ่นๆ เรื่องงานอาจจะไม่ว่างพาไปเหมือนเมื่อก่อน

​            แต่ตอนนี้ความกังวลนั่นมลายหายไปหมดแล้วเพราะเมื่อเช้านี้พี่มาชวนฉันไปเที่ยวงานเทศกาลแล้วนั่นเอง ฮิๆๆ

​            ฉันนอนคิดถึงความสนุกของงานเทศกาล พลางคิดว่าจะกินอะไรดีถ้าไปถึงที่งานแล้วอยากจะทำอะไรก่อน คิดแล้วก็หลับไปซะงั้น

​            สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่พี่สาวมาเคาะประตูบอกว่าจะออกไปแล้ว

​            ฉันคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดูเวลา เห็นว่าตัวเลขแสดงผลที่หน้าจอโทรศัพท์บอกเวลา 17 : 27 ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองหลับไปเกือบๆ 3 ชั่วโมง

​            แต่ไม่มีเวลากังวลเรื่องนั้น ฉันลุกจากที่นอนโดยไม่สนใจผ้าห่ม พุ่งตัวออกจากห้องมุ่งตรงไปห้องน้ำทันที เสร็จสรรพเรียบร้อยใช้เวลารวมครึ่งชั่วโมง และตอนนี้ฉันก็มานั่งอยู่ในรถกับพี่พร้อมสำหรับการเดินเที่ยวงานเทศกาลกันแล้ว

​            บ้านกับวัดที่จัดงานอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ขับรถไปราวๆ ยี่สิบนาทีก็ถึง จากนั้นก็ต้องจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเดินเข้าไปในงาน

​            ทันทีที่เข้ามาถึงบริเวณจัดงานฉันก็ถูกบรรยากาศของงานเทศกาลชักนำไปในทันที มองดูจากจำนวนผู้คนและร้านรวงที่มาก็รู้ได้เลยว่าปีนี้จัดใหญ่กว่าปีก่อนๆ จริงๆ

​            ฉันกับพี่ตัดสินใจเดินเข้าไปในงานโดยเลี่ยงไม่สนใจบรรดาร้านต่างๆ ที่อยู่ข้างนอกๆ เพราะจากประสบการณ์อันโชกโชนแล้ว เดี๋ยวข้างในงานใกล้ๆ วัดก็มีของคล้ายๆ กันขายอีกอยู่ดี จะรีบซื้อตอนนี้มันก็จะต้องลำบากถือไปด้วย เดินลำบาก

​            แต่ฉันคิดผิด

​            ความยั่วยวนและบรรยากาศในงาน ชักนำฉันจนต้องมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านยิงปืนอัดลมร้านหนึ่งทั้งที่ยังเดินไปได้ไม่ถึงไหน

​            บนชั้นวางรางวัลนั่นมีสิ่งที่ยั่วยวนฉันจนไม่อาจละสายตาได้วางนิ่งอยู่

​            “พี่คะ ขอลองสักหน่อยนะ แบบว่านั่นน่ะ รุ่นลิมิเต็ดเลยนะคะ”

​            พี่สาวมองไปยังรางวัลที่ล่อลวงฉันมาก่อนมองมาที่ฉันด้วยสายตาระอาปนเหนื่อยหน่าย

​            “ในห้องยังมีที่พอให้เก็บอีกหรอ?”

​            “โถ่พี่ นี่มันพวงกุญแจนะ มันเอาไว้ห้อยกระเป๋า ไม่ได้เอาไว้เก็บในห้อง”

​            ฉันเถียงพี่สาวกลับไปแต่กลับได้สายตาเอือมระอากลับมาแทน

​            “จัดการเองนะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำแข็งใสก่อน”

​            “โอเคค่าาาา”

​            ฉันมองส่งพี่สาวที่เดินส่ายหน้าหายไปท่ามกลางผู้คนแล้วจึงหันกลับมาสนใจรางวัลตรงหน้าตัวเองต่อ

​            พวงกุญแจแฟรี่แบร์รุ่นลิมิเต็ดที่แม้ราคาจะไม่ได้สูงมากเมื่อตอนวางจำหน่าย แต่เพราะทำมาจำกัดตอนนี้จึงหาซื้อไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยลองเข้าไปหาดูในเน็ตเผื่อจะมีใครขายแต่ก็หาไม่เจอเลย

​            ฉันเรียกพี่ชายเจ้าของร้านที่กำลังส่งมอบกระสุนให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่พลางล้วงกระเป๋าหาเงิน

“เอ๊ะ?”

​            กระเป๋าที่ว่างเปล่าทำเอาใจฉันลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั่งรถมาตัวเองวางโทรศัพท์ไว้ในรถ กระเป๋าตังค์ก็ลืมเอามาตั้งแต่แรกเพราะรีบ

​            สุดท้ายก็ล้วงไปเจอเหรียญ 500 เยน ในกระเป๋าเสื้อคลุม ก่อนจะส่งไปให้เจ้าของร้าน

​            “จัดมาเลยค่ะ 5 ชุด”

​            ตามคำขอ เหรียญ 500 เยน เปลี่ยนเป็นกระสุนปืน 25 นัดวางอยู่ตรงหน้าฉัน

​            ฉันหยิบปืนขึ้นมาด้วยความฮึกเหิม บรรจงบรรจุกระสุนปืนแล้วยกปืนขึ้นประทับบ่า

​            ถ้ามีการให้รางวัลสำหรับท่ายิงล่ะก็ ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะได้รางวัลติดไม้ติดมือมาบ้างแน่ๆ

​            แป๊ะ…

​            กระสุนนัดแรก… ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด

​            ฉันพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยความฮึกเหิมไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

​            แป๊ะ…

​            [‘แค่ลองวิถีกระสุนหรอก’]

​            แป๊ะ…

​            [‘ฮึ่มมม…ยังหรอกน่า’]

​            แป๊ะ…

​            [‘อีกนิดนึงน่า..’]

​            แป๊ะ…

​            [‘ปืน!! เปลี่ยนปืน…’]

​            ฉันวางปืนลงแล้วเปลี่ยนเอาปืนอันใหม่มาบรรจุกระสุนแทน รู้สึกได้ถึงสาวตาเจ้าของร้านที่เหมือนจะมองมาด้วยรอยยิ้ม

​            พอตั้งท่าจัดทางได้แล้วก็ลั่นไก

​            แป๊ะ… ป๊อก…

​            “อ๊ะ!”

​            กระสุนปืนเฉียดต่ำกว่าเป้ามาเล็กน้อยไปชนเข้ากับชั้นวางเข้าอย่างจัง ความฮึกเหิมที่ตอนแรกเริ่มมอดดับกลับมาลุกโชนอีกครั้ง

​            “อามายะ พี่ไปคุยงานแปบนะ อย่าไปไหนนะ พี่ขี้เกียจเดินหา”

​            พี่สาวที่กลับมาตอนไหนไม่รู้บอกฉันที่กำลังเล็งเป้าอยู่ ฉันรับคำพี่พลางยิงออกไปอีกนัด

​            แป๊ะ…

​            อีกนัด…

​            แป๊ะ…

​            แป๊ะ…

​            แป๊ะ…แป๊ะ…แป๊ะ…

​            จนแล้วจนรอดฉันก็ทำได้เพียงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาโดยไม่มีกระสุนนัดไหนเลยที่โดนเป้า

​            เงิน 500 เยนสุดท้ายของฉัน ฮือออ…

​            ฉันถอยออกมาให้พ้นจากหน้าร้านเพื่อไม่ให้ขวางทางลูกค้าคนอื่นๆ พลางยืนรอพี่ไปด้วย ตอนนี้ทั้งตัวไม่มีเงินเหลือสักเยน รอให้พี่มาก่อนแล้วค่อยขอเงินพี่อีกที

​            คิดแล้วก็รู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะตัวเองไม่ต้องจ่ายเงินเอง เดี๋ยวตอนเดินเข้าไปข้างในก็ให้พี่เลี้ยง อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ หุๆๆ

​            [‘เดี๋ยวกินอะไรดีน้า… หมึกย่างก็น่าอร่อย ทาโกะยากิด้วย อ๊ะ แอปเปิลเคลือบน้ำตานั่นก็ดูดีไม่เลว…’]

​            คิดถึงของกินพลางสอดส่ายสายตามองหาพี่สาว

​            [‘ไปนานจังเลยแฮะ หรือว่าคนเยอะเลยเดินได้ช้ากันนะ’]

​            พอยังไม่เห็นพี่สาวมาฉันก็หันกลับไปมองพวงกุญแจนั่นอีกรอบ เจ้าแฟรี่แบร์นั่นยังคงตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้น

​            ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเหมือนถูกมันเยอะเย้ย ราวกับมันต้องการท้าทายว่าอยากลองอีกสัก 25 นัดไหม ยังไงยังงั้น

​            [‘รอพี่ฉันมาก่อนเถอะ’]

​            แล้วก็มีคนมาแต่ว่าไม่พี่

​            ฉันรู้สึกได้ว่ามีคนมองอยู่ จากทางหางตาน่าจะเป็นผู้ชาย

​            [‘ไม่เคยเห็นคนหรือไงยะ’]

​            ฉันคิดแบบนั้นแล้วก็หันไปจ้องเขาตรงๆ กะว่ามองด้วยสายตาที่แสดงความสงสัยไปเต็มที่ เขาจะได้รู้ว่าเรารู้ตัวว่าเขามองอยู่

​            แวบแรกที่เห็นคือผู้ชายร่างสูงเพรียวในชุดจิมเบอิสีน้ำเงินเข้ม ยืนเอามือล้วงกระเป๋าเหมือนพวกจิ๊กโก๋

​            พอไล่สายตาขึ้นไปที่ใบหน้าของเขานั่นทำให้ฉันต้องประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะมายืนอยู่ตรงนี้

​            อาคิยามะ เออิชิ ชายหนุ่มผู้เป็นรุ่นน้องของคุณนาคาจิมะผู้เป็นแฟนหนุ่มของรุ่นพี่คาวากุจิกำลังยืนมองฉันอยู่

​            “นายมาได้ไงเนี่ย?”

​            ฉันเอ่ยปากทักเขา จะบอกว่าตั้งใจทักก็ไม่ได้ อารมณ์คล้ายๆ บังเอิญเจอเพื่อนแล้วทักทายกันง่ายๆ มากกว่า

​            แต่ว่าหลังทักไปแล้วอาคิยามะก็ยังนิ่ง เขามองฉันเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว ในแววตาเหมือนแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มขี้แกล้ง

​            ฉันยกมือขึ้นมาโบกตรงหน้าเขา เช็กดูว่าสติเขายังอยู่ดีไหมเพราะเขายิ้มที่มุมปากน้อยๆ

​            “ฉันเดินมาน่ะ เธอล่ะ มายังไง?”

​            จู่ๆ ก็ตอบ ทำเอาตกใจนิดหน่อย แต่ฉันก็ยังตอบคำถามที่เขาถามกลับมาได้นะ เพียงแต่ว่าพอตอบไปแล้วก็รู้ตัวว่ากำลังโดนเขากวนประสาท

​            ถามว่ารู้ได้ยังไง หึ ก็นายนี่ยืนหัวเราะฉันต่อหน้าต่อตาแบบไม่แคร์ว่าฉันจะโกรธเลย

​            เห็นแล้วก็ชักอารมณ์ขึ้น ฉันยืนบ่นเขาตรงนั้นไปชุดหนึ่ง ถึงจะไม่ทำให้เขาสำนึกผิดแต่ก็ทำให้เขายอมตอบคำถามแรกของฉันมาดีๆ

​            “…มากับรุ่นพี่น่ะ แต่แอบหนีออกมา”

​            [‘รุ่นพี่ที่ว่านี่…’]

​            “…คุณนาคาจิมะน่ะหรอ?”

​            “อ่า ฉันโดนรุ่นพี่หลอกมาน่ะ ตัวเองมากับแฟนแท้ๆ ดันหลอกว่าจะมีคนอื่นมาด้วยซะได้”

​            “เอ๋ งั้นหรอกหรอ อ๊ะ แต่รุ่นพี่ก็มาชวนฉันเหมือนกันนะ แต่ฉันบอกว่าจะมากับพี่”

​            “อืมมม เมื่อกี้ตอนที่ฉันถามหาคนที่มาด้วยกัน รุ่นพี่ก็บอกฉันเรื่องเธอแล้ว แต่บอกแล้วมันจะได้อะไร สุดท้ายก็ให้ฉันมาเดินดูพวกรุ่นพี่พลอดรักกันอยู่ดี เธอเข้าใจใช่ไหมตอนที่ต้องอยู่กับสองคนนั้นน่ะ…”

​            ฉันนึกภาพตามที่อาคิยามะบรรยายแล้วก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา อาาา… หมอนี่น่าสงสารเหมือนกันแฮะ

​            “…ก็อย่างที่เล่าไป ตอนนี้ฉันก็แอบหนีออกมาเรียบร้อย”

​            พูดจบแล้วก็ทำหน้าภูมิใจเหมือนเด็กที่รอคำชมจากคุณครู ฉันกลั้นหัวเราะท่าทางของอาคิยามะไว้ โชคดีที่ไม่ต้องกลั้นนานเพราะเขาหันไปสนใจร้านยิงปืนก่อน ไม่งั้นต้องโดนเขาจับได้แน่ๆ

​            อาคิยามะเรียกเจ้าของร้านแล้วซื้อกระสุนปืนมาชุดนึง ไม่รู้ทำไมเจ้าของร้านถึงมองมาที่ฉันก่อนจะส่งกระสุนปืนไปให้เขา

​            ฉันเห็นเขายืนมองปืนที่วางอยู่ตรงหน้า อยากจะเข้าไปบอกเหลือเกินว่ากระบอกไหนยิงดีแต่เห็นเขาหยิบกระบอกหนึ่งขึ้นมาใส่กระสุนแล้วลองตั้งท่าเล็ง

​            เห็นท่าเล็งนั่นแล้วฉันก็เกิดความหวังขึ้นมาริบหรี่ รู้ตัวอีกทีก็เดินมากระซิบอยู่ข้างๆ เขาแล้ว

​            “นี่ นายยิงแม่นหรอ?”

​            อาคิยามะหันมามองฉัน ท่าทางเหมือนเขาจะงงๆ ที่อยู่ฉันก็เข้ามาถามแบบนี้

​            “อืมม ก็พอได้”

​            อาคิยามะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองยิงแม่น แต่ก็ไม่ได้ถ่อมตัวว่ายิงได้ห่วย ฟังแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นประเภท พอได้ จริงๆ

​            ฉันเผลอทำเสียงแปลกๆ ออกไป จนอาคิยามะกับเจ้าของร้านหันมาจ้องฉันตรงๆ

​            ความอายพวยพุ่งขึ้นมา ฉันเลยต้องถอยฉากออกมาพักตรงที่เดิมที่ยืนทีแรกก่อน

​            [‘แต่ก็อยากได้จริงๆ นั่นแหละน้า รอพี่มาก่อนแล้วกัน’]

​            ฉันมองหาพี่ในกลุ่มผู้คนอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของพี่เลย

​            ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ฉันหันกลับไปมองก็เห็นอาคิยามะยิงทิ้งยิงขว้างจนกระสุนหมด จากนั้นเขาก็ขอกระสุนชุดที่สองทันที

​            [‘แบบนี้คงหวังรางวัลยากเสียแล้ว’]

 

 

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ

Status: Ongoing
อาคิยามะ เออิชิ เด็กหนุ่มที่เคยมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม… วันแรกของชีวิต ม.ปลาย เขาถูกรุ่นพี่ลากไปพัวพันกับการมีเรื่องทะเลาะวิวาทและจบลงด้วยการพาไปเลี้ยงอาหารขอโทษ ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กสาวผู้มีนัยน์ตางดงาม โอโตเมะ อามายะ แต่เธอกลับมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?” ประโยคเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา จะนำพาความสัมพันธ์ของพวกเขาไปในทิศทางใด…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท