ตอนที่ 367 ผลการระบุตัวตน
ตอนที่ 367 ผลการระบุตัวตน
หลังจากให้คำแนะนำกับเซี่ยอวี่และแฟนหนุ่มของหล่อนแล้ว คุณแม่เซี่ยก็หันเหความสนใจไปที่เซี่ยไห่และลินดา “ลินดา เสี่ยวไห่ของฉันอาจดูเหมือนเป็นคนไม่เอาไหน แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนมีความรับผิดชอบและมีน้ำใจต่อครอบครัวของเรามาก หลังจากผ่านมาหลายปี เพื่อความสุขสบายของที่บ้าน เขาทุ่มเททำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลาหาความสุขใส่ตัวมาตลอดชีวิต เธอควรจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ๆ”
ลินดาพยักหน้า “ป้าเซี่ย ฉันรู้ค่ะ”
“เสี่ยวไห่ ไหน ๆ ลินดาก็ย้ายมาอยู่ไห่เฉิงแล้ว อีกหน่อยพวกเธอก็จะได้ใช้เวลาร่วมกันให้มาก ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตส่วนตัวหรือชีวิตการทำงานนะ”
เซี่ยไห่วางน่องไก่ลงในชามของหญิงชรา พยายามจะปิดปากนางให้หยุดพูด “แม่ กินข้าวก่อนเถอะ พวกเราเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
บรรยากาศอาหารมื้อนี้มีชีวิตชีวามาก หลังกินข้าวเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ เย่ไป๋ปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเฉินเจียเหอแบบเกินความจำเป็น จึงหาข้ออ้างว่าเขาต้องกลับไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลตอนดึก แล้วควบมอเตอร์ไซค์หนีไป
เซี่ยไห่ก็ถูกคุณแม่เซี่ยกระตุ้นให้พาลินดาออกไปส่งถึงที่พัก
หลินเซี่ย เฉินเจียเหอ และหลิวกุ้ยอิงก็ขอตัวกลับบ้านเช่นกัน
หลังจากกลับมาถึงบ้าน หลินเซี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “อาฉันนี่เก่งจริง ๆ หล่อนเจรจาท่าไหนถึงทำให้หมอเย่ไป๋ยอมมาเล่นเป็นแฟนของหล่อนได้ ชอบความคิดของหล่อนจริง ๆ”
วันนี้ที่จริงแล้วหลินเซี่ยประหลาดใจมาก
ถึงอย่างนั้น สิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเซี่ยเหลยในฐานะพี่ชายคนโตมีความสำคัญมากแค่ไหนในหัวใจของเซี่ยไห่และเซี่ยอวี่
เพื่อไม่ให้พี่ใหญ่หมกมุ่นอยู่กับภาระทางจิตใจ พี่น้องทั้งสองจึงต้องฝืนทำแม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
หลินเซี่ยนอนอยู่บนเตียง มองเฉินเจียเหอที่ถอดเสื้อผ้าออกแล้วพูดว่า “ไม่สิ ดูเหมือนว่าหมอเย่เองก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่ออาหญิงของฉันอยู่บ้าง คุณเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม?”
เฉินเจียเหอตอบกลับ “ดูเหมือนเขาจะมีใจนิดหน่อย”
หลินเซี่ยมีสัญชาตญาณบางอย่าง บางทีผู้ชายนอกวงการที่เซี่ยอวี่แต่งงานอย่างลับ ๆ ในชาติที่แล้วก็คือเย่ไป๋คนนี้
มีข่าวลือในวงการว่าดาราสาวดาวรุ่งแอบแต่งงานกับหนุ่มหล่อที่อายุน้อยกว่า เนื่องจากเป็นการแต่งงานแบบส่วนตัวจึงไม่มีการประกาศต่อสาธารณะ
เธอหวังเหลือเกินว่าคนคนนั้นจะเป็นเย่ไป๋จริง ๆ
หลินเซี่ยคิดเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็มองไปที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังปีนขึ้นไปบนเตียง มีความสุขท่ามกลางความทุกข์ของคนอื่น “คุณมันแย่ที่สุด”
“เพื่อนทุกคนของคุณกลายมาเป็นญาติผู้ใหญ่กันหมดแล้ว”
“ช่างพวกเขาสิ ผมจะได้ดูเด็กลง”
ทันทีที่เฉินเจียเหอขึ้นไปบนเตียง เขาก็อ้อมแขนมาคร่อมเหนือร่างเธอไว้ หลินเซี่ยโบกมืออย่างกังวลและชี้ไปที่โต๊ะข้างเตียง “เอาถุงยางมาก่อน”
“ไม่ต้องหรอก เรามามีลูกด้วยกันดีกว่า”
เฉินเจียเหอกดร่างเธอให้เอนลง มองเธอด้วยสายตาเปี่ยมความรัก พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เรามีลูกด้วยกันสักคนเถอะนะ”
หลินเซี่ยจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีความคิดแบบนี้ผุดขึ้นอย่างฉับพลันทันใด
เฉินเจียเหอจูบเธอที่ริมฝีปาก แล้วพูดเสริมว่า “ถึงช่วงปีใหม่เมื่อไหร่ พวกเขาจะได้จ่ายเงินอั่งเปากันหนัก ๆ”
…
ร้านอาหาร ‘ชามข้าวเหล็ก’ ของเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเปิดอย่างเป็นทางการแล้ว เซี่ยเหลยไม่ได้เชิญใครเลย แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่มาอุดหนุนร้านอาหารของเขาอย่างเต็มใจ
กระทั่งผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเซี่ยก็มาด้วย
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับเชิญจากเซี่ยไห่อีกทีหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาก็ตั้งใจมาเพื่อสนับสนุนเซี่ยเหลยโดยตรง
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีมงคล เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงก็เข้าไปปรุงอาหารให้กับทุกคนในครัวด้านหลังด้วยตัวเอง
เนื่องจากที่ร้านเน้นขายอาหารประเภทบะหมี่และข้าวราดแกงเป็นหลัก เซี่ยเหลยจึงไม่จัดเป็นโต๊ะจีนเหมือนกับที่เขามักจะทำเมื่อต้อนรับแขก
แต่พวกเขาขอให้ทุกคนที่มาสนับสนุนในวันนี้สั่งอาหารที่ตัวเองต้องการจากในเมนู แล้วเขากับหลิวกุ้ยอิงค่อยช่วยกันปรุงอาหารที่แตกต่างกันสำหรับทุกคน
อุปกรณ์ในครัวถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี ทำให้ทำอาหารได้เร็วมาก
ผู้เฒ่าเฉินสั่งบะหมี่ผัด ส่วนผู้เฒ่าเซี่ยสั่งบะหมี่โรยหน้าหมูฉีก
คนอื่นทยอยสั่งอาหารทีละคน เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารให้ทุกคนอยู่ในครัวด้านหลังร้าน พอทำไปได้ส่วนหนึ่งก็ออกมาดูทุกคนกิน และขอให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรสชาติอาหาร ยินดีรับคำแนะนำอย่างถ่อมตัว
เซี่ยเหลยยังจดบันทึกลงในสมุดเล่มเล็กอย่างจริงจังอีกด้วย
เขาเต็มไปด้วยความถ่อมตัวและตั้งใจมากจริง ๆ
ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกประทับใจและยินดีที่ได้เห็นเซี่ยเหลยทำงานอย่างเข้มงวดและมีมโนธรรม
ไม่เหมือนใครหลายคนที่ปลดประจำการจากกองทัพแล้วกลายเป็นคนขี้ขลาด
แม้ว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำ แต่ก็ยังคงรักษาเกียรติยศเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ในวันแรกของการเปิดร้าน นอกจากจะมีการเลี้ยงรับรองญาติและเพื่อนฝูงแล้ว เพื่อนบ้านริมถนนต่างก็แวะเวียนกันมาอุดหนุนที่ร้านแห่งใหม่ เพื่อกินและชิมอาหารในช่วงบ่ายด้วย
เมื่อคนที่เดินผ่านหน้าร้านเห็นคำว่า ‘ชามข้าวเหล็ก’ เด่นชัด ก็ให้ความสนใจและแวะเข้ามาลองชิมรสชาติอาหารของร้านเปิดใหม่
หลังจากเปิดทำการได้สองวัน ธุรกิจก็เฟื่องฟูมาก
เหตุผลหลักก็เพราะร้านของพวกเขามีอาหารที่หลากหลาย และมีตัวเลือกมากกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวและร้านอาหารจานเดียวทั่วไป
ที่สำคัญคือราคาที่สามารถจับต้องได้
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงงานยุ่งมือเป็นระวิง ตอนเที่ยงยิ่งมีลูกค้าเข้าร้านจำนวนมาก จนหลินเยี่ยนต้องปลีกตัวมาช่วยอีกแรง
ในวันที่สามหลังจากที่ร้านอาหารเปิด หลินเซี่ยและเซี่ยไห่ไปที่หน่วยตรวจพิสูจน์เพื่อรับเอกสารผลการระบุตัวตน
ตามที่คาดไว้ หลินเซี่ยและเซี่ยเหลยมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจริง ๆ
เพื่อให้คนที่ความจำเสื่อมอย่างเซี่ยเหลยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างชัดเจนมากขึ้น หลินเซี่ยจึงส่งเส้นผมของเธอกับหลิวกุ้ยอิงไปตรวจสอบด้วย
ตอนนี้ เมื่อเห็นความพ้องต้องตรงกันของลายพิมพ์ DNA ระหว่างพวกเขาซึ่งถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนในผลการระบุตัวตนทั้งสองใบ เซี่ยไห่ก็โผเข้ากอดหลินเซี่ยด้วยความตื่นเต้น
“เซี่ยเซี่ย ยอดไปเลย เธอเป็นหลานสาวของฉันจริง ๆ เธอคือหลานสาวแท้ ๆ ของฉัน”
คราวนี้หลินเซี่ยไม่ได้ผลักเซี่ยไห่ออกไป แถมยังกอดตอบเขาด้วย ดวงตาของเธอแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
ตราบใดที่มีกระดาษแผ่นนี้ ภูมิหลังชีวิตของเธอก็ได้รับการยืนยันเสียที
ทั้งสองยืนกอดกันข้างถนนและพากันร้องไห้โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ใด ๆ ดึงดูดให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาหยุดมองบ่อย ๆ
“เซี่ยเซี่ย เรียกว่าอารองเร็วเข้า
หลินเซี่ยเช็ดน้ำตาและผลักเซี่ยไห่ออกไป “กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ฉันค่อยเรียกคุณนะคะ”
เธอขึ้นรถของเซี่ยไห่ ตรงไปที่บ้านครอบครัวเซี่ยพร้อมกับผลการระบุตัวตน
คุณแม่เซี่ยเชื่อมั่นมานานแล้วว่าหลินเซี่ยต้องเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของนางไม่ผิดแน่ เมื่อเห็นผลการระบุตัวตนจากองค์กรที่เชื่อถือได้ตรงหน้า นางก็กอดหลินเซี่ยด้วยความตื้นตันใจและเริ่มร้องไห้
ก่อนหน้านี้หลินเซี่ยร้องไห้มาจนพอแล้ว ตอนนี้อารมณ์ของเธอจึงสงบลงแล้ว เมื่อหญิงชราร้องไห้ เธอจึงปลอบหญิงชราอย่างไม่เห็นแก่ตัว
คุณแม่เซี่ยมองดูผลการระบุตัวตนในมืออันสั่นเทาของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นพูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย เอาเอกสารพวกนี้ไปให้พ่อของเธอดูเถอะ ถึงเวลาที่พวกเธอต้องรู้ตัวตนของกันและกันแล้ว”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ค่ะ”
ในที่สุดร้านอาหารก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งในตอนกลางคืน เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงซึ่งยุ่งมาทั้งวันมีเวลาพักหายใจในที่สุด ทั้งสองคนยังไม่ได้กินข้าวเลย เซี่ยเหลยตักอาหารที่เหลืออยู่ในร้านมาสองอย่าง บะหมี่อีกสองชาม และนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบสุราดอกกุ้ยฮวามาจากหลังร้าน
เซี่ยเหลยรินเหล้าให้ทั้งสองคน
“มาดื่มกันเถอะ”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงเห็นเซี่ยเหลยรินเหล้า หล่อนก็เหลือบมองเขาอย่างสงสัย จากนั้นจึงมองไปที่ประตู
เซี่ยเหลยวางจอกเหล้าไว้ตรงหน้าหล่อนแล้วพูดว่า “ไม่มีใครเข้ามาแล้วล่ะ ได้เวลาปิดร้านแล้ว”
เขาหยิบจอกเหล้าขึ้นมาชนกับหล่อน “ชน”
แม้หลิวกุ้ยอิงจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เซี่ยเหลยถึงนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากจะผ่อนคลายและใช้เวลาว่างหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันไปกับการดื่มของมึนเมาเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หล่อนก็ยังชนแก้วกับเขา
หลังจากดื่มไปหนึ่งแก้ว เซี่ยเหลยก็รินแก้วต่อไป
และชนแก้วกับหล่อนอีกครั้ง
หลิวกุ้ยอิงที่เหนื่อยสายตัวแทบขาดอดทนต่อกลิ่นหอมหวานของสุรากุ้ยฮวาจากบ้านเกิดของตนที่อยู่ต่อหน้าต่อตาไม่ไหว จึงยอมดื่มเป็นเพื่อนเซี่ยเหลยแต่โดยดี
เซี่ยเหลยดื่มเหล้าไปสองแก้วจนหมด เขามองดูหลิวกุ้ยอิงด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วพูดว่า “กุ้ยอิง ถึงผมจะมีเรื่องราวในอดีตมากมายที่จำไม่ได้ แต่ผมพอจะรู้อยู่บ้างว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราเมื่อก่อนต้องเป็นมากกว่าแค่คนรู้จักธรรมดา ๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ยินดีกับเซี่ยเซี่ยด้วยนะที่เจอครอบครัวที่แท้จริงแล้ว
พี่เหลยมีสัญญาณว่าจะจำอดีตได้แล้วใช่ไหม เตรียมแสดงความยินดีแล้วนะ
ไหหม่า(海馬)