บทที่ 1
กลางเดือนเมษายน
ช่วงบ่ายที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ S
โรงอาหารของนักศึกษาแน่นขัดไปด้วยเหล่านักศึกษาผู้หิวโหยที่กำลังมองหาอาหารกลางวันอยู่ ผมเองก็กำลังนั่งซดอุด้งเพื่อสนองความอยากอาหารอยู่
ที่โต๊ะตัวเดียวนั้นมีนักศึกษาชายคณะเดียวกับผมสองคนอยู่ด้วย หนุ่มหล่อสวมแว่นตาเขาคือโฮชิโนะ ส่วนผู้ชายชอบแต่งตัวมีสไตล์ที่มีผมสีน้ำตาลคนนี้เขาคือ โทคุนากะ พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีของผมตั้งแต่ที่ผมเข้าเรียนครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
“วันนี้ ระหว่างทางมามหาวิทยาลัย ฉันเจอสาวม.ปลายที่น่ารักสุดๆคนหนึ่งมาด้วยแหละ นายคิดว่าฉันพอจะมีโอกาสบ้างมั้ยนะ”
จู่ๆโฮชิโนะก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
คนคนนี้บางครั้งก็มักจะพูดอะไรโง่ๆ ด้วยใบหน้าที่จริงจัง เขาเป็นพวกหล่อเสียของ
“อย่าไปเล็งสาว.ปลายสิฟะ นายควรจะตั้งใจกับการเตรียมความพร้อมที่จะดูแลพวกเธอในอนาคตก่อนสิ เดี๋ยว ก่อนหน้านั้น นายห้ามลงมือกับผู้เยาว์ทั้งๆที่เรียนคณะครุศาสตร์นะเว้ย”
เมื่อผมโต้กลับอย่างรวดเร็ว โฮชิโนะรีบปรับตำแหน่งแว่นตาของเขาด้วยนิ้วชี้ของเขา
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการลงมือเลยนะ ฉันแค่อยากจะถามนายว่านายคิดว่ามีโอกาสที่เราจะได้คบกันมั้ย และฉันจะบอกนายไว้ก่อน ฉันไม่มีความคิดที่จะคบกับสาว.ปลายหลังจากที่ได้เป็นครูแล้วเด็ดขาด นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันถามนายตอนนี้ไงล่ะ”
—แล้วตอนนี้ล่ะ
แม้นายจะพูดว่า“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการลงมือเลยนะ”ก็เถอะ นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่นายเริ่มคบกับเธอแล้ว? ถ้านายถามคำถามนี้กับคน 100คน คนทั้ง 100คนก็คงจะตอบแบบเดียวกันแน่ๆ
ขณะที่ผมอึ้งเกินกว่าจะพูดอะไรออก โทคุนากะก็พูดขึ้น
“ดีออกน่า? นักเรียนม.ปลายกับนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้นมีอายุไม่ห่างกันมาก นอกจากนี้นักศึกษามหาวิทยาลัยยังมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ที่เพื่อนร่วมชั้นไม่มีอีก พวกเธอจะตกหลุมรักนายง่ายๆเลยแหละ”
“นายพูดหยั่งกับทำให้พวกเธอมาตกหลุมรักนายได้งั้นแหละ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของโทคุนากะ ผมก็ขมวดคิ้ว จากนั้นโทคุนากะก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ใช่แล้วล่ะ”
“เอาจริงดิ..?”
ผมก้มหน้าลงอย่างสลดใจ
โทคุนากะมองมาที่ผมแล้วยิ้มออกมา
“ว่าไงหื้ม? อิจฉางั้นเหรอ? สาวม.ปลายน่ะนะช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยสเน่ห์ ความสดใส สดชื่นและความอ่อนเยาว์ นั่นน่ะคือความพิเศษที่มีเฉพาะสาวม.ปลายเท่านั้นไงล่ะ”
หากดูภายนอก โทคุนากะนั้นดูเป็นคนดูดีมีสไตล์ นำสมัยราวกับนายแบบแฟชั่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ภายในของเขาดูเหมือนกับเป็นชายวัยกลางคนชัดๆ
เขาต้องไปชนกับชายวัยกลางคนที่ไหนสักแห่ง แล้วพวกเขาก็สลับร่างกันแน่ๆ นั่นคือสิ่งที่ผมบอกตัวเองอยู่เสมอ
“ไม่ได้อิจฉาเฟ้ย ฉันไม่สนใจสาว.ปลายหรอกนะ ฉันไม่มีทางมองสาวม.ปลายไปในทางโรแมนติกได้แน่นอน”
ผมพูดอย่างบูดบึ้ง แล้วโฮชิโนะก็เอียงศีรษะไปด้านข้าง
“ทำไม? นายชอบผู้หญิงอายุมากกว่างั้นเหรอ”
“มันไม่ใช่อย่างงั้น เพียงแต่…น้องสาวของฉันเป็นสาวม.ปลายน่ะ ฉันก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรแบบนั้นกับสาว.ปลายซักเท่าไหร่”
“โฮ่—?ฉันเข้าใจแล้วล่ะ นายรู้สึกว่าสาวม.ปลายทุกคนเป็นเหมือนกับน้องสาวของนายงั้นสิ”
“ก็ประมาณนั้นแหละนะ”
ผมมีน้องสาวอายุ 17ปีแลเป็นนักเรียนม.ปลายปี2ในปีนี้ ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนน้องสาวของผมจะแวะมาที่บ้านเราบ่อยๆ
ถ้าผมอยากเข้าใกล้เพื่อนของน้องสาวมากขึ้นก็ทำได้ แต่ผมไม่ทำ ผมไม่อยากให้น้องสาวและเพื่อนของเธอต้องมีบรรยากาศแย่ๆต่อกันเพราะสิ่งที่ผมทำ
จากการพยายามเป็น ‘พี่ชายผู้แสนดี’ ผมได้กีดกันสาวม.ปลายออกจากชีวิตรักของผม
ด้วยเหตุนั้นผมจึงเป็นแบบตอนนี้
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง โทคุนากะมองมาที่ผมอย่างเศร้าสร้อย
“อีกนัยหนึ่ง เพราะนายจีบเพื่อนน้องสาวของนายไม่ได้ นายจึงยืนกรานว่าจะไม่สนใจสาวม.ปลาย…”
“ไม่ใช่แล้วเฟ้ย! แล้วอีกอย่างนะฉันก็ไม่ได้วางแผนที่จะรักกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยด้วยเหมือนกัน สรุปนะฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว!!”
—ให้ตายเถอะ อย่ามาสงสารคนอื่นตามใจชอบเพียงเพราะตัวเองเป็นที่นิยมสิ
คนสองคนนี้นั้นเป็นที่นิยมโดยไม่ต้องทำอะไรเลย พวกเราสามารถพูดคุยเรื่องเรียนหรือเรื่องอื่นๆได้ แต่พอเป็นเรื่องของความรักแล้วผมไม่สามารถอยู่ในกระแสเดียวกันได้เลย
เนื่องจากประสบการณ์ความรักที่แตกต่างอย่างท่วมท้น
ไม่มีทางที่ผมจะเทียบพวกเขาได้ในเรื่องความรัก ผมได้ตระหนักอย่างขมขื่นเมื่อตอนปีที่แล้ว
ในฐานะคนอายุ 20ปีช่างน่าเศร้าที่ไม่มีประสบการณ์กับผู้หญิงเลย ผมว่าผมคงต้องรอให้การสนทนาเรื่องนี้จบลงก่อน
ขณะที่ผมหยุดการเข้าร่วมการสนทนาและสดอุด้งที่เหลืออยู่ โทคุนากะก็ได้ถาผมมาอย่างยิ้มๆ
“น้องสาวของนายน่ารักมั้ย แล้วเพื่อนๆของเธอน่ารักรึเปล่า?”
“ฉันจะไม่แนะนำให้พวกเธอรู้จักกับนายเด็ดขาด”
พอผมพูดด้วยเสียงต่ำ ใบหน้าของโทคุนากะก็แข็งทื่อไป เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถบอกได้ว่าผมจริงจังนะ
—และแม้ว่าเขาจะได้พบกับมานะ ผมก็คิดว่าเธอคงส่งเขาบินไปด้วยการเตะของเธอแน่ๆ
ผมกระดกซุปอุด้งพลางนึกถึงมานะน้องสาวของผมที่ได้ย้อมผมเป็นสีน้ำตาลและช่วงนี้ก็ดูป่าเถื่อนมากขึ้นทุกที
เวลาห้าทุ่ม
เมื่อกลับมาจากทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอิซากายะ ผมสังเกตุเห็นว่ามีเสียงดังที่ทางเข้าบ้านของผม และหยุดตัวเองไม่ให้เปิดประตู [อิซากายะ = ร้านเหล้า,บาร์แบบญี่ปุ่นที่มีขายอาหารและอย่างอื่นด้วย]
จากนั้นลูกบิดประตูที่ผมกำลังจะแตะก็ได้หมุน และประตูก็เปิดออกมา
“มานะ! เจอกันวันพรุ่งนี้น้า~!”
“อาริสะกับรูนะระวังทางกลับบ้านด้วยนะ~”
แสงไฟภายในบ้านและเสียงของเด็กสาวม.ปลายที่ดูกระตือรือร้นวิ่งออกมาทางประตูก่อน
และหลังจากนั้น สาวม.ปลายผมแดงและสาวม.ปลายที่มีผมยาวสีน้ำตาลก็ออกมาด้วยกัน สาวผมแดงชื่อรูนะ ส่วนสาวผมยาวสีน้ำตาลชื่อฮาริสะ
เมื่อมองแวบแรกด้วยสีผมและเครื่องแต่งกาย ทั้งคู่ดูเหมือนกับสาวแกล อย่างไรก็ตามพวกเธอเป็นเหมือนกับน้องสาวของผม พวกเธอเป็นแยงกี้
“อ่า สึคาจิ พึ่งกลับมาจากเดตงั้นเหรอ?”
รูนะจังมองมาที่ผมแล้วยิ้ม
“ฉันไปทำงานพาร์ทไทม์มาต่างหากล่ะ”
เมื่อผมตอบอย่างนั้น อาริสะจังก็ถอนหายใจอย่างตั้งใจ
“เสียใจด้วยนะรูนะ แต่ถ้าพี่ชายของมานะมีแฟนเราคงจะไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกตอนนี้”
“ทำไมล่ะ”
ผมไม่เข้าใจว่าอาริสะจังหมายความว่ายังไง จึงได้ถามกลับไป
จากนั้นเธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า
“เพราะถ้าพี่ชายของมานะมีแฟนโลกคงแตกไปแล้วแน่ๆเลย”
“เธอจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้งั้นสิ”
“ไม่หรอก…ฉันไม่คิดว่าโอกาสที่โลกจะแตกมันเป็นศูนย์หรอกนะคะ”
“รอดูได้เลย! ไว้ฉันโตเป็นวัยทำงาน ฉันจะแต่งงานกับสาวสวยที่จะทำให้เธอต้องทึ่ง”
“อ่า อันนั่นมีความเป็นไปได้เป็นศูนย์เลยค่ะ”
“เงียบเลย! กลับบ้านไปได้แล้วยัยพวกผู้หญิงเกเร”
ผมตะโกนใส่รูนะจังและอาริสะจัง และไล่พวกเธอไป รูนะจังกับอาริสะจังก็วิ่งออกไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ระวังทางกลับบ้านด้วย—”
พอผมพูดจบ รูนะจังกับอาริสะจังก็หันกับมาและโบกมือให้
พวกเธอดูเหมือนแยงกี้ที่มีพฤติกรรมแย่ๆ และสนุกกับการล้อเลียนคนอื่น ผมไม่อยากเข้าใกล้พวกเธอเลย ถ้าพวกเธอไม่ใช่เพื่อนของน้องสาวผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้เกลียดพวกเธอล่ะนะ ผมคิดว่างั้น
ขณะที่ผมกำลังโบกมือให้พวกเธออยู่ มานะก็ยืนกอดอกอยู่ข้างผมแล้วพูดเรียบๆ
“ถ้าพี่แตะต้องเพื่อนของหนูด้วยความหิวกระหายนะ หนูจะไม่มีวันให้อภัยพี่แน่”
“ค้าบ ค้าบ…พี่ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกหน่า พี่ไม่มีความตั้งใจที่จะมีความรักจนกว่าพี่จะทำงานก่อน”
ผมคิดไปเองรึเปล่านะแต่คำพูดนั้นมันฟังดูเหมือนว่า ‘ถ้าพี่จริงจัง มันก็อีกเรื่องนึง’…ผมคงคิดไปเองแหละ
“ถึงพี่จะพูดอย่างงั้นหนูก็ยังไม่วางใจอยู่ดี พวกเพื่อนหนูออกจะน่ารักถึงขนาดนั้น”
เธอดูภูมิใจกับมันนะ
พอเห็นน้องสาวเป็นแบบนั้น ผมก็หรี่ตาลงด้วยความดีใจ
ดีใจที่ได้ยินคำว่าเพื่อนออกมาจากปากของมานะ
ในช่วงม.ต้นนั้นมานะเคยหยุดไปโรงเรียนอยู่ช่วงหนึ่ง
ในตอนนั้นมานะไม่ได้เป็นแยงกี้แบบนี้ เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่เงียบๆและขี้อาย ด้วยเหตุนี้เพื่อนร่วมชั้นจึงเริ่มรังแกเธอและทำให้เธอเริ่มไม่อยากไปโรงเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ
และในตอนนั้นเองเพื่อนร่วมชั้นแยงกี้ก็ได้ช่วยมานะไว้
หลังจากที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกแยงกี้ มานะก็เริ่มใช้ชีวิตเหมือนแยงกี้ เธอไม่กลัวอะไรอีกต่อไป เธอเรียนจบม.ต้นและเข้าเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมที่เต็มไปด้วยพวกแยงกี้
ตอนนี้มานะกลายเป็นแยงกี้ไปแล้ว รูปลักษณ์ของเธอดูมีสีสันมากขึ้น และแม้การพูดจาของเธอจะแย่ลง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูเหมือนจะสนุกสนานทุกวัน แค่นั้นก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว
—ในตอนที่มานะไม่ได้ไปโรงเรียน เธอดูเจ็บปวดมาก จนผมไม่กล้าแม้แต่จะมอง…
ในฐานะพี่ชาย ผมรู้สึกขอบคุณพวกเธอที่มาเป็นเพื่อนกับน้องสาวของผม
แค่ความรู้สึกนี้ให้กับเพื่อนน้องก็พอแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดกับพวกเธอมากไปกว่านี้
“—พี่นึกภาพตัวเองตกหลุ่มรักเพื่อนน้องตัวเองไม่ออกจริงๆอ่ะ”
ผมบอกกับมานะแบบนั้นแล้วเข้าไปข้างในบ้านก่อนเธอ
ปัญหามันไม่ใช่ว่าพวกเธอน่ารักรึเปล่า
พวกแยงกี้เคยล้อเลียนเล่นสนุกผม ถ้าผมไม่ลืมมัน ผมก็คิดว่ามันไม่มีทางที่ผมจะตกหลุมรักพวกเธอได้อย่างแน่นอน