ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 36 ปลิวตามสายลมวสันต์ฤดูทั่วทั้งรัฐติง-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 36 ปลิวตามสายลมวสันต์ฤดูทั่วทั้งรัฐติง-1

ค่ายทหารทัพอีกาดำ ชานเมืองหัวเมืองรัฐติง

“ติ้งซีอ๋องไม่พบกันนานสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”

หลิวรุ่ยอิ่งเข้าไปในกระโจม โค้งคำนับเล็กน้อยไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง นับว่าเป็นการกล่าวทักทาย

“ฮ่าๆ ข้าได้ยินมาว่าผู้แทนการตรวจสอบหลิวเลื่อนขั้นเป็นนายกอง ช่างน่ายินดีจริงๆ! ครั้งก่อนพบกันในจวนผู้ควบคุมรัฐก็รู้สึกว่านายกองหลิวรูปงามไม่ธรรมดา สติปัญญาโดดเด่นปฏิบัติหน้าที่ซื่อตรงทั้งยังคล่องแคล่วว่องไว รู้จักกาลเทศะมีความพอดี หากเปรียบกับบุตรชายของทังหมิงตัดสินได้ทันที นี่เรียกว่าวีรบุรุษหนุ่มอย่างแท้จริงๆ!”

หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ถึงว่าฮั่ววั่งจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้…เพิ่งพบหน้าครั้งแรก คำกล่าวค่อนไปทางยกยอปอปั้นเสียอย่างนั้น

ระหว่างทางที่เขามา ในสมองเอาแต่คิดหาวาจาคมคายไม่น้อยกว่าร้อยวิธีมารับมือกับความลำบากใจที่ฮั่ววั่งอาจมอบให้ แต่สถานการณ์ประเภทนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งกว่า

“ติ้งซีอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้ว…ที่กล่าวมาก็เป็นเพราะระยะนี้อาณาจักรติ้งซีอ๋องกำลังเผชิญเหตุเภทภัยไม่รู้จบ ยามนี้คนดีเลวผสมปนเป กระหม่อมเพียงแต่อาศัยบารมีท่านอ๋อง โชคดีเล็กน้อยจึงประสบความสำเร็จโดยบังเอิญ ทว่าคำชมเชยเช่นนี้ของท่านอ๋องกระหม่อมหามิได้พ่ะย่ะค่ะ”

สติปัญญาของหลิวรุ่ยอิ่งเฉียบแหลมเช่นกัน คิดเพียงชั่วครู่พลันตอบได้อย่างเหมาะสม

ในวาจาก็แอบปรามาสฮั่ววั่งกลายๆ เช่นกัน

ต้องขอบคุณความโกลาหลภายใต้การปกครองของท่าน คนชั่วช้าระยำปรากฏตัว

ไม่เช่นนั้นกระหม่อมจะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่งสูงได้อย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะท่านขาดความสามารถแต่แรก

หัวหน้าอาคารฉินอยู่ด้านหลังหลิวรุ่ยอิ่งเพียงครึ่งก้าว ได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งกล่าววาจาเช่นนี้พลันรู้สึกว่าเขายังเด็กเกินไปนัก…

แม้เจ้าจะเป็นนายกองกรมสืบสวน แต่ฐานะต่างกับฮั่ววั่งมากโข

อย่างไรก็ไม่ควรกล่าววาจาเช่นนี้กับหนึ่งในห้าอ๋องแห่งใต้หล้า…

ทว่าได้ยินวาจาก่อนหน้าของฮั่ววั่ง ราวกับว่าทั้งสองเคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนและคุ้นเคยกันดี…ทันใดนั้นพลันคิดว่าครั้งก่อนเมื่อทั้งสองพบกันเกิดความตึงเครียดเล็กน้อยขึ้นหรือไม่ ถึงขั้นที่ครั้งนี้เจ้าหนุ่มหลิวรุ่ยอิ่งโกรธจัดจนต้องแข่งความเหนือกว่า ปากไวใจเร็วจนพูดไม่คิด

ฉะนั้น เขาจึงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กล่าววาจาใดๆ เว้นเสียจะจำเป็นจริงๆ

ประการแรกฟังเกี่ยวกับอดีตระหว่างหลิวรุ่ยอิ่งกับติ้งซีอ๋อง ประการที่สองคอยดูว่าหลิวรุ่ยอิ่งมีค่ามากเพียงไหน

ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเป็นถึงหินฝนทองอันยอดเยี่ยมที่สุด

แน่นอนว่าฮั่ววั่งได้ยินคำพูดเสียดสีในวาจาของหลิวรุ่ยอิ่งแต่ไม่เอามาใส่ใจ ยังคงเอ่ยชวนหลิวรุ่ยอิ่งให้นั่งลงพร้อมถามอย่างสุภาพว่าจะต้มสุราหรือชงชา

แม้ว่าฮั่ววั่งจะควบคุมตนเองได้ดียิ่ง แต่สายตากลับมองกระบี่ดาราในมือหลิวรุ่ยอิ่งไม่วางตา

รายละเอียดทั้งหมดเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาหัวหน้าอาคารฉิน ทั้งยังมีข้อสงสัยในใจเช่นกัน

เขาไม่ทราบความลับของกระบี่ดารา แต่สัมผัสได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าจากสายตาของฮั่ววั่ง

แม้ว่าเขาจะปิดบังได้ดี แต่คนนอกมองเห็นชัดเจน

ยิ่งกว่านั้นหัวหน้าอาคารฉินก็เป็นผู้มีปัญญาฉลาดหลักแหลม

เขาเพียงรู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งนายกองที่เพิ่งได้รับเลื่อนตำแหน่งผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดา…ยังมีความลับมากมายซ่อนอยู่ในตัวเขา เบื้องหลังอาจจะมีบางอย่างอยู่นอกเหนือจากที่ตนเองคิดก็เป็นได้

หลิวรุ่ยอิ่งเลือกไม่ดื่มสุรา เขาพยายามทำให้สมองปลอดโปร่งเต็มที่

ยอมเผชิญโฉมหน้าแท้จริงอย่างเปิดเผยดีกว่าเผชิญศัตรูแฝงรอยยิ้มซ่อนมีด

โจมตีเปิดเผยต่อกรง่าย ลอบโจมตีป้องกันยาก

ทว่ารอยยิ้มซ่อนมีดเป็นสิ่งต้านทานได้ยากที่สุด

ไม่มีทางรู้ว่าเมื่อใดที่ใด ปากที่เอ่ยวาจาคมคายกล่าวชมเสมอจะงอกเขี้ยวดุร้ายโจมตีเอาชีวิตเจ้าที่กำลังเพลิดเพลินไปกับคำสรรเสริญเยินยอและแสร้งทำเป็นถ่อมตัว

ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นอย่างไร มีจิตใจสวยงามแบบใดก็ตาม มีรอยยิ้มประดับใบหน้าแต่กลับเศร้าโศกในใจ ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

ใช้ความเมตตาจอมปลอมซ่อนความชั่วร้ายสุดขั้วไว้ในใจ เช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเจ้าไม่ใช่คนดีถึงหมื่นเท่า

ประโยชน์หนึ่งเดียวก็คือ เจ้าอาจจะแย้มยิ้มกระทั่งวายชนม์

หลิวรุ่ยอิ่งรวบรวมสติ แม้ว่าตนเองจะก้มศีรษะถือจอกชา แต่ก็ไม่ลืมเฝ้าระวังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเช่นกัน

ฮั่ววั่งสัมผัสได้ว่าจิตของหลิวรุ่ยอิ่งเดินเตร่อยู่นอกกระโจม บ้างก็เฉียดผ่านเขาไปแต่ไม่กล้าหยุดชะงักนาน…

เพียงแต่เพิ่งเฉียดผ่านไป เขาพลันสัมผัสได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งแตกต่างจากครั้งก่อนมาก

ในจิตวิญญาณแผ่ซ่านถึงความเด็ดเดี่ยว แข็งแกร่ง ความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีพลังรุนแรง สังหารและกล้าหาญอีกหนึ่งชั้น

หากกล่าวว่าหลิวรุ่ยอิ่งในครั้งก่อนดุจจันทร์กระจ่างส่องสว่างท่ามกลางเนินป่าสนและน้ำวิสุทธิ์หยดลงบนโขดหิน เช่นนั้นในยามนี้ก็เป็นดั่งสุริยาแผดเผาในที่สูงและน้ำตกเชี่ยวกราก

ฮั่ววั่งรู้สึกว่าวาจาสุภาพที่ตนเองเพิ่งกล่าวไป ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กล่าวเกินจริง…

ในบรรดาคนหนุ่มสาว ผู้มีพรสวรรค์เก่งกาจที่ตนเองเคยพานพบดั่งปลาไนในน้ำ[1]

ทว่าชื่นชมก็ส่วนชื่นชม แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เขาทึ่งในพรสวรรค์ได้

วันนี้ได้พบหลิวรุ่ยอิ่งอีกครั้งกลับทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย…กระทั่งรู้สึกว่าความสงสัยใคร่รู้ที่ไม่ได้สัมผัสมานานถูกเขากระตุ้นเข้าแล้ว

ในขณะที่จิตวิญญาณของหลิวรุ่ยอิ่งสำรวจที่อื่น ฮั่ววั่งก็แผ่รังสีจิตวิญญาณสำรวจเขา

น่าเสียดาย…ฮั่ววั่งไม่รู้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจของบัณฑิตจาง

ฉะนั้นจิตวิญญาณจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับตนเองและไม่อาจตัดขาดการเชื่อมต่อได้

เขาต้องการค้นหาความจริงก่อนที่จิตวิญญาณของหลิวรุ่ยอิ่งจะวกกลับเข้ากระโจม

คิดไม่ถึงว่า ขณะที่จิตวิญญาณของฮั่ววั่งอยู่ห่างจากร่างหลิวรุ่ยอิ่งประมาณสามชุ่นพลันรู้สึกถึงจิตกระบี่นุ่มนวลรุนแรงสายหนึ่ง

ดุจดั่งมหาสมุทรรวมไว้ซึ่งแม่น้ำร้อยสายและภูผาสูงตั้งตระหง่าน…

จิตกระบี่นี้ก่อตัวเป็นชั้นป้องกันบางๆ รอบกายหลิวรุ่ยอิ่ง ยามปกติมักไม่เผยออกมา เพียงแต่ยามนี้ถูกกระตุ้นออกมาเพราะการหยั่งเชิงของฮั่ววั่ง

ฮั่ววั่งไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น แต่กลับฟื้นคืนจิตวิญญาณอย่างเงียบเชียบ

ความสงสัยในใจกลับยิ่งลึกลงไป เพราะเขาไม่เคยพบเจอวิทยายุทธ์ที่ฝึกจนปกป้องร่างกายจิตกระบี่เช่นนี้…

แม้แต่เริ่นหยางที่ฝึกตนดั่งเทพกระบี่สวรรค์ ฮั่ววั่งก็เคยพิสูจน์อย่างละเอียดมาแล้ว ไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้…

‘หรือจะเป็นพลังแห่งกระบี่ดารา’

ฮั่ววั่งไม่คิดว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะมีเหตุบังเอิญได้รับพลังวิชาแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำได้เพียงนำสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นสรุปว่าเป็นพลังแห่งกระบี่ดาราเท่านั้น

ขณะนี้เอง กลับริษยาหลิวรุ่ยอิ่งขึ้นอีก

เมื่อคิดว่าตนเองพยายามเข้าใจกระบี่ดารามาตั้งไม่รู้กี่ปี กลับยังไม่อาจใช้พลังแห่งกระบี่ดาราได้…หลิวรุ่ยอิ่งวัยเพียงยี่สิบปี บางทีแม้แต่กระบี่ดาราคือสิ่งใดกลับไม่ทราบด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าจะได้รับการถือหางเช่นนี้

ครั้นความริษยาก่อตัวขึ้นในใจ ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนทำได้เพียงช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างต่อเนื่องให้แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน

ด้านหน้าโต๊ะของฮั่ววั่ง ยังคงวางเตาต้มสุราดินแดงเผาอยู่

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าท่าทางต้มสุราไปพลางดื่มไปพลางของฮั่ววั่งช่างดูกล้าหาญสูงส่งพลันจ้องมองด้วยความสนใจ

จวบจนเมื่อครู่ เขาพลันรู้สึกว่ากระบี่หยางแท้อวี้จิงที่คอยรักษาความอบอุ่นตำหนักเหลืองในร่างกายตลอดเวลาหลังจากทะลวงจุดเหม่าในครั้งก่อนยกปลายกระบี่ขึ้นเล็กน้อย

‘หรือว่ามันจะฟื้นตัวดีแล้ว’

หลิวรุ่ยอิ่งโปรดปรานกระบี่หยางแท้อวี้จิงยิ่งนัก อย่างไรเสียก็ช่วยให้ตนเองทะลวงจุดในระบบจนบรรลุบรมภูมิเทียมสำเร็จ

เขาเคยพยายามใช้จิตสื่อสารกับมันหลายครั้ง ล้วนแล้วแต่ได้รับการตอบสนองอย่างแผ่วเบา ราวกับเด็กทารกเข้าใจธรรมชาติมนุษย์

ฮั่ววั่งยกหม้อทองแดงบนเตาต้มสุราดินแดงเผาแล้วดื่ม

“ผู้แทนการตรวจสอบหลิว เชิญ!”

ฮั่ววั่งผายมือขวาให้หลิวรุ่ยอิ่งอย่างมีมารยาทยิ่ง เชิญเขาออกจากกระโจม

หลิวรุ่ยอิ่งเดินออกนอกกระโจมพลันเหลือบมอง นอกเหนือจากกระโจมที่อยู่ข้างหลังเขา กระโจมทหารทั้งหมดที่เหลือล้วนถูกทัพอีกาดำขนย้ายและจัดเก็บอย่างเหมาะสม

กล่าวได้ว่าช่างมีวินัยกวดขัน คล่องแคล่วว่องไว

หลิวรุ่ยอิ่งจงใจตามหลังฮั่ววั่งครึ่งก้าว หมายจะใช้สิ่งนี้เน้นย้ำความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา

ทว่าฮั่ววั่งกลับสรรหาวาจาชวนเขาพูดคุย กระทั่งคนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

“นายกองหลิว ที่นี่มีถนนสายเล็กซึ่งเป็นทางลัดไปค่ายทหารแนวหน้าเมืองจี๋อิงได้”

ฮั่ววั่งกล่าวหลังจากควบม้า

แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะไม่ใส่ใจมากนักว่าจะเลือกเส้นทางไหน แต่ฮั่ววั่งจงใจชี้แนะเช่นนี้กลับทำให้เขาคิดเพิ่มขึ้นอีกสองตลบ

‘หรือว่า เขารีบร้อนจนรอไม่ได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ก็อาจใช่…มีกบฏอยู่ภายใต้การปกครองของตนเองเช่นนี้…เป็นผู้ใดก็ล้วนเดือดดาลเป็นฟืนไฟ ไม่อาจเสียเวลาแม้เพียงชั่วครู่!’

หลิวรุ่ยอิ่งหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้ฮั่ววั่งในใจ

ความจริงแล้ว ฮั่ววั่งจะเป็นคนกระทำการลวกๆ ไม่ใส่ใจได้อย่างไร

หากเขารีบร้อนมากนัก เช่นนั้นเมื่อครู่คงจะเดินทางทันทีที่หลิวรุ่ยอิ่งมาถึง…จะต้มสุราดื่มชากล่าวทักทายได้อย่างไร

เขาแสดงออกเช่นนี้ ประการแรกเป็นเพราะใช้ถนนสายเล็กสามารถหลีกเลี่ยงหูตาวุ่นวายของผู้คนบนท้องถนนได้

หากตนเองเดินทางร่วมกับคนจากกรมสอบสวนย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้

หนักหน่อยก็ทำลายชื่อเสียง เบาหน่อยก็มีแต่เพิ่มความสงสัยเท่านั้น

ประการที่สองคือลักษณะภูมิประเทศเส้นทางสายเล็กเปลี่ยนแปลงบ่อยทั้งรกร้างไร้ผู้คน และสะดวกให้ตนเองหยั่งเชิงระหว่างเดินทางมากขึ้น

ฮั่ววั่งมองว่ากระบี่ดาราในมือหลิวรุ่ยอิ่งเป็นสมบัติไปเสียแล้ว

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

ฉะนั้นยิ่งเข้าใจหลิวรุ่ยอิ่งชัดเจนมากเพียงใด ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากเพียงนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น จิตกระบี่ลึกลับที่ปกป้องรอบกายหลิวรุ่ยอิ่งเมื่อครู่ทำให้ฮั่ววั่งสงสัยใคร่รู้ยิ่งขึ้น สำหรับเขาแล้ว สิ่งใดที่ไม่รู้จักล้วนอาจกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นตนเองได้

อย่างไรเสีย ไม่ว่าถั่วงอกจะต้นเล็กเพียงไหนเมื่องอกแล้วล้วนสามารถสั่นคลอนหินก้อนใหญ่ได้ทั้งสิ้น

วิธีกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ก็คือการคั่วถั่วให้สุกและบดขยี้ให้ละเอียด

………………………..

ภายในจวนผู้ควบคุมรัฐติง

ครั้นทังหมิงได้รับราชโองการจึงไม่กล้าเมินเฉย

จัดเก็บสัมภาระอย่างรวดเร็วและง่ายดายพร้อมนับกำลังคน

เหลือผู้ดูแลรัฐอาวุโสไว้ดูแลควบคุมจวนผู้ควบคุมรัฐ

ส่วนตัวเขานำทหารคนสนิทในจวนพร้อมด้วยขันทีจวนอีกสองคนรีบเร่งไปยังชายแดนเมืองจี๋อิง ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทัพกลางของเฮ่อโหย่วเจี้ยน

โจวอวิ๋นอวิ่นน้ำตาอาบทั่วใบหน้ากล่าวอำลาสามีที่ประตูจวน

แม้ว่านิสัยของนางจะเย่อหยิ่ง กระทำการใดโดยขาดความไตร่ตรองและไร้ขอบเขตไปบ้าง

ทว่าเมื่อต้องเผชิญความผิดถูกครั้งใหญ่เช่นนี้ แต่ไรก็ไม่เคยยุ่มย่ามวุ่นวาย

“อีกกี่วันจึงจะกลับมาหรือ”

โจวอวิ๋นอวิ่นกล่าวถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น

ทังหมิงถือดาบตะขอคมเขี้ยวสามหอรบในมือขวา ส่วนมือซ้ายลูบไล้ใบหน้าภรรยาที่รัก

ไม่มีคำกล่าววาจาใด เพียงแค่ระบายรอยยิ้มบางๆ

จากนั้นวางมือบนศีรษะของนางแล้วตบเบาๆ

“รักษาตัวด้วย ดูแลซงเอ๋อร์ให้ดี”

ทังหมิงกล่าวจบก็ควบม้าสะบัดแส้ทะยานคลุกฝุ่นออกไป

โจวอวิ๋นอวิ่นมองดูแผ่นหลังของเขาที่ไกลออกไป ไม่ได้เดินทางนานมากแล้ว

นางพิงเสาที่ตั้งตระหง่านของจวนผู้ควบคุมรัฐ รู้สึกว่าวิญญาณครึ่งหนึ่งของตนตามไปกับทังหมิง ส่วนวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งอยู่กับทังจงซงผู้เป็นบุตรชาย

ส่วนตัวนางเองกลับไม่เหลือสิ่งใดเลย

หลังจากกลับจวน โจวอวิ๋นอวิ่นให้ข้ารับใช้ไปเรียกทังจงซงหมายจะกล่าวเตือน

เพื่อให้เขาอยู่ในจวนดีๆ ในระยะนี้ ห้ามเที่ยวเตร่ไปทั่วหรือสร้างปัญหา

นางคิดตกอย่างชัดเจนแล้ว…

หากถึงยามหัวเลี้ยวหัวต่อบ้านแตกสาแหรกขาดบุตรชายยังดื้อรั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลงละก็ นางก็จะวางยาเขาเสีย แล้วค่อยส่งคนแอบพาหนีออกจากเมือง เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไปขอลี้ภัยกับชาวบ้านที่อื่น

แม้ว่าจะสูญเสียทรัพย์สมบัติ ย่อมดีกว่าศีรษะขาดร่วงพื้นอยู่มากโข

ต่อให้วันข้างหน้าจะเกิดแก่เจ็บตายในอีกไม่กี่ปี เช่นนั้นก็นับว่ารักษาชีวิตได้อย่างปลอดภัย

ครั้นคิดถึงสิ่งนี้ โจวอวิ๋นอวิ่นก็อดน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้งไม่ได้

“ว่าอย่างไรนะ! ซงเอ๋อร์ไม่อยู่ในจวนหรือ”

ยาชาของนางยังไม่ทันได้เตรียมพร้อม เจ้าเด็กสารเลวนี่กลับแอบออกไปแล้ว! หรือว่าเขาจะมีความสามารถรู้ล่วงหน้ากันนะ

ในขณะนั้น โจวอวิ๋นอวิ่นไม่มีเวลาให้ร่ำไห้อีกต่อไป

นางทราบดีว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทราบทั่วกันในยามนี้ ทำได้เพียงรีบตามผู้ดูแลรัฐอาวุโสจัดเตรียมข้ารับใช้ที่คุ้นเคยและเชื่อถือได้แฝงเข้าไปตรวจสอบในเมือง พยายามตามหาเจ้าพ่อคุณทูนหัวให้พบโดยเร็วที่สุด

แท้จริงแล้ว ทังจงซงออกเดินทางก่อนที่ทังหมิงจะออกจากจวนเสียอีก

เมื่อเทียบกับสถานการณ์ชายแดน เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของเผียวเจิ้งหงยิ่งกว่า จนในที่สุดก็นั่งไม่ติด

อีกทั้งเขาเชื่อว่าด้วยความสามารถบิดาของตนเองประกอบกับทัพทหารหลายแสนนายในมือเฮ่อโหย่วเจี้ยนที่ชายแดน

แม้จะพ่ายแพ้ให้ทัพอีกาดำและฮั่ววั่ง แต่สร้างความวุ่นวายเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา

ตราบใดที่สามารถสร้างช่องโหว่ได้เพียงชั่วครู่ เชื่อว่าบิดาของตนจะสามารถหาวิธีหลบหนีได้

ทว่าทางด้านของตนเองกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

……………………………………………………….

[1] ปลาไนในน้ำ ใช้เปรียบเปรยกับสิ่งที่เป็นที่นิยมและมีจำนวนมาก

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท