ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 56 เกราะเมฆดำเข้าคู่ชาดแดงงาม-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 56 เกราะเมฆดำเข้าคู่ชาดแดงงาม-1

ตอนหลิวรุ่ยอิ่งถึงเมืองติ้งซีอ๋องก็เป็นยามกลางคืนแล้ว

หากเสียเวลาระหว่างทางอีกนิดเกรงว่าประตูเมืองคงปิด…

ด้วยว่าในเมืองอ๋องทั้งห้าไม่มีอาคารกรมสอบสวนตั้งอยู่ หลิวรุ่ยอิ่งจึงได้แต่หาโรงเตี๊ยมเข้าพัก หากพูดถึงโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองติ้งซีอ๋องก็เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากโรงเตี๊ยมพูนโชค

ข้าวต้มหนึ่งชาม เครื่องเคียงสามจาน ซาลาเปาเนื้อสองลูก

หลิวรุ่ยอิ่งคิดดูแล้วไม่ได้ดื่มเหล้า ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ยังต้องไปพบติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งอีก

ทั้งคืนไร้สุ้มเสียง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลิวรุ่ยอิ่งตื่นตั้งแต่นกยังไม่ร้อง

เขาเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้จูงม้าออกมา แล้วมุ่งตรงไปวังติ้งซีอ๋อง

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นประตูใหญ่ที่ยังซ่อมแซมอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้แต่ดึงตัวนายทหารทัพอีกาดำคนหนึ่งที่กำลังติดใบประกาศไว้พลางกล่าว

“ข้าน้อยหลิวรุ่ยอิ่งนายกองกรมสอบสวนกลาง มีเรื่องสำคัญเข้าพบติ้งซีอ๋อง รบกวนช่วยบอกต่อด้วย”

ไม่นานนัก นายทหารทัพอีกาดำที่ถือหนังสือรับรองราชการของเขาเข้าไปรายงานก็นำทางหลิวรุ่ยอิ่งเข้าวังอ๋อง

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวรุ่ยอิ่งเข้าวังอ๋องทั้งห้า ในใจอดเปรียบเทียบกับกรมสอบสวนกลางไม่ได้ เขารู้สึกได้ทันทีว่าวังติ้งซีอ๋องของฮั่ววั่งไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเท่ากรมสอบสวนของตน ในใจพลันผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย

“นายกองหลิวมาถึงเมืองอ๋องเมื่อไร”

ฮั่ววั่งอยู่ในเครื่องแบบทหาร เพียงแต่ยังไม่สวมหมวกเกราะ เขานั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์พลางเอ่ยถาม

เข้าพระตำหนักวังอ๋องย่อมไม่อาจพกกระบี่

หลิวรุ่ยอิ่งวางกระบี่ดาราไว้บนถาดรองที่องครักษ์ถืออยู่ด้านข้างและเดินขึ้นไป

ฮั่ววั่งเห็นกระบี่ดารานั่นแยกกับหลิวรุ่ยอิ่งแล้วใจพลันกระตุกอย่างอดไม่ได้ เกือบข่มความปรารถนานั้นไว้ไม่อยู่

“ตอบติ้งซีอ๋อง กระหม่อมมาถึงเมืองอ๋องเมื่อคืนวานพ่ะย่ะค่ะ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“พักอยู่ที่ใดกัน ในวังอ๋องห้องว่างเยอะแยะ หากไม่รังเกียจข้าสั่งให้พวกเขาทำความสะอาดสักหน่อยก็พักได้สบายแล้ว”

ฮั่ววั่งกล่าว

เขาก็รู้ว่าในเมืองอ๋องไม่มีอาคารกรมสอบสวน

แทนที่หลิวรุ่ยอิ่งจะพักอยู่โรงเตี๊ยม ไม่สู้ให้เขาเข้าวังอ๋องของตน เช่นนี้จะได้สังเกตการณ์ทั้งวันทั้งคืน ถือโอกาสสืบหาความจริงของกระบี่ดาราเล่มนั้นด้วย

ด้วยว่าหลี่อวิ้นอยู่สังกัดฐานเมฆา และฐานเมฆาก็อยู่ห่างไกลนัก ต่อให้อยากมาแก้แค้นก็ไม่มีทางสมหวังเช่นนั้น แต่หลิวรุ่ยอิ่งต่างออกไป เบื้องหลังของกรมสอบสวนกลางเป็นถึงฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่า พี่ชายคนนี้ยังไม่ใช่คนที่ตนจะล่วงเกินได้ในตอนนี้

แม้ทัพอีกาดำแข็งแกร่ง แต่เทียบกับทัพสามเกียรติของฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ากลับเหมือนใช้ไข่ตีหิน หนำซ้ำฮั่ววั่งยังสงสัยมาตลอดว่าระหว่างหลิวรุ่ยอิ่งกับหลิวจิ่งเฮ่าทั้งสองคนต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างที่พูดได้ไม่ชัดเจน

แม้ความปรารถนาเขาแรงกล้าอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นมัวเมาเสียสติเพราะมัน เรื่องใดทำได้ เรื่องใดทำไม่ได้ กล้าสังหารผู้ใด ไม่อาจสังหารผู้ใด ย่อมรู้ชัดเจนดี

“ขอบพระทัยติ้งซีอ๋องที่กรุณา กระหม่อมพักอยู่ในโรงเตี๊ยมพูนโชคแล้ว วันนี้มารบกวนท่านอ๋องถึงวังติ้งซีอ๋องด้วยมีเรื่องขอให้ช่วย”

หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือคำนับขอบคุณฮั่ววั่งแล้วกล่าว

“อ้อ? มีเรื่องอันใด”

ฮั่ววั่งแปลกใจมากเช่นกัน เขาไม่นึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะมีเรื่องขอให้ตนช่วย ในใจพลันใคร่ครวญว่าหากไม่มีผลกระทบอะไรมากและไม่ไปเรียกนักเชิดหุ่นปิศาจมาอีก เช่นนั้นตนก็ทำให้เขาทั้งหมด จะได้อาศัยเรื่องนี้ตีสนิท ให้เขาวางความระแวดระวังต่อตนลงบ้าง เช่นนี้ก็สะดวกให้ตนเกลี้ยกล่อมไม่ใช่หรือ

หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่เกรงใจ บอกตามตรงว่าอยากให้ฮั่ววั่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับหอทรงปัญญาให้ตนสักหน่อย

“หอทรงปัญญา? ทำไมกัน แม้ตัวเจ้าเป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แต่หอทรงปัญญานี้ไม่ได้เป็นของเขตติ้งซีอ๋อง แล้วก็ไม่ได้เป็นของเขตเจิ้นเป่ยอ๋อง ว่าตามหลักแล้วไม่อยู่ในขอบเขตการดำเนินงานของเจ้า”

ฮั่ววั่งพูดไปในใจก็ตกตะลึง

ทำไมหลิวรุ่ยอิ่งถึงได้ถามเรื่องของหอทรงปัญญา

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้เป็นหนามทิ่มอยู่ในใจฮั่ววั่ง…

เนื่องจากหอทรงปัญญากับหอทรงภูมิเน้นอบรมเหล่าบัณฑิต แต่ไรมาล้วนเป็นสถานที่ยอดนิยมในใจบัณฑิต

ต้องทราบว่าบนโลกนี้ไม่ใช่ทุกคนจะฝึกยุทธ์ได้ทั้งหมด อย่าว่าแต่คุณสมบัติดั้งเดิมเจ้าเป็นอย่างไร พรสวรรค์กี่ส่วน แค่ค่าใช้จ่ายมหาศาลในเส้นทางฝึกยุทธ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาจะแบกรับไหว ดังนั้นเมื่อคนยากจนเผชิญกับความลำเค็ญไม่สิ้นสุด การเรียนหนังสือเลื่อนขั้นหางานราชการจึงเป็นเส้นทางที่ตรงกับความเป็นจริงที่สุด อีกอย่างเครื่องเขียนราคาเท่าไรกันเชียว หากเจ้ารู้จักใช้ให้เป็น เช่นนั้นไม่ว่าครอบครัวไหนก็ซื้อไหว

บัณฑิตเรียนหนักอยู่บ้านทุกวัน ไม่ทำงานใช้แรงกายใด อาหารที่กินก็น้อย พ่อแม่ออกไปข้างนอกเรียกได้ว่าดูดีมีเกียรติ ต่อให้เป็นถงเซิงธรรมดาขั้นต่ำสุดก็ต้องมีอาจารย์ที่ซื่อตรง เรียบง่ายและคงแก่เรียนเป็นอย่างยิ่งเขียนหนังสือรับรองให้ถึงจะได้รับการแต่งตั้ง มีชื่อเรียกนี้แล้ว ต่อให้ยังไม่มีขั้นก็สามารถเสวยสุขกับเบี้ยเลี้ยงค่าอาหารและเสื้อผ้าครึ่งตำลึงได้ทุกเดือน หากบ้านใครมีถงเซิงธรรมดาคนหนึ่งก็จะเปิดประตูฝนหมึก เปิดหน้าต่างอ่านหนังสือทุกวี่ทุกวัน กลัวเพื่อนบ้านแถวนั้นไม่รู้ว่าบ้านตนมีบัณฑิตคนหนึ่ง

สังคมเป็นเช่นนี้ ใจคนจึงเป็นเช่นนี้ ขอแค่ได้ปะปนอยู่ด้วยสักตำแหน่ง ชีวิตนี้ก็ไม่กลัวไม่มีข้าวกินแล้ว ในวังติ้งซีอ๋องของฮั่ววั่งเองก็มีขุนนางบุ๋นไม่น้อย ล้วนเป็นบัณฑิตที่มีระดับขั้น ถึงกับมีดาราไหมแดงขั้นหกคนหนึ่งด้วย ระดับขั้นนี้สามารถรับตำแหน่งผู้ช่วยในอาคารหลักหอทรงปัญญาได้แล้ว ตำแหน่งขั้นสองรองจากหัวหน้าอาคารไม่สู้เป็นเสมียนขั้นสูงไร้อำนาจในวังอ๋อง?

คิดอย่างนั้นก็ตรงกันข้ามแล้ว

เรียนหนังสือมานานเช่นนี้ ต่อให้เครื่องเขียนราคาถูกเพียงใดก็ต้องมีค่าใช้จ่ายไม่ใช่หรือ ลำบากเล่าเรียนสิบกว่าปีเพื่ออะไร ก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรือ จะได้มีภรรยาที่รักอยู่เคียงข้างพร้อมกับนาดีเรือนงาม ดังนั้นสิ่งแรกที่บัณฑิตระดับสูงมากมายเลือกทำเมื่อออกจากหอทรงปัญญาก็คือไปเป็นขุนนางก่อน แม้ตำแหน่งไม่สูงเท่าอยู่ในหอ แต่ไม่ว่าขุนนางเล็กหรือใหญ่ อย่างน้อยก็มีอำนาจในมือ!

เงินเกล็ดหิมะ[1]แสนตำลึง สีเหมือนหิมะแต่หนักอึ้งกว่าหิมะมากนัก หนำซ้ำหิมะอยู่ได้แค่หนึ่งฤดูหนาว แต่เงินเกล็ดหิมะเป็นร้อยเป็นพันปียังไม่เน่าเปื่อย ส่วนคำที่นักปราชญ์ว่าไว้ ‘กินดื่มเรียบง่าย อยู่ตรอกทรุดโทรม สงเคราะห์บัณฑิตยากจน’ ก็โยนทิ้งเข้ากลีบเมฆไปนานแล้ว ตอนเรียนหนังสือลำบาก เรียนจบแล้วยังให้ข้าลำบากอีก จะเป็นไปได้อย่างไร?! ข้าต้องการเสื้องามอาหารเลิศ ชุดหรูหราบ้านใหญ่โต

สุดท้าย คำสอนนักปราชญ์ยังไม่อาจเทียบเงินขาวและทองแท้

แต่ก็สามารถเข้าใจได้ อย่างไรคนใกล้ตายก็มีความสุขกับการมีชีวิต และคนที่มีชีวิตก็คิดแต่จะใช้ชีวิตให้ดีกว่าเดิม หลักสามัญของคน ย่อมไม่ขัดแย้งกัน อีกอย่างการแลกเงินขาวทองแท้มาด้วยคำสอนนักปราชญ์ สุดท้ายแล้วก็เป็นความสามารถของตัวเองเหมือนกัน

เพียงแต่ในบ้านของพวกเขาล้วนมีแท่นสักการะแท่นหนึ่งไว้บูชาตำราเบ็ดเตล็ด วรรณกรรมคำกลอน และบรมครูปรัชญาเมธีผู้ล่วงลับจากสำนักต่างๆ

เห็นพวกเขามีท่าทางเช่นนี้ ลองคิดดูก็รู้ว่าคงไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร…

ถ้าแค่อยากได้ของจำนวนหนึ่งมาเสวยสุขก็ไม่เป็นไรหรอก ฮั่ววั่งยังไม่ถึงขั้นตระหนี่ถี่เหนียวกับของนอกกายเล็กน้อยพวกนี้ เพียงแต่ช่วงนี้เขาเหมือนเห็นว่าพวกบัณฑิตมีพรรคพวก มีจุดประสงค์เข้ามาหางานในวังอ๋องกับหัวเมืองต่างๆ ไปจนถึงในกองทัพ และบัณฑิตขั้นสูงมากมายยังถึงขั้นมีฝีมือไม่ธรรมดาด้วย นี่ทำให้ฮั่ววั่งปวดหัวยิ่ง

บัณฑิตใช้ชุดขุนนางบุ๋นเป็นเกราะกำบัง เดินทั่วใต้หล้าอย่างไร้กังวลโดยแท้ เป็นใครก็คงไม่คิดสงสัยและตรวจสอบบัณฑิตอ่อนแอมือไม่มีแรงมัดไก่คนหนึ่งหรอกกระมัง

ฮั่ววั่งก็เป็นเช่นนี้

ตอนแรกไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสม อย่างไรในกองทัพก็ต้องการอาลักษณ์ขุนนางบุ๋นรับส่งรายงานรบ ร่างคำสั่งกองทัพและดูแลงานธุรการ แต่จนกระทั่งผู้สั่งการหัวเมืองรัฐเยวี่ยคนหนึ่งถูกอาลักษณ์ดูแลเสบียงในกองทัพแทงตายด้วยพู่กัน ถึงทำให้ฮั่ววั่งรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ และตอนแรกผู้สั่งการหัวเมืองคนนั้นเป็นทหารธรรมดาคนหนึ่งในรัฐติง ต่อมาเขาตีฐานที่มั่นศัตรูแตกในศึกปะทะนักปล้นสะดมได้บ่อยครั้ง หลังผ่านสงครามนับร้อย สะสมคุณูปการจนได้นั่งตำแหน่งนี้ ด้วยว่าเป็นคนรัฐเยวี่ย ไม่นานจึงถูกย้ายกลับบ้านเกิด ไม่ใช่กระสอบฟางถังข้าว[2]แต่อย่างใด

หลิวรุ่ยอิ่งยังคงปิดบังเรื่องกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป แต่ชี้แจงเรื่องที่ตนเจอเหตุการณ์ดักโจมตีรวมถึงเบาะแสที่ได้มาจากการสอบสวนภายหลังให้ฮั่ววั่งทราบ

เขาพูดพลางสังเกตสีหน้าของฮั่ววั่ง อยากจับความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยจากในนั้น ถึงอย่างไรในใจเขายังรู้สึกว่ามีความเป็นได้สูงที่ฮั่ววั่งจะเป็นผู้บงการเบื้องหลังเรื่องนี้ คิดไม่ถึง ฮั่ววั่งตั้งใจฟังยิ่ง ยังถามรายละเอียดบางส่วนขัดจังหวะเขาอยู่ตลอด นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจเอาเสียเลย…

‘ดูท่าหอทรงปัญญานี่เริ่มไม่อยู่เฉยแล้วจริงๆ…หรือพวกเขาจ้องกระบี่ดาราของหลิวรุ่ยอิ่งเหมือนกัน’

ฮั่ววั่งคิดในใจ

แต่เขายังไม่คิดว่าหอทรงปัญญาจะมีความอาจหาญถึงขั้นกล้าประมือเป็นศัตรูกับกรมสอบสวนกลางที่มีฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ายืนอยู่ด้านหลังอย่างโจ่งแจ้ง แต่คิดดูอีกที หลิวรุ่ยอิ่งก็ถูกพวกบัณฑิตน่าชังกลุ่มนี้หาเรื่องแล้ว เป็นโอกาสอันดีที่จะดึงกรมสอบสวนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ใช่หรือ พอเป็นเช่นนี้ ตนก็มีเวลาถอนตะปูทั้งหมดที่หอทรงปัญญายัดเข้ามาในเขตติ้งซีอ๋องทีละดอก

ขณะฮั่ววั่งกำลังเตรียมหาประโยชน์จากสถานการณ์ของหลิวรุ่ยอิ่งนั้น พลันมีทหารทัพอีกาดำคนหนึ่งพูดอยู่นอกพระตำหนักว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน

ฮั่ววั่งให้หลิวรุ่ยอิ่งนั่งลงและเรียกทหารคนนั้นเข้ามาพูดทันที

“ทูลท่านอ๋อง ชานเมืองฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอ๋องมีดาวยักษ์ดวงหนึ่งตกลงมาพ่ะย่ะค่ะ!”

นายทหารกล่าว

“มีชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายหรือไม่”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงาน…แต่ใกล้ๆ บริเวณที่ดาวยักษ์ร่วงลงมามีหมู่บ้านหลายแห่งพ่ะย่ะค่ะ”

นายทหารกล่าว

ฮั่ววั่งฟังจบแล้วมองหลิวรุ่ยอิ่งแวบหนึ่งทันที กล่าวว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องออกไปครู่หนึ่ง เรื่องที่นายกองหลิวถาม ข้าจะให้คนนำระเบียนเอกสารส่งถึงโรงเตี๊ยมพูนโชค”

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฮั่ววั่งมีงานราชการก็ไม่สะดวกพูดอะไรอีก เพียงขอบคุณด้วยความเกรงใจยิ่งแล้วออกจากวังอ๋อง

ฮั่ววั่งพร้อมทัพอีกาดำห้าร้อยนายสวมเกราะเบาขี่ม้าเร็วเร่งไปยังจุดเกิดเหตุ ไม่รู้เพราะอะไร เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างคลุมเครือ

เดิมดาวตกก็อัปมงคลมากอยู่แล้ว แต่ดาวตกตอนกลางวันยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก

“ท่านอ๋อง ข้าผู้เฒ่าดูลักษณะดวงดาวกลางดึกแล้วพบว่าสองสามวันนี้ดาวศุกร์ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเคลื่อนไหวผิดปกติ”

ฮั่ววั่งกำลังออกจากวัง ชายชราคนหนึ่งรีบเข้ามากล่าว

คนผู้นี้นามว่าซุนจิงเหว่ย เป็นนักพรตอินหยาง

แม้ฮั่ววั่งไม่นับเป็นคนงมงาย แต่กับเรื่องสวรรค์ผีสางเทวดาก็ยอมเชื่อว่ามีดีกว่าเชื่อว่าไม่มี

“ขึ้นม้า ไปดูกับข้าว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”

ฮั่ววั่งกล่าวพลางชี้ซุนจิงเหว่ย และชี้ทหารทัพอีกาดำนายหนึ่งเป็นเชิงให้พวกเขาสองคนนั่งม้าตัวเดียวกัน

มาถึงแถวนั้น ฮั่ววั่งบอกให้ทัพอีกาดำรอคำสั่งอยู่ที่เดิม ตนกลับค่อยๆ เดินเข้าไปพร้อมซุนจิงเหว่ย

“นี่! ท่านอ๋อง…นี่!”

ซุนจิงเหว่ยเห็นประโยคหนึ่งสลักไว้บนดาวตก เขาเห็นเจตจำนงแห่งสวรรค์ร่วงลงจากฟ้า พลันตกใจจนพูดไม่ออก…

แต่พอเขาหันมา สิ่งที่สะท้อนเข้าดวงตากลับเป็นคมกระบี่แสงเย็นเยียบของฮั่ววั่ง

หลังฮั่ววั่งฆ่าซุนจิงเหว่ยพลันเตะร่างของเขาลงกลางหลุมยักษ์ที่ดาวตกกระแทกลงมา

“จ้าวพันผูกปฐพีแปดทิศ!”

เขาเคลื่อนกำลังภายในรวมลมปราณต่อ สองฝ่ามือโจมตีดาวตกนั่นแตกละเอียด

“โอ้โฮ ท่านลุงสุดยอดไปเลย!”

เสียงอ่อนเยาว์สายหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังฝั่งขวา

เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังถือดอกไม้ป่าสองสามดอกที่เพิ่งเก็บมาเล่น นางเห็นฮั่ววั่งออกฝ่ามือโจมตีดาวตกแหลกเป็นชิ้นแล้วกล่าว

“เจ้าหนูน้อย ลุงเก่งหรือไม่”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“อื้อๆ เก่ง! พ่อข้าแรงเยอะสุดในหมู่บ้าน ตอนหินยักษ์ก้อนนี้หล่นลงมาเมื่อครู่ เขากับพวกพี่ชายและลุงๆ ในหมู่บ้านเดินเข้าไปพร้อมกัน แต่ขยับมันไม่ได้เลย แต่ท่านลุงยังไม่แตะก็ทุบมันแตกแล้ว!”

เด็กหญิงพยักหน้าสุดฤทธิ์ กล่าวด้วยความดีใจยิ่ง

“สังหารคนในหมู่บ้านภายในรัศมีร้อยลี้ให้หมด คนแก่ เด็กหรือสตรีไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ห้ามเหลือ ฆ่าหมดแล้วเผาทิ้งเสีย เปลี่ยนเป็นดินไหม้ หญ้าไม่ขึ้นสักชุ่นเดียว”

ฮั่ววั่งลูบหัวของเด็กหญิงและพูดกับทัพอีกาดำด้านหลัง

เมื่อเขากลับถึงวังอ๋อง บริเวณที่เด็กหญิงยืนก่อนหน้านี้เหลือเพียงเลือดสดกองหนึ่ง ในนั้นยังมีดอกไม้ป่าแช่อยู่สองสามดอก

……………………………………………

[1] เงินเกล็ดหิมะ หรือเงินขาว เรียกได้ว่าเป็นเงินบริสุทธิ์แทบไม่มีสิ่งใดเจือปน

[2] กระสอบฟางถังข้าว หมายถึงคนไร้ความสามารถ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท