ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 118 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-5

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 118 ไม่ทำลายไม่อาจสร้าง-5

ตาข่ายที่พลังปราณดาบคู่ของชายชุดขาวถักทอไม่เพียงป้องกันหัตถ์ราชันดาราบถรวมศูนย์ของหลิวจิ่งเฮ่าไว้ได้ ยังถึงขั้นดันปราณม่วงรูปเถาวัลย์ที่ปีนป่ายบนดาบให้ถอยร่นอย่างช้าๆ

ทว่าปราณม่วงนั้นไม่ได้หดกลับเพราะได้รับความเสียหายจากความร้อนหรือความเย็นเหมือนหนวดแมลงที่ยื่นออกมา แต่เหมือนในตาข่ายพลังปราณดาบคู่มีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งเร้นกายอยู่ คอยกัดกินปราณม่วงทีละคำ

ทุกครั้งที่สัตว์ร้ายเคลื่อนไปหน่อยหนึ่ง ปราณม่วงก็ถูกกินหน่อยหนึ่ง

หลิวจิ่งเฮ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาไม่นึกว่าชายชุดขาวจะแข็งแกร่งขนาดนี้!

คิดดูแล้วเขาสองคนต้องรู้จักกันดีเป็นแน่

ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจเปิดโปงวิทยายุทธ์ของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่เจอหน้า

ความจริงหากถึงขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีปแล้ว ต่อให้ไม่รู้จักก็ล้วนเข้าใจกันและกัน

ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล แต่ยอดเขาแห่งใต้หล้ากลับเล็กยิ่งนัก

เล็กจนอาจยืนได้แค่สองสามคน

ในสภาพแวดล้อมเล็กๆ เช่นนี้ ต่อให้ไม่กี่คนนั้นยืนหันหลังชนกันโดยไม่พูดจา อย่างน้อยก็นับได้ว่ารู้จัก

เพียงแต่น้อยคนนักที่รู้ว่าชายชุดขาวเคยเป็นสหายหลิวจิ่งเฮ่าในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว

สหายแบบใดน่ะหรือ

เป็นสหายแบบเดียวกับฮั่ววั่งและเยี่ยเหว่ย

เพียงแต่จุดจบของพวกเขาไม่ได้ปรองดองเหมือนฮั่ววั่งกับเยี่ยเหว่ย

จากคำที่ชายชุดขาวพูดกับหลิวรุ่ยอิ่งก่อนหน้านี้ก็ดูออกได้ว่าเขาเป็นคนให้ความสำคัญกับความรู้สึกอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะมิตรภาพ

ระหว่างชายสองคน ไม่ว่าขั้นฝึกตนสูงหรือต่ำ ไม่ว่าตำแหน่งมีเกียรติหรือต่ำต้อย ตราบใดที่เกิดมิตรภาพก็น้อยนักที่ถอยหลัง มีแต่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ

แต่ถ้าพัวพันถึงเรื่องอันตรายและยุ่งยากที่สุดในโลกอีกสองอย่าง แม้มิตรภาพที่แข็งกว่าทองเริ่มสั่นคลอนถึงขั้นสูญสิ้นพังทลายก็เป็นเรื่องของเหตุผลกับความรู้สึกเช่นกัน

สตรี

ความรัก

สตรีอันตรายยิ่ง โดยเฉพาะสตรีที่อ่อนโยน

ความรักยุ่งยากนัก โดยเฉพาะความรักที่เกิดขึ้นกะทันหัน

โลกนี้ไม่มีรักแรกพบอยู่แล้ว ทุกคนที่บอกว่าตัวเองตกหลุมรักแต่แรกพบโดยทั่วไปล้วนเป็นพวกมักมาก

แต่มีใครไม่มักมากบ้างหรือ

เด็กห้าขวบยังชอบให้พี่สาวคนงามอุ้มตัวเองเล่น นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มผู้โดดเด่นอย่างหลิวจิ่งเฮ่ากับชายชุดขาวในตอนนั้น

…………………………

ชายชุดขาวนามว่าตู้เยี่ยน

แม้เขาไม่ได้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับหลิวจิ่งเฮ่า แต่ก็เป็นสหายร่วมอุดมการณ์อย่างแท้จริง

หากทั้งสองไม่ดื่มเหล้าก็ประลองยุทธ์กันทุกวัน

ประลองยุทธ์เหนื่อยแล้วดื่มเหล้า ดื่มเหล้าเมาก็ประลองยุทธ์

พอถึงตอนเหนื่อยจนหมดแรงประลองยุทธ์และดื่มเหล้าไม่ไหว ทั้งสองจะวิ่งไปห้องส้วมเหมือนคลุ้มคลั่ง

ด้วยว่าหยุดเหล้าที่ปั่นป่วนในกระเพาะไม่ได้

ตอนชายคนหนึ่งยังไม่เคยรักใคร ต่อให้เขามีชีวิตมาห้าสิบปี เขาก็ยังเป็นแค่ชายคนหนึ่ง

อย่างไรแก่นของโลกใบนี้ก็หมุนโดยมีความรู้สึกของมนุษย์เป็นรากฐานและสายสัมพันธ์

มิตรภาพคือความรู้สึก แต่มิตรภาพไม่ใช่ความรัก

มิตรภาพเป็นเพียงผลผลิตหลังจากสนุกสนานด้วยกันจนถึงขีดสุด

มันเป็นสิ่งที่ต้องมีสาเหตุและเรื่องราวถึงจะเกิดขึ้น

ระหว่างเพื่อนจึงยอมอ่อนได้ เต็มที่ได้และถึงขั้นเสียสละได้

แต่ความรักไม่ได้

ความรักเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวที่สุดในโลก

ไม่อาจแบ่งให้คนอื่นได้แม้เพียงนิด

อาจบอกเพื่อนได้ว่าตนรักคนคนหนึ่งขนาดไหน แต่คงไม่มีใครชวนเพื่อนตัวเองมารักนางด้วยเป็นแน่

ยุทธ์ฝึกร่วมกันได้ เหล้าดื่มด้วยกันได้ ส่วนคนมีแค่ตนที่รักได้

หากสองคนหลงรักคนคนหนึ่งในเวลาเดียวกัน

เช่นนั้นก็ไม่อาจฝึกยุทธ์

แม้เหล้ายังพอดื่มด้วยกันได้ แต่ก็ไม่ใช่รสชาติอย่างเคย

ถ้าไม่จืดชืดเหมือนน้ำ ก็ขมฝาดเหมือนยา

ชื่อของแม่นางคนนั้นไพเราะนัก ชื่อว่าหวั่นเอ๋อร์

ไม่รู้นางสกุลอะไร เพราะไม่ว่าที่ไหนเมื่อไรนางล้วนบอกคนอื่นว่านางชื่อหวั่นเอ๋อร์

อ่อนหวานมีปัญญา นุ่มนวลดุจสายน้ำ

นิสัยนางก็เหมาะกับชื่ออย่างยิ่ง

หวั่นเอ๋อร์เกิดมาไม่งามนัก

ทั้งไม่มีลักษณะเพียบพร้อมเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่

นางแค่อ่อนโยนยิ่ง ในความอ่อนโยนยังมีความดื้อรั้นหลายส่วน ทว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด

ส่วนหลิวจิ่งเฮ่ากับตู้เยี่ยนรู้จักหวั่นเอ๋อร์อย่างไร คงไม่มีใครรู้นอกจากพวกเขาเอง

หลิวจิ่งเฮ่าก็ไม่รู้ เพราะเขาจำไม่ได้แล้ว

แม้ลืมเรื่องหนึ่งยากนัก ลืมคนที่ตัวเองรักยากยิ่งกว่า แต่เขาจำไม่ได้แล้วจริงๆ

ถึงเขาจะแต่งตั้งต้นสาลี่ต้นหนึ่งเป็นเอ้าเสวี่ยโหวได้ แต่เขาก็ลืมจริงๆ ว่าตนรู้จักหวั่นเอ๋อร์อย่างไร

หากหญิงคนหนึ่งงดงามมาก ย่อมต้องแข่งกันเกี่ยวพาน

แต่ความอ่อนโยนและเอาใจใส่ของหวั่นเอ๋อร์กลับมากพอให้ชดเชยสิ่งที่รูปโฉมขาดหายไป

ความงามได้แค่ทำให้สบายตา แต่ความอ่อนโยนทำให้สบายใจ

เราอาจจงใจซ่อนความทรงจำในสมองจนลืมเลือนได้ แต่ความรู้สึกสบายใจเช่นนี้จนตายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง

หลิวจิ่งเฮ่าไม่เคยเจอแม่นางที่ทำให้เขาสบายใจได้เช่นนั้นอีกเลย ตู้เยี่ยนก็ด้วย

วันที่หวั่นเอ๋อร์จากไปตู้เยี่ยนกุมมือของนาง คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง ขอให้นางไม่จากไป

นางก็คุกเข่าลงอย่างอ่อนโยน ยิ้มกล่าวกับตู้เยี่ยน ‘หากข้าไม่ไป ข้าก็ต้องตาย’

ตู้เยี่ยนกระโดดพรวดเหมือนคนบ้า ชักดาบคู่ตาข่ายเมฆาของตนออกมา ตะโกนด้วยโทสะ ‘ไม่มีทาง! เจ้าจะตายได้อย่างไร หากใครทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าสาบานจะต้องฟันร่างมันแหลกหมื่นส่วน!’

หวั่นเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน ยังคงกล่าวชัดถ้อยเสียงเบา ‘หากข้าไม่ไป และไม่ตาย เช่นนั้นระหว่างเจ้ากับหลิวจิ่งเฮ่าจะมีคนหนึ่งต้องตาย’

ตู้เยี่ยนได้ยินแล้วเงียบ

เขารู้ว่าหลิวจิ่งเฮ่ารักหวั่นเอ๋อร์อย่างลึกซึ้งเหมือนกัน

เพียงแต่ความรักของหลิวจิ่งเฮ่าซ่อนอยู่ลึกยิ่ง เขามักจัดการทุกอย่างแทนหวั่นเอ๋อร์โดยไม่บอกแล้วจากไปเงียบๆ

ความรักของตู้เยี่ยนร้อนแรงนัก เขามักวางแผนอนาคตกับวันข้างหน้าวันละไม่ต่ำกว่าหมื่นรอบ พูดถึงตลอดเวลา

ในใจหวั่นเอ๋อร์ซาบซึ้งทุกสิ่งที่หลิวจิ่งเฮ่าทำเพื่อนาง

นางเป็นเด็กกำพร้า

แต่นางเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารยิ่ง

เพราะนางจำได้ว่ามือสังหารที่ฆ่ายกครัวตนเป็นใคร ยังจำลักษณะตอนพ่อแม่พี่น้องของตนตายไปได้ด้วย

จุดนี้หลิวรุ่ยอิ่งดีกว่านางเยอะ

ไม่ประสบก็จะไม่เจ็บปวด ต่อให้รับรู้จากปากคนอื่นก็เป็นแค่การฟังเรื่องราวเท่านั้น

หลิวจิ่งเฮ่ากับตู้เยี่ยนอยู่แค่ขอบเขตปรมบุคคลต้านทานสี่ทิศ

แต่นับจากรู้อดีตของหวั่นเอ๋อร์ หลิวจิ่งเฮ่าก็พยายามจะแก้แค้นแทนนางสุดแรง

เพราะเขาสัมผัสได้ว่าภายใต้ความเรียบร้อยอ่อนโยนของหวั่นเอ๋อร์ซุกซ่อนความเจ็บปวดไว้มากเพียงใด

เขาไม่อยากให้หวั่นเอ๋อร์เจ็บปวด เขาอยากให้นางใช้ชีวิตอย่างสบายใจ หัวเราะได้ตามใจอยาก

ทุกคนล้วนมีวิธีรับมือความทุกข์ยากในอดีตเป็นของตัวเอง

หวั่นเอ๋อร์เลือกใช้วิธีที่ทำให้คนใจสลายที่สุด…อ่อนโยน

นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง

ชีวิตแรกพ่อแม่เป็นคนให้ นางไม่มีทางเลือกอื่นใด

ครั้งที่สองสวรรค์ส่งมอบ ทำให้นางรอดชีวิตในคืนนั้น

ในเมื่อชีวิตที่สองกลับมาเป็นของตัวนางโดยสมบูรณ์ ใจนางจึงรู้สึกซาบซึ้งต่อทุกสิ่งที่ได้รับหรือได้เจอทั้งหมดหลังจากคืนนั้น

นานวันเข้า ความรู้สึกซาบซึ้งเช่นนี้ก็กลายเป็นความอ่อนโยนในกระดูก

นางสามารถใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดปลอบโยนผู้คนรอบกายได้เสมอ

เพราะนางเคยประสบความเจ็บปวดถึงขีดสุด ย่อมมองข้ามความวุ่นวายที่มาพร้อมเรื่องจุกจิกในชีวิตได้

หลิวจิ่งเฮ่าในตอนนั้นพูดไม่ค่อยเก่ง ตอนทุกข์ใจก็ชอบนั่งเหม่ออยู่บนสันหลังคาคนเดียว

เขาบอกว่าเขากำลังดูดาว แต่ที่ผ่านมาล้วนเป็นฟ้ามืดทึม

หวั่นเอ๋อร์จะไม่เอ่ยปากพูดอะไร แต่จะปีนขึ้นบนสันหลังคาแผ่นเดียวกับที่เขานั่ง จากนั้นนั่งลงตำแหน่งไม่ใกล้ไม่ไกลหลิวจิ่งเฮ่าและดูดาวในคืนฟ้ามืดด้วยกัน

นางรู้ว่าหากนางนั่งไกลเกินไปหลิวจิ่งเฮ่าต้องกังวลลนลานเป็นแน่ นั่นจะไม่เพิ่มความกดดันให้เขาหรอกหรือ

อยู่ห่างเล็กน้อยให้ใจหลิวจิ่งเฮ่ารู้ว่าตนอยู่ข้างๆ ขณะเดียวกันยังมีช่องว่างมากพอให้เหม่อลอยได้ด้วย นี่ไม่ใช่แผนยอดเยี่ยมหรอกหรือ

พวกเขามักนั่งอยู่เช่นนี้ทั้งคืน จนดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกทั้งสองถึงได้ลุกขึ้นกลับบ้านอย่างพร้อมเพรียง

มองไม่เห็นดาว ได้เห็นอาทิตย์ยามเช้าก็นับเป็นการปลอบใจอย่างหนึ่งกระมัง

ตู้เยี่ยนตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

เขาเป็นทุกข์แล้วเอาแต่ก่นด่า จากนั้นดื่มจนเมาเละ

อ้วกเรี่ยราดเต็มพื้นแล้วค่อยคลานกลับมาหลับสนิทบนเตียง

หวั่นเอ๋อร์ก็ดื่มเหล้าไปกับเขา

ระดับความคอแข็งของตู้เยี่ยนปกติ แต่อย่างน้อยก็ดื่มเก่งกว่าหวั่นเอ๋อร์มาก

ดังนั้นมักจะเป็นหวั่นเอ๋อร์เมาก่อนและอ้วกก่อน

แต่ต่อให้หวั่นเอ๋อร์ดื่มเท่าไร อ้วกกี่ครั้ง นางก็จะฝืนจนตู้เยี่ยนขึ้นเตียงแล้วเสียงกรนค่อยๆ ดังถึงได้กลับ

ว่าไปแล้วก็แปลก

ตอนตู้เยี่ยนอารมณ์ไม่ดี หลิวจิ่งเฮ่ามักทุกข์ใจอยู่เหมือนกัน

ทั้งสองคนหนึ่งดูดาวบนสันหลังคา คนหนึ่งดื่มเหล้าในบ้าน

หวั่นเอ๋อร์ดื่มเหล้ากับตู้เยี่ยนเสร็จก็จะขึ้นไปนั่งดูดาวเป็นเพื่อนหลิวจิ่งเฮ่าบนสันหลังคาและตากลมให้สร่างเมา

ตอนฟ้าสางหลิวจิ่งเฮ่ากลับห้องพักผ่อน นางก็สร่างแล้วเจ็ดแปดส่วน จึงไปเก็บกวาดเศษซากเต็มพื้นนั้นในห้องตู้เยี่ยน

ทั้งสามเข้าใจกันและกัน วันเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปเช่นนี้

แต่หวั่นเอ๋อร์รู้ดีว่าตัวเองทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

หลิวจิ่งเฮ่ากับตู้เยี่ยนล้วนดีกับตนมาก

และนางไม่ควรหลงรักคนสองคนพร้อมกันอย่างเด็ดขาด

หวั่นเอ๋อร์เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งอย่างแท้จริง นางแค่อยากโอบรับและเคียงข้างทุกสิ่งด้วยความอ่อนโยนของตัวเอง แต่จะไม่ยอมให้ใครเป็นทุกข์เพราะนางแม้แต่นิดเดียว

นางจึงตัดสินใจจากไป

ตู้เยี่ยนก็รั้งนางไว้ไม่ได้

วันนั้นหลิวจิ่งเฮ่าไม่อยู่ด้วยซ้ำ

ตู้เยี่ยนคิดว่านางรักหลิวจิ่งเฮ่ามาก แต่เขามักปฏิเสธนางด้วยความเงียบเสมอ

หลิวจิ่งเฮ่าคิดว่านางรักตู้เยี่ยนอย่างจริงใจ แต่เขาไม่รู้จักเห็นคุณค่า เพียงเห็นนางเป็นเพื่อนสนิทที่คุยเรื่องในใจได้คนหนึ่ง

ความเข้าใจผิดนี้ไม่ได้แก้ไขจนถึงสุดท้าย ดังนั้นพอทั้งสองเจอหน้าก็หันอาวุธใส่กัน

………………………..

หลิวจิ่งเฮ่านึกไม่ถึงว่าไม่เจอกันหลายปีขั้นฝึกตนของตู้เยี่ยนจะพัฒนาถึงขั้นนี้!

ปราณม่วงที่ลอยขึ้นจากหัตถ์ราชันดาราบถรวมศูนย์ของเขาไม่ใช่พลังปราณที่อินหยางสองขั้วจะสร้างได้แล้ว มันแฝงไว้ด้วยหลักสัจธรรมจำนวนหนึ่ง

ก็เหมือนฮั่ววั่งหมกมุ่นในขอบเขตเซียนดาราทลายสรรพสิ่ง แต่เซียนดาราก็เป็นแค่การแบ่งภายใต้สัจธรรม หรือต้องบอกว่าเป็นเส้นทางสายหนึ่งที่มุ่งสู่สัจธรรม

มีกี่เส้นทางที่สามารถมุ่งไปสู่สัจธรรม ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน

แต่การบำเพ็ญเซียนดาราไม่ต่างกับเส้นทางอื่น

อย่างน้อยก็ไม่ต่างจากปราณม่วงบนหัตถ์ราชันดาราบถรวมศูนย์ของหลิวจิ่งเฮ่า ล้วนเป็นเส้นทางแห่งสัจธรรมธรรมดาๆ สายหนึ่งเท่านั้น

ไม่แบ่งก่อนหลังใกล้ไกล ไม่มีสูงส่งต่ำต้อย

แต่ตอนนี้ปราณม่วงหนึ่งในเส้นทางแห่งสัจธรรมกลับถูกแสงดาบของตู้เยี่ยนกัดกินทีละชุ่น แสดงว่าตู้เยี่ยนก็เจอเส้นทางแห่งสัจธรรมของตัวเองแล้วเหมือนกัน

ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองประลองคือใครเดินบนเส้นทางแห่งสัจธรรมได้ไกลและนานกว่ากัน

หากปราณม่วงของหลิวจิ่งเฮ่าเดินออกไปสามก้าว แต่ตู้เยี่ยนมีเพียงครึ่งก้าว เช่นนั้นหลิวจิ่งเฮ่าย่อมจัดการเขาได้อยู่หมัด

แต่ดูจากรูปการณ์ตอนนี้ เกรงว่าทั้งสองล้วนเดินในรูปเท้าและจำนวนก้าวเดียวกัน

บนมือซ้ายของหลิวจิ่งเฮ่าก็ค่อยๆ ปรากฏรัศมีสีดินเหลืองวงหนึ่ง

หัตถ์ราชันธรณีรวมศูนย์ของเขาก็บำเพ็ญบนเส้นทางแห่งสัจธรรมได้แล้วเหมือนกัน!

ฝ่ามือซ้ายเขาตบบนหลังมือขวาของตนอย่างรุนแรง

ดาราบถธรณีทับซ้อน

ความโกลาหลมืดมิดพังทลาย เกิดเป็นฟ้าสูงดินต่ำ!

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท