หลี่โม่ไม่เคยมีความสนใจในเรื่องการแสดงต่างๆ และนั่งเฉยๆก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงได้ลุกขึ้นและเรียกฟางรั่วเสว่ออกไปรับลมข้างนอกด้วยกัน และคิดว่ารอเวลาที่การประมูลรอบสองใกล้จะเริ่มขึ้นแล้วค่อยกลับมา
เนื่องจากช่วงพักเบรกระหว่างการแข่งขันนั้นทั้งน่าเบื่อและยาวนานเกินไป
ดังนั้นหลี่โม่และฟางรั่วเสว่จึงตัดสินใจออกจากสถานที่ชั่วคราว และมาพักผ่อนที่ร้านกาแฟข้างๆศูนย์กีฬา
สั่งกาแฟมาสองแก้ว แล้วทั้งสองก็นั่งอยู่ที่โต๊ะกลมหนึ่งตัวและนั่งหันหน้าเข้าหากัน
หลี่โม่นั่งลงบนเก้าอี้ ยกสองแขนขึ้นยืดตัวบิดขี้เกียจ
“โอ๊ย~ ก็ยังเป็นสภาพแวดล้อมแบบที่นี่อิสระและสบาย~”
ฟางรั่วเสว่มองดูหลี่โม่ที่สีหน้าผ่อนคลาย ถามว่า
“คุณหลี่โม่คะ พวกเราจะนั่งกันอยู่ที่ตรงนี้หรอ? เมื่อกี้ฉันเห็นผู้คนในงานต่างก็ใช้เวลาในช่วงพักเบรกแลกเปลี่ยนนามบัตรและทำความรู้จักกัน แต่พวกเรากลับหนีออกมา มันจะเสียโอกาสมากไปมั้ย?”
หลี่ไม่คิดว่าฟางรั่วเสว่จะถามคำถามแบบนี้ จึงทำให้สำลักในทันที แต่ก็ตอบสนองอย่างเร็ว
“แค่กๆ…..วันนี้ฉันไม่ได้เอานามบัตรมา แล้วต่อไปก็ยังมีโอกาสแบบนี้อีก โอกาสมีอยู่มากมาย แล้วอีกอย่างฉันบอกกับเธอแล้วไม่ใช่หรอ วันนี้ฉันออกมาเพื่อผ่อนคลาย ไม่อยากเข้าสังคมอะไรมาก พวกเรานั้นพักผ่อนให้สบาย เตรียมตัวรอดูเรื่องสนุกในการแข่งขันรอบที่สองก็พอ”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ที่พูดก็ถูก~”
ฟางรั่วเสว่ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงไม่ได้ถามอะไรอีก
ที่จริงแล้วในใจหลี่โม่รู้ดี ตามชื่อเสียงและอำนาจของตัวเองในตอนนี้ ไม่มีสิทธิ์มากพอที่จะทำความรู้จักกับผู้คนระดับสูงด้านในนั้น แต่ว่าสักวันตัวเองต้องทำได้แน่นอน!
นั่งเงียบอยู่ในร้านกาแฟสักพัก หลี่โม่กำลังนั่งเหม่อมองบรรยากาศนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาถามประโยคหนึ่งว่า
“ผมนั่งขอตรงนี้ได้มั้ยครับ?”
หลี่โม่ได้สติกำลังจะพูด คนๆนั้นก็นั่งลงตรงที่นั่งข้างหลี่โม่แล้ว หลี่โม่เองก็ได้เห็นหน้าตาของเขาชัดเจน
ผมสีทองที่สะดุดตา ที่แท้ก็เป็นไอ้หนุ่มชุยเซิ่งจุนนี่เอง
หลังจากที่ชุยเซิ่งจุนนั่งลงแล้วก็ดื่มกาแฟอึกหนึ่ง แล้วหันหน้ามองหลี่โม่และพูดว่า
“หลี่โม่ คุณรู้จักผมมั้ย?”
ปากของชุยเซิ่งจุนพูดชื่อของตัวเขาออกมา หลี่โม่มีความแปลกใจนิดหน่อย ในใจคิดว่าไอ้หนุ่มนี่รู้จักตัวเองด้วย
“ชุยเซิ่งจุนแห่งโรงรับจำนำจู้ติ่ง คุณก็ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองฮ่าน ผมต้องรู้จักอยู่แล้ว แต่ว่าวันนี้พวกเราเป็นการพบกันครั้งแรก ไม่คิดเลยว่าคุณก็จะรู้จักผมเช่นกัน”
ชุยเซิ่งจุนหัวเราะออกมา
“เดิมทีก็ไม่ได้รู้จัก แต่ว่าผมก็เคยได้ยินเรื่องของคุณที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมในเมืองฮ่านมาบ้าง ดังนั้นจึงพอจำชื่อของคุณได้ และวันนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเคยเจอคุณ….ไ
พูดแล้วก็ยกกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่มจนหมด แล้วก็ลุกขึ้น
“ผมก็แค่เข้ามาทักทายคุณเฉยๆ อ้อใช่สิ ถ้าหากว่านายยังรีบร้อนใช้เงินยินดีต้อนรับมาหาผมได้ทุกเมื่อ จี้หนานหงอาเกตนั้นของคุณน่าจะจำนำได้ราคาดี โอเค ผมไปละ”
พูดจบแล้วก็ตบบ่าของหลี่โม่ ไม่รอหลี่โม่ตอบรับ ชุยเซิ่งจุนก็หันหลังเดินจากไปแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นการสนทนาสั้นๆ แต่ว่าหลี่โม่ฟังออกจากคำพูดของชุยเซิ่งจุนว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
หลี่โม่หวงแหนจี้หนานหงอาเกตมาก สิ่งนั้นเขาเก็บได้มาจากตลาดโบราณวัตถุของเถาเปา และไม่เคยโอ้อวดมาก่อน ผู้ที่รู้ว่าเขามีจี้ตัวนี้มีน้อยคนมาก แต่ชุยเซิ่งจุนไม่เพียงแต่รู้เรื่องนี้ ยังสามารถดูออกว่าจี้หยกนั้นทำมาจากหนานหงชั้นดี
ถึงแม้ว่าดูแล้วชุยเซิ่งจุนนั้นไม่ได้มีความคิดไม่ดีอะไร แต่ว่าสำหรับคนที่เฉียบคมแบบนี้ หลี่โม่ก็รู้สึกว่าระวังไว้ก่อนถึงจะดี
มองดูเวลา การประมูลรอบสองก็ใกล้จะเริ่มแล้ว
ใช้ผลสรุปในรอบแรกมาอ้างอิง เซียวเลี่ยน่าจะวาง “ของดี” ไว้ในรอบสองเพื่อกู้หน้ากลับมา
เมื่อทั้งสองกลับไปถึง นักแสดงที่ทำการแสดงอยู่บนเวทีก็ได้หายไปหมดแล้ว และที่มาแทนที่ก็คือเซียวเลี่ยที่แต่งตัวเต็มยศ เขากำลังถือไมค์ยืนพูดอะไรบางอย่างอยู่บนเวที
หลี่โม่และฟางรั่วเสว่กลับไปนั่งตรงที่นั่งของตัวเอง ถึงจะได้ยินชัดเจนขึ้น
“…..แบบนี้เอง ดังนั้นก่อนเริ่มการประมูลในรอบที่สองนี้ ผมตัดสินใจเพิ่มเติมรายการพิเศษอย่างหนึ่งเพื่อให้ทุกคนมีความสุข พนักงาน ยกเอารูปขึ้นมา!”
เสียงคำสั่งของเซียวเลี่ย พนักงานสองคนก็ยกเอารูปวาดที่ใส่กรอบสีทองอร่ามขึ้นมาบนแท่นประมูล
หลี่โม่จ้องมองดู นั่นคือรูปวาดหมึกดำของจีน รูปวาดเป็นม้าขาวดำอย่างละตัวกำลังวิ่งอยู่
หลังจากที่รูปวาดถูกวางอยู่บนแท่นประมูลแล้ว เซียวเลี่ยก็พูดแนะนำว่า
“รูปวาดหมึกดำ “ม้าวิ่ง” เป็นสิ่งที่กระผมเซียวโม่วซื้อมาจากต่างประเทศในช่วงก่อน และไม่กลัวที่จะบอกกับทุกท่าน รูปวาดนี้ผมจ่ายเงินสองแสนเพื่อซื้อในตอนนั้น! วันนี้ผมเสียสละมันออกมา ทำการประมูลในที่นี้ และยังไม่จำกัดราคาขั้นต่ำ! ถือซะว่าเอามาเป็นของเพิ่มความสุขให้กับทุกท่านแล้วกันครับ!”
เมื่อคำพูดนี้ของเซียวเลี่ยพูดออกมา ทั้งงานก็มีเสียงปรบมือดังกระหึ่มในทันที ผู้คนด้านล่างเวทีต่างก็ซุบซิบกันและทำการพูดถึงรูปวาดขึ้นมา
วินาทีนี้ เป็นความมีชีวิตชีวาที่สุดตั้งแต่เริ่มการแข่งขันมา และก็เริ่มจากในตอนนี้ การแข่งขันก็ได้เข้าสู่จุดสำคัญอย่างเป็นทางการ
เซียวเลี่ยพูดต่อว่า
“เนื่องจากเป็นรายการที่เพิ่มขึ้นกะทันหัน รูปวาดนี้ทุกท่านอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่นะ วาดได้ดีหรือไม่ดีก็ไม่ใช่กระผมเซียวโม่วจะตัดสินได้ แต่เป็นทุกท่านที่ตัดสิน ดังนั้นเวลาต่อมาทุกท่านมีเวลามากพอที่จะทำความเข้าใจวิเคราะห์ต่อรูปวาดนี้ ผู้เข้าแข่งขันที่มีความสนใจ ยินดีต้อนรับขึ้นมาวิเคราะห์รับชมบนเวทีได้เลยครับ”
มีความมั่นใจขนาดนี้เชียว? หลี่โม่คิดในใจ
การแข่งขันในวันนี้มีปรมาจารย์ประเมินค่าและปรมาจารย์ลอกเลียนแบบมาไม่น้อย เซียวเลี่ยกลับกล้าทำแบบนี้ งั้นก็พิสูจน์ได้ว่ารูปภาพนี้เป็นของแท้ที่มีค่าใช่มั้ย? หรือว่า นี่เป็นการทดสอบที่เซียวเลี่ยใช้กับผู้ประมูลอีกอย่างหนึ่ง?
จิ้งจอกเฒ่าเซียวเลี่ยคนนี้ ทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ออกจริงๆ
“โอ้ย ในที่สุดก็มีที่ยังพอดูได้มาสักอย่างแล้ว!”
ชุยเซิ่งจุนที่อยู่โต๊ะเดียวกับหลี่โม่พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง ลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น แล้วเดินยังแท่นโชว์ทีละก้าว
มองดูแผ่นหลังของชุยเซิ่งจุน ในใจหลี่โม่คิดว่า
คนหนุ่มนี่มันมีความกล้าหาญจริงๆ แต่ว่าคนที่ทำอะไรเป็นอย่างแรกไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ พูดได้ว่าผู้ที่ขึ้นเวทีคนแรกก็คือตัวแทนของผู้ประมูลที่มีระดับสูงมากที่สุดในรอบนี้ ผลการแยกแยะจะมีผลกระทบต่อเส้นทางการแข่งขันที่เหลือทั้งหมด และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้หนุ่มชุยเซิ่งจุนนั้นจะเข้าใจถึงผลกระทบในส่วนนี้มั้ย