หวังฝู้พูดว่า “นายต้องให้ความร่วมมือกับฉัน แค่นี้ก็ไม่มีใครจับเราได้แล้ว!”
เมื่อก่อนหยางฉวนเคยคิดแบบนี้ ตอนนี้เขาอยากทำความคิดนี้มาก แน่นอนว่าเขาไม่พลาดโอกาสนี้
ช่างชำนาญการยังไม่ทันได้พูดอะไร หวังฝู้เบียดตัวออกมาจากผู้คน
“ไอ้หนุ่ม ในที่สุดฉันก็จับแกได้แล้ว แกกล้าขโมยก้อนหินของฉัน กล้ามากนะ”
หวังฝู้พูดอย่างเดือดดาล
คนรอบๆ ที่กำลังพูดไม่หยุด แน่นอนว่ามีคนที่ดูออก ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนเปลี่ยนความชื่นชมก่อนหน้านี้ เป็นแววตาดูถูกและสงสัย
หยางฉวนเดินเข้ามา และพูดว่า “ไอ้หนุ่ม แกขโมยมัน ก่อนที่ฉันจะบอกกติกากับแก ฉันคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องนี้ ถุย!”
พูดจบเขาก็ถ่มน้ำลายลงพื้น
บางคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากได้ยินข่าวซุบซิบ ข่าวบางเรื่องก็ได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ทุกคนพากันเชื่อข่าวซุบซิบที่พูดออกมา
แววตาชื่นชมเปลี่ยนเป็นดูถูก ร้ายกาจเหมือนเป็นศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
“ที่แท้ขโมยมาเหรอ วิธีนี้ช่างต่ำจริงๆ!”
“ใช่ อายุยังน้อยไม่ทำตัวดีๆ คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องแบบนี้!”
“ฉันว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร ทำเรื่องแบบนี้ ไม่ละอายใจเอาเสียเลย!”
ทุกคนต่างพากันพูดขึ้นมา ตอนนี้ทุกคนพากันแสดงความคิดเห็น
แน่นอนว่าทุกคนไม่ชอบใจที่หลี่โม่โชคดีเช่นนี้
หลี่โม่ขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันซื้อหินนี่มาจากนาย ตอนนี้นายมาบอกว่าฉันขโมย โดยไม่มีหลักฐานอะไรเลย นายมากล่าวหาฉันแบบปากเปล่าอย่างนั้นเหรอ”
กู้หยุนหลันก็ขมวดคิ้ว และพูดอย่างเยือกเย็น “พวกนายมาใส่ร้ายสามีฉัน ถ้าวันนี้พวกนายหาหลักฐานไม่ได้ อย่ามาว่าฉันแล้วกัน ฉันจะโทรเรียกทนาย มาเอาตัวพวกนายขึ้นศาล!”
หวังฝู้กับหยางฉวนเป็นอันธพาลแถวนี้ พวกเขาไม่กลัวเรื่องพวกนี้ อีกอย่าง ตอนที่พวกเขาทำเรื่องนี้ พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อก่อนพวกเขาทำเรื่องหลอกเอาเงินคนอื่นมาไม่น้อย สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ พวกเขาคุ้นชินเหมือนเรื่องปกติแล้ว
“อย่ามาขู่ฉัน แกยังไม่ยอมรับว่าขโมยเหรอ ผู้ชายหน้าไม่อาย ผู้หญิงก็หน้าไม่อายเหมือนกัน ฉันว่าพวกนายทำแบบนี้ คงไม่ยอมรับสินะ!”
หยางฉวนแสยะยิ้ม ตอนนี้สถานการณ์มันสับสนวุ่นวายมาก
หวังฝู้เดินเข้ามา เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกเราไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเขาขโมย แล้วสามีของเธอมีหลักฐานว่าไม่ได้ขโมยมาจากเราหรือเปล่าล่ะ”
หลังจากนั้นหวังฝู้จงใจพูดเสียงดัง เพื่อเรียกความสนใจจากคนรอบๆ และพูดขึ้นว่า “ตอนที่สามีเธอเข้ามา เขาไม่ได้เอาหินมาด้วย คนในที่นี้ก็เห็นกันเยอะแยะ ถ้าสามีเธอไม่ได้ขโมย แล้วเขาเสกออกมาอย่างนั้นเหรอ”
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าบางคนในที่นี้ ฟังคำพูดโกหกออก แต่ตอนนี้ยังคงครุ่นคิด เพราะสองคนนี้เป็นอันธพาล และมีพวกไม่น้อย
ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังอยู่ในการหาหลักฐาน จึงไม่มีสิทธิ์ทำอะไร
เมื่อหวังฝู้พูดออกมาแบบมีเหตุผล คนส่วนใหญ่ก็เริ่มดูคนหลอกลวง
ขณะเดียวกันก็มีบางคนที่เริ่มตื่นเต้นและโมโห
“ที่แท้เขาเป็นพวกต้มตุ๋น ดูเหมือนตอนนี้จะพูดอะไรไม่ออกแล้ว รีบไล่เขาออกไปสิ!”
“พวกเราไล่มันออกไป เอาคนต้มตุ๋นนี่โยนออกไปข้างนอก!”
“โยนออกไปเลย!”
อันที่จริง คนส่วนใหญ่ต้องการประจบสอพลอหวังฝู้ เพราะรู้จักเขาดี
หวังฝู้แสยะยิ้มในใจ ครั้งนี้มันช่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครจับได้อย่างแน่นอน
ขณะนี้หวังฝู้กับหยางฉวนมองหน้ากัน สำเร็จแล้ว
ขณะนั้นเอง หลี่โม่พูดออกมาว่า “ขอโทษนะ ฉันมีหลักฐานว่าฉันไม่ได้ขโมยมัน!”
ทุกคนกำลังมองหลี่โม่ แต่เป็นสายตาสงสัย
กู้หยุนหลันถึงกับโล่งใจ เธอไม่เชื่อว่าหลี่โม่ขโมย แต่เธอกังวลว่าถ้ายังไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เธอจะโดนใส่ร้าย
ถึงแม้เธอจะหลุดออกจากเกมนี้ได้ แต่ยังไงก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก
เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำให้ตระกูลเสียหายได้
“แกมีหลักฐานเหรอ ล้อเล่นหรือไง หาคนในที่นี้มายืนยันให้แกสิ ถ้าแกหามาได้ นั่นแสดงว่าแกมีหลักฐาน!”
หวังฝู้พูดเย้ยหยัน การที่หลี่โม่จะหาหลักฐานมาได้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือให้พวกคนที่เห็นเขาซื้อหิน มาเป็นพยาน
แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
เขาเป็นคนเลวมาปีกว่าแล้ว ไม่มีใครกล้าหือกับเขา คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา
เป็นไปตามคาด เมื่อเขาพูดแบบนี้ออกมา คนรอบๆ พากันเงียบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออกมา
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่พูด แต่หลังจากที่หวังฝู้พูดสิ่งเหล่านั้นออกมา ทุกคนเชื่อว่าหลี่โม่เป็นคนหลอกลวง ส่วนคนที่เหลือ กลัวว่าหวังฝู้จะมาเอาคืน จึงไม่พูดอะไรออกมา
“ไอ้หนุ่ม คนหลอกลวง ตอนเด็กๆ ไม่รู้จักเรียนรู้สิ่งดีๆ แกคุกเข่าก้มหัวขอโทษฉัน อ้อนวอนฉันด้วย เรียกฉันว่าพ่อและพูดขอโทษออกมา ฉันจะได้ปล่อยแกไป!”
ตอนนี้หยางฉวนเหิมเกริมมาก
เขาคิดในใจว่า หลังจากเอาหินมา เขาจะได้ไปอยู่แบบสบายๆ สักพักหนึ่ง แค่คิดก็มีความสุขแล้ว
ตอนนี้ทุกคนมองหลี่โม่อย่างเห็นใจ เพราะพวกเขาคิดว่า นี่คือความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
“ไอ้หนุ่ม ข้อเสนอของพวกพี่เขาดีมาก ถ้าตอนนี้แกคุกเข่าเรียกพ่อ ฉันจะปล่อยแกไป เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป!”
ขณะนั้นหวังฝู้คิดว่านี่คือผลที่เขาต้องการ
ตอนนี้หลี่โม่ยกยิ้มมุมปาก และหัวเราะออกมา
ไอ้หมอนี่ได้ยินว่าจะเข้าคุก เลยตกใจกลัวจนบ้าไปแล้วหรือ
เมื่อเห็นหลี่โม่หัวเราะขึ้นมา ความคิดนี้ก็โผล่ขึ้นมาในหัวของคนที่อยู่รอบๆ
แต่รอยยิ้มนี้ ทำให้หวังฝู้กับหยางฉวนรู้สึกสยอง จนเหงื่อไหลออกมา
และพวกเขารู้สึกว่าเมื่อถูกแววตานี้จ้องมอง ทำให้รู้สึกไม่ดีมาก ซึ่งไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน
“ไอ้หนุ่ม ตอนนี้พวกฉันให้โอกาสแก ถ้าแกไม่ต้องการ ฉันจะเรียกตำรวจมาจับแกไป ต่อไปนี้แกได้ใช้ชีวิตในคุกแน่!”
ตอนนี้หวังฝู้โมโหมาก อีกทั้งยังโดนมองจนรู้สึกไม่ดี
ขณะนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่โม่หายไป มันถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมและเย็นยะเยือก เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ฉันก็จะให้โอกาสพวกนายเหมือนกัน พวกนายต้องคุกเข่าขอโทษฉัน ฉันจะไว้ชีวิตพวกนาย!”
คำพูดเดียว ดังสนั่นไปทั่ว
แต่คนที่อยู่ตรงนี้พากันงงไปหมด ทุกคนเหมือนกำลังมองคนไร้สติ
จริงๆ แล้วมีคนที่จะเกลี้ยกล่อมให้หลี่โม่รับผิด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดมันออกมา
หวังฝู้กับหยางฉวนทำท่าเหมือนได้ยินเรื่องตลก และใช้สายตาที่เหมือนมองคนโง่
เมื่อกู้หยุนหลันได้ยินคำนี้ เธอกลับโล่งใจมาก เพราะเธอเชื่อใจหลี่โม่
และเชื่อด้วยว่าหลี่โม่ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ ถึงเมื่อสองสามปีก่อน จะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เธอพอเข้าใจอะไรมาบ้าง
อีกอย่าง กู้หยุนหลันเป็นคนที่มองอะไรทะลุปรุโปร่ง เธอมองออกนานแล้วว่าหวังฝู้กับหยางฉวนมีพิรุธ
“ตอนนี้พวกนายมีเวลาสิบวินาที ถ้าฉันนับถึงหนึ่ง แล้วพวกนายยังไม่ยอมคุกเข่าขอโทษ พวกนายรอรับผลกรรมได้เลย!”
หลี่โม่มองทั้งสองคนอย่างเย็นชา เขาเริ่มนับ เขาทำเช่นนี้ เพราะต้องการทำให้สองคนนั้นหวาดกลัว
หวังฝู้กับหยางฉวนยืนกอดอก และมองด้วยสายตายียวน เพราะพวกเขาคิดว่าหลี่โม่กำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
แต่ทว่าตอนนี้ คนรอบๆ เริ่มมีสัญชาตญาณบางอย่าง นั่นก็คือหลี่โม่อาจจะมีหลักฐาน