ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 24 นี่อาจจะเป็นชะตากรรม

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 24 นี่อาจจะเป็นชะตากรรม

บทที่ 24 นี่อาจจะเป็นชะตากรรม

ทันใดนั้นอสรพิษสองหัวก็คลุ้มคลั่งอย่างถึงที่สุด ก่อนระเบิดตัวเองหลังจากมีต้นกล้างอกอยู่ทั่วตัว และการระเบิดตัวเองของมันก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง!

“หลิงเยว่ ศิษย์สายนอกของยอดเขาโอสถเป็นผู้ชนะ!”

เสียงของศิลาชี้ชะตาประกาศผู้ชนะ ทำให้เหล่าผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ สับสน หลิงเยว่ชนะงั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

ผาวฮุยควรเป็นผู้ชนะไม่ใช่หรือ?

“เมื่อครู่ข้าได้ยินถูกหรือไม่?”

“หลิงเยว่อยู่ในท้องของอสรพิษสองหัว นางจะรอดได้อย่างไร แล้วผาวฮุยตายได้อย่างไรกัน!?”

“ข้าก็ไม่รู้…”

ผู้บำเพ็ญที่มีขอบเขตต่ำไม่เข้าใจ แต่ผู้บำเพ็ญที่มีขอบเขตสูงกว่ากลับมองเห็นทุกอย่าง

ก่อนที่อสรพิษสองหัวจะระเบิดมีร่างมนุษย์โผล่ออกมาจากอสรพิษสองหัวเสียก่อน!

การเลิกสัญญาฝ่ายเดียวกลับล้มเหลว แม้ว่าผาวฮุยผู้บาดเจ็บสาหัสจะวิ่งหนีทันเวลา แต่เขาก็ยังได้รับผลกระทบจากการระเบิดตัวเองของอสรพิษสองหัว ซึ่งมันยิ่งทำให้อาการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น

…และในท้ายที่สุดเขาก็ได้จากไป

ขณะนี้มีร่างหนึ่งที่นอนอยู่ตรงมุมลานประลอง แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เห็นได้ชัดว่ายังมีลมหายใจแผ่วเบา

“ไม่นะ!”

ผาวซ่านรับไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงควักมีดออกมาแล้วพุ่งขึ้นไปบนลานประลองอย่างบ้าคลั่ง เขาอยากจะสับนังสารเลวผู้นี้เป็นหมื่นชิ้น!

“ข้าจะฆ่าเจ้าและฝังเจ้าไปพร้อมกับลูกชายของข้า!”

“ชิ้ง!”

กระบี่ขาวราวหิมะที่ล้อมรอบด้วยหมอกสีขาวปัดป้องมีดที่กำลังพุ่งไปที่หลิงเยว่

โม่จวินเจ๋อถือกระบี่เหมันต์เร้นลับไว้ในมือ ขณะที่อวี้เจินและลู่เป่ยเหยียนยืนปกป้องอยู่ทั้งสองข้าง ทั้งสามคนยืนเรียงเพื่อปกป้องหลิงเยว่

หลงหว่านโหรวอุ้มเด็กสาวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสขึ้นมา แล้วกระโดดขึ้นไปบนอาวุธวิญญาณของนางที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจากไปนางยังมองย้อนกลับไปที่ผาวซ่าน

ดวงตาของหลงหว่านโหรวสื่อความหมายให้แก่ผาวซ่านอย่างชัดเจนว่านี่เป็นการยั่วยุ!

ผาวซ่านคิดอยากจะแก้แค้น

“ผู้ดูแล ข้าแนะนำให้ท่านนำส่วนที่เหลือของลูกชายกลับไปฝังเถิด คงจะไม่ดีแน่ถ้าเถ้าอัฐิที่เหลืออยู่ถูกลมพัดปลิวหายไป…”

ว่านอวี้เฟิงยิ้มราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าคำพูดนั้นราวกับมีดคมกริบที่แทงทะลุหัวใจของผาวซ่าน

อวี้เจินก้มศีรษะลงพยายามกลั้นหัวเราะ ทำไมนางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าว่านอวี้เฟิงเป็นคนชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้

โม่จวินเจ๋อมองดูอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วหันหลังกลับ ก่อนเดินจากไป

“ผู้ดูแล ท่านคงทราบอยู่แล้วว่าลูกชายของท่านตายเพราะเหตุใด และมันเป็นเพียงความบังเอิญที่ศิษย์น้องห้าของข้ารอดชีวิตมาได้”

“บางทีนี่อาจเป็นชะตากรรม”

ประโยคนี้ของว่านอวี้เฟิงทำให้ใบหน้าของผาวซ่านดูมืดมนมากยิ่งขึ้นไปอีก

แต่ผาวซ่านเองก็สงบสติลง เนื่องด้วยว่านอวี้เฟิงบอกเขาอย่างชัดเจนว่าตอนนี้หลิงเยว่ได้รับการปกป้องจากยอดเขาโอสถแล้ว หากอีกฝ่ายกล้าลงมือ เขาจะต้องเผชิญกับปัญหาที่แสนสาหัส…

“ได้… ได้! เป็นลูกของข้าที่ไม่โชคดีเอง!”

ผาวซ่านกัดฟัน สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป

ศพของผาวฮุยถูกตระกูลผาวเอาไป

ยังมีคนจำนวนมากที่ยังคงอยู่รอบ ๆ ลานประลองหมายเลขเก้าสิบเจ็ด พวกเขากำลังพูดถึงเหล่าศิษย์หัวกะทิที่มาพาตัวหลิงเยว่จากไป

“หลิงเยว่เป็นแค่ศิษย์สายนอกไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงรู้จักคนเหล่านั้นได้?”

“ใครจะรู้?”

บางคนรู้สึกเจ็บแปลบในใจ ในขณะที่บางคนก็เกิดอิจฉาจนตาแดง

เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนหลิงเยว่เป็นเพียงคนไม่ได้ความ แม้เวลาจะล่วงเลยมาหนึ่งปีแล้ว นางไม่แม้แต่จะสามารถดูดซับปราณเข้าสู่ร่างกายได้ ทว่าตอนนี้นางมีโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร!

คนที่คิดเช่นนั้นแน่นอนว่าคือคนที่เคยรู้จักเจ้าของร่างเดิม

แต่ในขณะนี้ ตัวละครเอกที่กำลังถูกผู้อื่นอิจฉามากมายกำลังนอนอยู่บนเตียง โดยบนผิวหนังมีร่องรอยความเสียหายมากมาย และการหายใจก็อยู่ในสภาพไม่ค่อยดีนัก

“เมื่อไหร่นางจะตื่น?”

โม่จวินเจ๋อถามหลงหว่านโหรว

“ไม่รู้สิ แต่โชคดีที่นางฉลาด กินยาไปเยอะมาก จึงทันเวลาก่อนที่นางจะหมดสติไป ไม่อย่างนั้น…”

ไม่เช่นนั้นท้ายที่สุดหลิงเยว่ก็อาจจะต้องตายเช่นกัน

หลงหว่านโหรวส่ายหน้า

ว่านอวี้เฟิงเดินเข้ามาในหอกลั่นโอสถอย่างกังวล ตามมาด้วยปรมาจารย์พิษหญิงและหมอหญิง

นอกจากนักกลั่นโอสถแล้ว บนยอดเขาโอสถยังมีหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านพิษอีกด้วย ปรมาจารย์พิษเก่งในการใช้พิษและถนัดเรื่องต่อสู้สูงกว่าคนอื่น ๆ ในยอดเขาโอสถ

สำหรับศิษย์ที่ไม่มีความสามารถในการกลั่นโอสถ พวกเขาจะเลือกเป็นหมอหรือไม่ก็ปรมาจารย์ด้านพิษแทน

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

อวี้เจินที่มาช้าที่สุดมองไปที่หอกลั่นโอสถถที่ประตูปิดอยู่ด้วยสีหน้ากังวล

“ยังไม่ตาย” หลงหว่านโหรวตอบด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

หลิงเยว่ได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งภายในและภายนอก ทั้งยังได้รับพิษจากอสรพิษสองหัว

“ถ้าอยู่ในยอดเขาโอสถแล้วยังตาย ยอดเขาโอสถของเจ้าก็ควรถูกยุบไปซะ ไม่ต้องมีอยู่หรอก!” อวี้เจินพูดอย่างเดือดดาล

นางไม่ได้ถามว่าหลิงเยว่ตายแล้วหรือยัง! แค่ถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บเท่านั้น!

ทั้งห้าคนรออย่างเงียบ ๆ อยู่นอกประตู หลังจากรอมาโดยไม่ทราบระยะเวลาก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวในห้อง

ปรมาจารย์พิษหญิงและหมอหญิงออกมา

“พิษได้ถูกขับออกไปแล้ว และอาการบาดเจ็บภายนอกก็ได้รับการรักษาแล้ว สำหรับอาการบาดเจ็บภายในนั้นจะใช้เวลาประมาณสิบวันครึ่ง และนางจะตื่นได้ในวันพรุ่งนี้”

ได้ยินเช่นนี้โม่จวินเจ๋อก็รู้สึกโล่งใจ

เขาหวังว่าหลังจากประสบการณ์นี้ หลิงเยว่จะสามารถลงมือต่อสู้กับผู้อื่นได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้นในอนาคต

หมอหญิงบอกว่าพรุ่งนี้นางจะตื่น ทว่าหลิงเยว่กลับตื่นขึ้นมากลางดึก

นางลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังเตียงที่ไม่คุ้นเคยอย่างว่างเปล่า ก่อนจะพบว่าร่างกายสั่นด้วยความเจ็บปวดหากนางขยับ

“ฟ่อ…”

ผาวฮุยไม่นะ! อสรพิษสองหัวนั่นดุร้ายเกินไป! มันดุร้ายมากจนคิดจะตายไปพร้อมกับนาง!

เมื่อคิดถึงการต่อสู้ครั้งนั้น หลิงเยว่ก็นึกเสียใจอย่างไม่รู้ลืม นางต้องไม่ลังเลในครั้งต่อไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นนางเองที่ตาย!

“ตื่นแล้วหรือ?”

ทันใดนั้นเสียงก็ทำให้หลิงเยว่ตกใจ

“ศิษย์พี่ใหญ่…”

หลิงเยว่คอแห้งมากหลังจากนอนเป็นเวลานาน ทันทีที่นางตะโกนจบ ยาเย็น ๆ ก็ไหลลงคอและลงสู่ท้องของนาง

“โคจรลมปราณในร่างดูดซับพลังของยา” หลงหว่านโหรวไม่พูดไร้สาระอีกต่อไป

หลิงเยว่ทำตามที่อีกฝ่ายบอก แต่ทันทีที่นางเริ่มโคจรปราณ อวัยวะภายในและกระดูกกลับปวดร้าวมากคล้ายถูกแทงด้วยเข็มนับพันเล่ม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงทนไม่ไหว แต่หลังจากนั้นไม่นาน กลับกลายเป็นการโรยเกลือบนแผล ความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณ

นางไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ก่อนร้องไห้คร่ำครวญ

“เกิดอะไรขึ้น! เกิดอะไรขึ้น!” ว่านอวี้เฟิงรีบวิ่งเข้ามาในหอกลั่นโอสถถ

“ข้าเจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ…” ใบหน้าของหลิงเยว่เต็มไปด้วยน้ำตา ก่อนมองตาว่านอวี้เฟิงเพื่อขอความช่วยเหลือ

“โอสถหล่อกระดูกจะเจ็บมาก ดังนั้นเจ้าต้องอดทนแล้วมันจะผ่านไป”

โอสถหล่อกระดูกเป็นยารักษาชั้นหนึ่งที่มีผลอัศจรรย์ต่อการรักษาอาการบาดเจ็บภายใน ข้อเสียคือความเจ็บปวดนั้นแทบทนไม่ไหว

หลิงเยว่ “…”

นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะตายอีกครั้ง

“ท่านหยุดได้หรือไม่ มันเจ็บปวดเหลือเกินเจ้าค่ะ”

“ยาแก้ปวดใช้ไม่ได้ผลกับโอสถหล่อกระดูก”

คำพูดของหลงหว่านโหรวทำให้หลิงเยว่กลับมาสู่โลกความเป็นจริง

จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนที่น่าสังเวชเป็นระยะ ๆ ในหอกลั่นโอสถถหมายเลขสาม เสียงกรีดร้องผสมกับเสียงร้องโหยหวนทำให้วิญญาณของผู้ฟังสั่นสะท้าน ก่อนร้องไห้ออกมา

ว่านอวี้เฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เหมือนหลงหว่านโหรว จึงวิ่งหนีออกไป

หลังจากนั้นไม่นานเกี๊ยวต้มหลากสีสันร้อน ๆ ก็ถูกนำมา

“ศิษยน้องห้า ดูเกี๊ยวสมุนไพรวิญญาณที่ข้าทำสิ เจ้าอยากลองหรือไม่?”

ว่านอวี้เฟิงนำชามมาให้หลิงเยว่ราวกับว่าเขากำลังถวายสมบัติ คราวนี้เขาทำได้สำเร็จ!

หลิงเยว่ที่กำลังกัดไม้อยู่ในปากและทั้งร่างถูกมัดไว้ “…”

สภาพนางดูเหมือนสามารถกินอาหารได้หรืออย่างไร?

ว่านอวี้เฟิงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ตอนนี้ศิษยน้องห้าคงยังไม่สะดวกจริง ๆ

“งั้นข้าจะเก็บไว้ให้เจ้า ยาน่าจะหมดฤทธิ์ถ้าเจ้าทนมันได้อีกสักครึ่งชั่วยาม…”

เมื่อหลิงเยว่ได้ยินว่าความเจ็บปวดจะคงอยู่อีกนานถึงครึ่งชั่วยาม ก็คิดอยากจะตายเสียตอนนี้

หลิงเยว่รู้ด้วยว่าทำไมตนถึงถูกมัดไว้! เพื่อป้องกันไม่ให้นางฆ่าตัวตายเพราะอยากหนีความเจ็บปวดอย่างไรเล่า!

แม้ว่าจะกรีดร้องออกมาเท่าใด ทว่านางก็ยังพยายามอดทนอดกลั้นไว้อยู่ มาตอนนี้ นางกลับทนอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!

แม้ว่าจะมีไม้กัดอยู่ในปากของนาง แต่มันก็ไม่สามารถหยุดหลิงเยว่จากการส่งเสียงกรีดร้องออกมาได้

หลงหว่านโหรวและว่านอวี้เฟิงที่ถูกเจาะหูด้วยเสียงกรีดร้องในระยะใกล้แทบจะหูหนวก พวกเขาทั้งสองจึงหยิบแผ่นค่ายกลป้องกันออกมาเกือบจะพร้อม ๆ กันเพื่อปิดกันเสียงกรีดร้องของหลิงเยว่

น่าเสียดาย…

พวกเขาช้าไปหนึ่งก้าว

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท