ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 50 หมอเทวดา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 50 หมอเทวดา

ดวงตาลั่วเซิงเปล่งประกาย “หมอเทวดาหลี่รึ หมอเทวดาที่สามารถช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพผู้นั้นน่ะหรือ”

ลั่วเย่ว์อดไม่ได้ที่อุทานด้วยความไม่พอใจ “ไม่รู้ว่าหมอเทวดาหลี่คือผู้ใด ยังจะถามมากอีก…”

ลั่วเซิงถลึงตาใส่นาง สีหน้าเด็ดขาดขึ้นมา “ผู้ใหญ่พูดคุยกัน อย่าสอดปาก!”

ลั่วเย่ว์พึมพำอย่างไม่ยินยอม “ท่านแก่กว่าข้าแค่ปีเดียวเอง…”

“ข้าถึงวัยปักปิ่นแล้ว แต่เจ้ายังเป็นเด็ก” น้ำเสียงของลั่วเซิงดูเย็นชา แต่ตรงประเด็น

ลั่วเย่ว์หมดคำพูดไปชั่วขณะ ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นในดวงตา

ไม่ใช่นางคิดไปเองจริงๆ ลั่วเซิงเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นคนปากร้ายและโหดเหี้ยม

อีกหน่อยจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร

ลั่วเซิงไม่สนใจลั่วเย่ว์และมองไปที่ผิงลี่

ผิงลี่พยักหน้า “คือหมอเทวดาหลี่ท่านนั้นแหละ”

แม้แต่หมอหลวงหวังเองก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “บนโลกนี้นอกเหนือจากหมอเทวดาหลี่ ใครยังกล้าใช้สมญานามนี้อีก”

รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนริมฝีปากของลั่วเซิง

ใช่แล้ว บนโลกนี้นอกเหนือจากหมอเทวดาหลี่ ใครยังกล้าใช้สมญานามนี้

เมื่อสิบสองปีที่แล้วเป็นเช่นนี้ สิบสองปีถัดมาก็เป็นเช่นนี้

หมอเทวดาหลี่ที่สามารถดึงคนออกมาจากประตูนรกได้กลับพำนักอาศัยอยู่ชานเมืองของเมืองหลวง นี่มิใช่ความเมตตาอันหายากยิ่งที่สวรรค์มอบให้กับนางหรอกหรือ เพื่อให้หนทางในภายภาคหน้าของนางไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น

ลั่วเซิงยิ้มบางและถามผิงลี่ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่เชิญหมอเทวดาหลี่มาช่วยท่านพ่อเล่า”

ทันทีที่คำพูดนั้นเอ่ยออกมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอันน่าประหลาด

ลั่วเซิงผู้เฉลียวฉลาดตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เป็นเพราะนางรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่ยังมีชีวิตอยู่จึงเมินเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเช่นนี้ หากสามารถเชิญหมอเทวดาหลี่มารักษาแม่ทัพใหญ่ลั่วได้ จะรอให้ถึงตอนนี้ได้อย่างไร

ลั่วเซิงคิดเช่นนี้ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “พี่ชายใหญ่เหตุใดไม่พูดเล่า”

ผิงลี่เม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำใดชั่วขณะ

เสียงอันอ่อนโยนของคุณหนูรองลั่วฉิงดังขึ้น “น้องสามไปที่จินซาเลยไม่รู้ว่าหมอเทวดาหลี่ที่เพิ่งมาเมืองหลวงเมื่อช่วงต้นปีเข้าถึงยากนัก รักษาได้มากสุดเพียงสามคนต่อวันและเงื่อนไขที่หมอเทวดาเลือกผู้ป่วยคือต้องหาของที่ทำให้เขารู้สึกสนใจมาแลก หากไม่มี ไม่ว่าสถานะใดก็ไม่สนใจทั้งนั้น…”

ลั่วเซิงตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ เข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างลั่วฉิงและผิงลี่มากขึ้นเล็กน้อย

คุณหนูรองอ่อนโยนและพูดน้อย แต่ในช่วงเวลาที่ผิงลี่ลำบากใจกลับออกมาแก้หน้าให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งสองสนิทสนมกัน หรือใม่ก็ลั่วฉิงรู้สึกดีต่อผิงลี่ฝ่ายเดียว

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง เพียงแต่นางไม่มีความทรงจำของมานางลั่วจึงจำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์บางอย่างให้ชัดเจน

“ของอะไรที่ทำให้หมอเทวดาหลี่สนใจได้หรือ”

ลั่วฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่มีใครรู้ว่าหมอเทวดาหลี่สนใจอะไร หมอเทวดาหลี่เคยรับปะการังสีแดงสองอันแลกกับการรักษาอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าหนิงกั๋วกง และเคยรับลูกหมูจากคนฆ่าหมู แต่ก็มีของที่มีมูลค่ามากกว่าถูกปฏิเสธ ความชื่นชอบของหมอเทวดาหลี่จึงมิอาจรู้ได้จริงๆ”

ลั่วเซิงคิ้วขมวด “จวนแม่ทัพใหญ่เราใหญ่โตเพียงนี้ จะไม่มีของชิ้นใดที่หมอเทวดาหลี่สนใจเลยหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่บุญธรรมทั้งหลายยังพยายามไม่มากพอ”

“น้องสาม เข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าพี่บุญธรรมทั้งหลายไม่พยายามนะ แต่เพราะ…เพราะหมอเทวดาหลี่ลั่นวาจา ไม่ว่าจวนเราจะส่งของอะไรไปให้ก็ไม่รักษาท่านพ่อเด็ดขาด”

ลั่วเซิงสีหน้าดูประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้”

ลั่วฉิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้”

ไม่เพียงจวนสกุลลั่วเท่านั้นที่ไม่รู้ บัดนี้แม้แต่ชาวเมืองหลวงต่างก็สงสัยว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วล่วงเกินหมอเทวดาหลี่ตั้งแต่เมื่อใด

ลั่วเซิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ผิงลี่อีกครั้ง “ท่านพ่อข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ขั้นหนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่เป็นพระอาจารย์ของรัชทายาท ดูแลองรักษ์จิ่นหลิน หมอเทวดาหลี่ไม่เกรงกลัวเลยหรือ”

ทุกคนริมฝีปากกระตุกโดยไม่รู้ตัว

ลั่วเซิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เมื่อพบกับปัญหา สิ่งแรกที่นึกถึงคือใช้อำนาจบีบบังคับผู้อื่น

พวกผิงลี่ยังคงนิ่งเงียบ แต่หมอหลวงหวังกลับอารมณ์ขึ้นราวกับถูกหยามเกียรติจึงประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “หมอเทวดาหลี่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์ทองจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเคารพนอบน้อมต่อท่านผู้เฒ่าเลย ไม่เคยบีบบังคับ เทวดาอย่างเขาต้องเกรงกลัวอะไรด้วยหรือ”

หมอเฒ่าถลึงตาใส่ลั่วเซิงด้วยความโกรธราวกับมองก้อนหินที่โฉดเขลาเบาปัญญา

นึกไม่ถึงว่านางจะใช้อำนาจขมขู่หมอเทวดาหลี่ คุณหนูลั่วช่างเป็นคนตื้นเขิน โง่เขลา น่าขันอันดับหนึ่งของจวนสกุลลั่วเสียจริงเชียว!

ลั่วเซิงเข้าใจความโกรธแค้นของหมอเฒ่าอย่างมาก

เมื่อสิบสองปีที่แล้ว หมอเทวดาหลี่คือการดำรงอยู่ราวกับเทพเซียนในป่าซิ่ง ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์ศาสดาของแพทย์ทั้งใต้หล้าจนถึงบัดนี้ชื่อเสียงยิ่งแผ่ไพศาล

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขอเพียงแค่หมอเทวดาหลี่ไม่เต็มใจก็ทำอะไรไม่ได้”

ผิงลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่แล้ว ข้ากับพี่บุญธรรมล้วนเคยขอเข้าพบหมอเทวดาหลี่ แต่ถูกปฏิเสธกลับมาทุกคน”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองไปดู”

ลั่วเซิงลั่ววาจาด้วยความนิ่งสงบ แต่ทุกคนที่ได้ยินกลับเผยสีหน้าหลากสี

“น้องสาม…” ผิงลี่รีบเปลี่ยนคำเรียกทันทีที่สบตากับดวงตาสีดำเข้มของเด็กสาว “คุณหนูสาม เจ้าอยู่ข้างกายท่านพ่อบุญธรรมเถอะ พวกข้าจะคิดหาวิธีอื่น”

ลั่วเซิงสีหน้าจริงจัง “พี่ชายใหญ่มีวิธีอื่นหรือ”

ริมฝีปากของผิงลี่กระตุก ทันใดนั้นเองก็พบว่าคำถามนี้ตอบยากนัก

น้องสาวบุญธรรมผู้นี้รับมือยากเหลือเกิน หากกล่าวว่ามีวิธีอื่น คงถูกกล่าวหาว่าทุ่มเทกับพ่อบุญธรรมยังไม่สุดความสามารถ เขารับข้อกล่าวหานี้ไม่ไหว

ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ

“ไม่มีวิธีอื่นกลับมาห้ามปรามข้า…” เด็กสาวขมวดคิ้ว ดวงตาสีดำเข้มคมกริบ “หมายความว่าพี่ชายใหญ่ดูแคลนข้า คิดว่าทำไม่สำเร็จใช่หรือไม่”

ผิงลี่เผยสีหน้าจนใจ “คุณหนูสาม ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

ลั่วฉิงอดไม่ได้ที่จะโน้มน้าว “น้องสาม พี่ชายใหญ่หวังดี…”

“พี่หญิงรองคิดว่าการที่พี่บุญธรรมห้ามข้าไม่ให้ช่วยท่านพ่อคือหวังดีงั้นหรือ” ลั่วเซิงย้อนถามด้วยความสงบนิ่ง

การไล่ล่าสังหารครั้งนั้น เกรงว่าจะเป็นแผนสกปรกภายในขององครักษ์จิ่นหลิน นางไม่ได้โง่เขลาขนาดที่ใครพูดจาดีด้วยแล้วก็คิดว่าคือคนดีหรอกนะ

ในบรรดาพี่บุญธรรมทั้งห้าคน ผิงลี่และอวิ๋นต้งที่อยู่ที่นี่และอีกสามคนที่เหลือ นางไม่เชื่อใครทั้งนั้น

และเวลานี้เอง การกระทำของลั่วฉิงในสายตาของลั่วเซิงก็คือตัวถ่วง

“พี่สาม ท่านพูดแรงเกินไปแล้ว!” เมื่อเห็นลั่วฉิงเคร่งเครียด ลั่วเย่ว์ก็อดไม่ได้ที่จะช่วยพูดแทน

ลั่วเซิงเหลือบมองสองพี่น้องด้วยสายตาคมกริบ “แล้วพวกเจ้าล่ะ เคยไปเชิญหมอเทวดาหลี่แล้วหรือไม่”

ดวงตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “มีพี่บุญธรรมทั้งหลายออกหน้า…”

ลั่วเซิงพูดแทรกลั่วฉิงโดยไม่เกรงใจ “พี่บุญธรรมคือพี่บุญธรรม พวกเราคือพวกเรา อย่าลืมสิ พวกเราต่างหากที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ชองท่านพ่อ”

คำพูดนี้เฉียบคมมาก ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าคุณหนูลั่วผู้โอหังอวดดีพอกลับจากจินซานั้นบีบคั้นผู้คนเพียงใด

ทว่า ลั่วเซิงไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร

นางรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่คุณหนูลั่วใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ นางคิดจะทำอะไรก็ไม่ต้องถูกมัดมือมัดเท้า

หากนางกลายเป็นคนมีเหตุผลนั่นต่างหากจึงจะเป็นการกระทำที่โง่เขลาแท้จริง

“พรุ่งนี้ข้าจะไปเชิญหมอเทวดาหลี่มารักษาอาการของท่านพ่อ พวกท่านจะไปด้วยหรือไม่ วันนี้ก็ลองคิดทบทวนให้ดีๆ” พอลั่วเซิงพูดจบก็เดินไปที่ประตู

นางเดินผ่านพวกลั่วอิงที่ตะลึงจนเนื้อตัวแข็งทื่อ เดินผ่านพี่บุญธรรมทั้งสองที่ตะลึงจนเนื้อตัวแข็งทื่อ และเดินผ่านหมอหลวงหวังที่ตะลึงจนเนื้อตัวแข็งทื่อ รวมถึงเดินผ่านคุณชายเซิ่งสามที่ตะลึงจนเนื้อตัวแข็งทื่อและยื่นมือไปคว้าเขาไว้

ในเวลานี้ นางถึงเผยความอ่อนโยนของเด็กสาวออกมา “พี่ชาย ไปกันเถอะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท