ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 78 ยังมีอีกคน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 78 ยังมีอีกคน

มันเป็นกริชที่มองไปก็รู้ว่ามีราคาแพง อัญมณีบนนั้นเปล่งประกายจนทำให้ตาพร่ามัว

ลั่วเซิงหรี่ตาลงเล็กน้อย

กริชเล่มนี้คุ้นตาจัง

จู่ๆ จูหานซวงก็อุทานขึ้นว่า “กริชเล่มนี้…”

นางค่อยๆ หันไปมองลั่วเซิง พูดประโยคที่เหลือออกมา “เหมือนกับว่าจะเป็นของคุณหนูลั่ว!”

ทุกคนตกอยู่ในความวุ่นวาย มีคนกระซิบว่า “เหมือนกับว่าขะ ข้าจะเคยเห็นคุณหนูลั่วถือกริชเล่มนี้”

“ข้าก็เคยเห็น…”

ทุกคนมองไปที่ลั่วเซิง สีหน้าระแวดระวังและหวาดกลัว ราวกับกำลังมองผีร้ายที่กลับมาจากแดนนรก

ร่างหนึ่งเดินโซเซเข้ามา

“พะ พี่ใหญ่ข้าเป็นอะไรไปหรือ” คุณหนูรองเฉินโถมตัวไปด้านหน้า เห็นร่างเฉินรั่วหนิงใต้ดอกโบตั๋น นางก็ร้องไห้ขึ้นมาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

สตรีสูงศักดิ์ที่สงบอารมณ์ลงได้ก็ขึ้นไปประคองนาง ปลอบประโลมว่า “เสียใจกับคุณหนูรองเฉินด้วย”

คุณหนูรองเฉินร้องไห้แทบทรุด “พี่ใหญ่ตายแล้ว ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี…”

นางพูดวกไปวนมา คนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับรู้สาเหตุที่คุณหนูรองเฉินเสียสติ

หากเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน พี่ใหญ่เกิดเรื่องเมื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน น้องสาวกลับไปอย่างมากสุดก็แค่ถูกลงโทษเล็กๆ น้อยๆ แต่คุณหนูรองเฉินเป็นลูกอนุ

คุณหนูใหญ่เฉินผู้เป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอก คุณหนูรองเฉินกลับไม่เป็นอะไร สิ่งที่ต้องเจอหลังจากกลับไปมิต้องพูดก็เข้าใจได้

เหล่าสตรีที่เห็นคุณหนูรองเฉินที่เสียสติไปเล็กน้อยก็รู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเห็นใจ

สายตาที่พวกนางมองลั่วเซิงไม่ปิดบังอารมณ์เลยแม้แต่น้อย

ที่แท้คุณหนูลั่วไม่ได้โอหังอวดดีและกำเริบเสิบสานเท่านั้น นางยังฆ่าคนด้วย

แม้แต่คุณหนูของท่านอำมาตย์นางยังกล้าฆ่า แล้วมีอะไรที่นางไม่กล้าทำอีก

โอ้ สวรรค์ อยู่ร่วมกับคนเช่นนี้น่ากลัวจริงๆ

ทุกคนถอยหลังโดยสัญชาติญาณ ในใจยังกลัวไม่หาย เริ่มครุ่นคิดอย่างหนักว่าเคยล่วงเกินคุณหนูลั่วหรือไม่

จูหานซวงตาแดง ชี้ลั่วเซิงพูดว่า “เจ้าคือฆาตรกร เจ้าฆ่าคุณหนูใหญ่ลั่ว!”

หญิงสาวที่กลายเป็นจุดสนใจสีหน้าสงบนิ่ง ถามอย่างใจเย็นว่า “หลักฐานเล่า”

“หลักฐาน?” เหมือนกับว่าจูหานซวงได้ยินเรื่องตลกใหญ่โต พูดเสียงสูงว่า “กริชบนตัวคุณหนูใหญ่เฉินก็คือหลักฐาน! คุณหนูลั่ว เจ้าอย่าเถียงอีกเลย กริชฝังอัญมณีของเจ้าเล่มนั้นข้าเคยเห็นกับตาตนเอง!”

ไม่เพียงแค่เห็นเท่านั้น ยังเคยประลองกับนางด้วย

“พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน!”

ลั่วเย่ว์ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรีบเดินกลับมาขวางหน้าลั่วเซิง ดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกกว้างตั้งคำถามกับจูหานซวง “แค่กริชเล่มหนึ่งก็บอกว่าพี่สามข้าเป็นคนฆ่า? กริชแบบนี้มีแค่พี่สามข้ามีหรือไร”

จูหานซวงยิ้มหยัน “สตรีสูงศักดิ์ที่เล่นกริชฝังอัญมณีทั้งวัน นอกจากพี่สามเจ้าแล้วข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีใครอีก แม้จะมี คนอื่นเขาก็ไม่ง้างมือตบคุณหนูใหญ่เฉิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องฆ่าคน”

“เจ้า…”

ลั่วฉิงดึงลั่วเย่ว์ ขมวดคิ้วมองจูหานซวง “คุณหนูจูอย่ามั่นใจนักเลย รู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่ดูอ่อนโยนและเมตตาไม่ฆ่าคน น้องสามข้าทะเลาะกับคุณหนูใหญ่เฉินก็จริง แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลยหรือ หลายปีมานี้ คุณหนูทุกท่านเคยได้ยินว่าน้องสามข้าฆ่าใครหรือไม่”

ทุกคนมองหน้ากันไปมา

ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้จริงๆ ปกติแล้วคุณหนูใหญ่ลั่วมักจะเฆี่ยนตีใครก็ตามที่นางไม่ชอบ แต่นางไม่เคยฆ่าใครเลย

“เมื่อก่อนไม่เคยไม่ได้หมายความนางไม่ได้ฆ่าคุณหนูใหญ่เฉินเสียหน่อย ไม่แน่ว่าสองคนนี้บังเอิญเจอกันแล้วทะเลาะกันอีก คุณหนูใหญ่ลั่วโมโหมากจนชักกริชใส่คุณหนูใหญ่เฉินเล่า ไม่เช่นนั้นกริชเล่มนี้จะอธิบายอย่างไร” จูหานซวงพูดเย้ยหยัน “ไม่ให้เราสงสัยคุณหนูลั่วที่มีกริชเช่นนี้ ให้เราสงสัยคนอื่นหรือ คุณหนูรองลั่ว ปกป้องพี่น้องตนเองก็ไม่ควรปกป้องเช่นนี้”

ลั่วฉิงถูกว่าจนแย้งกลับไม่ได้ นางมองลั่วเซิงด้วยสายตาเป็นห่วง

ครานี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องตกใจดังขึ้น “กรี๊ด มีคนตาย…”

ทุกคนมองไปตามเสียง เสียงดังมาจากสวนไผ่

สวนไผ่อยู่ไกลจากที่นี่ หากมีคนเดินเล่นอยู่ที่นั่นคงยังไม่รู้ว่าทางนี้เกิดอะไรขึ้น

เว่ยเหวินหน้าเปลี่ยนสี นางสั่งสาวใช้จำนวนหนึ่งไปดูทันที

ทุกคนตึงเครียด ไม่มีอารมณ์วิพากษ์วิจารณ์อะไรอีก

หากสวนไผ่มีคนถูกทำร้ายอีก เช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว

ทุกอย่างเงียบงัน มีเพียงลมอ่อนๆ ที่พัดโชยกลิ่นดอกโบตั๋นหอมหวนมา พร้อมกลิ่นคาวเลือดจางๆ

ไม่นานสาวใช้สองสามคนก็พยุงสตรีสูงศักดิ์สองคนเดินมา

สตรีสูงศักดิ์สองคนตกใจมากอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าขาวซีด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“ทางนั้นเกิดอะไรขึ้น” เว่ยเหวินถาม

สตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งตอบพึมพำว่า “มีคนตาย มีคนตาย…”

ตำแหน่งที่นางยืนไม่ค่อยดีนัก ทันทีที่นางมองไปก็เห็นคุณหนูใหญ่เฉินที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวและกริชที่ปักอยู่บริเวณท้อง

“กรี๊ดดด…” สตรีสูงศักดิ์ทรุดตัวลง สลบไปทันที

เว่ยเหวินเงียบ มองหาสาวใช้อีกคนหนึ่งที่ไปสวนไผ่เพื่อรอคำตอบจากนาง

สาวใช้สีหน้าขาวซีดเช่นกัน เพียงแต่ไม่กล้าแสดงออกเหมือนเหล่าคุณหนู นางพูดเสียงสั่นว่า “รายงานท่านหญิง ผู้ตายคือลี่ว์ฉินเจ้าค่ะ”

“ลี่ว์ฉิน?” เว่ยเหวินชะงัก มองไปที่ลั่วเซิง

ลั่วเย่ว์โมโห “ท่านหญิงมองพี่สามข้าทำไม”

น้ำเสียงของเว่ยเหวินไร้คลื่น นางพูดทีละพยางค์ว่า “ลี่ว์ฉินก็คือสาวใช้ที่เกือบจะทำผลไม้หกใส่คุณหนูรองลั่ว”

“อะไรนะ” สายตาที่ทุกคนมองลั่วเซิงหวาดวิตกยิ่งกว่าเดิม

ฆ่าคุณหนูใหญ่เฉินที่รังแกคุณหนูสี่ลั่วแล้ว ยังฆ่าสาวใช้ที่สร้างปัญหานี้ขึ้นอีก คุณหนูลั่วเป็นฆาตรกรต่อเนื่องหรือ

จูหานซวงพูดสิ่งที่ทุกคนคิดออกมา “ลั่วเซิง เจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว! ฮ่องเต้ทำผิดโทษเท่าสามัญ แม้เจ้าจะเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ก็อย่าคิดจะพ้นโทษได้!”

ลั่วเซิงมองจูหานซวงที่โหวกเหวกเสียงดังด้วยสีหน้านิ่ง เมื่อนางพูดจบก็ถามอย่างใจเย็นว่า “คุณหนูจูอยากจะตัดสินว่าข้ากระทำผิดเช่นนี้เลยหรือ”

นี่เป็นคำถามที่เฉียบคม จูหานซวงรีบพูดว่า “ไม่ใช่ข้าอยากตัดสินเจ้า แต่เจ้ากระทำผิด… ”

ลั่วเซิงเลิกคิ้ว “คุณหนูจูเป็นคนจากหน่วยลงทัณฑ์ หรือจวนซุ่นเทียน หรือศาลต้าหลี่?”

จูหานซวงไม่สามารถตอบได้

“ไม่ใช่เลยใช่หรือไม่” ลั่วเซิงยิ้มเบาๆ สีหน้าพลันเยือกเย็น “ถ้าไม่ใช่เลยก็หุบปาก เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินข้า!”

“เจ้า…” จูหานซวงโมโห

ลั่วเซิงไม่สนใจนางอีก นางหันไปมองเว่ยเหวิน “ที่นี่คือจวนอ๋อง ท่านหญิงในฐานะที่เป็นเจ้าภาพปล่อยให้แม่นางน้อยคนหนึ่งตัดสินผู้อื่นซี้ซั้วเช่นนี้ในเวลาแบบนี้ แต่กลับไม่เชิญผู้ใหญ่ที่สามารถตัดสินเรื่องนี้มา?”

เว่ยเหวินที่ถูกถามหยุดหายใจ เมื่อตั้งสติได้ก็พูดขึ้นว่า “ไม่ใช่แน่นอน ข้าจะสั่งคนไปส่งข่าวให้ท่านพ่อท่านแม่เดี๋ยวนี้”

เป็นเรื่องปกติที่จะบอกว่าสาวใช้คนหนึ่งตาย แต่ผู้ที่เกิดเรื่องยังมีคุณหนูใหญ่เฉินหลานสาวของท่านอำมาตย์เฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางรับมือได้ แม้แต่จวนผิงหนานอ๋องก็รับไม่ไหว

เรียกคนที่ควรเรียกมาสอบสวนหาฆาตรกรที่แท้จริงถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้

ข่าวสตรีสูงศักดิ์ถูกแพร่ออกไปทุกที่อย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันเว่ยหานยังนั่งดื่มสุรา เขาไม่ใช่คนที่ชอบดื่มสุรา อันที่จริงดื่มเบาๆ ไปสองสามจอกแล้ว สุราอีกไหที่อยู่ด้านข้างยังเต็มครึ่งไห

คนที่รู้จักนิสัยของไคหยางอ๋องก็ไม่กล้าเข้ามาชวนดื่ม

ทว่า… คนไม่น้อยต่างไม่เข้าใจ ปกติงานแบบนี้ ไคหยางอ๋องควรกลับไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท