ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 96 เอาใจใส่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 96 เอาใจใส่

ทันทีที่คนเฝ้าประตูจวนสกุลลั่วเห็นว่าเป็นหมอเทวดาหลี่ก็เชิญเขาเข้าไปอย่างสุภาพ ก่อนจะรีบวิ่งไปรายงาน

แม่ทัพใหญ่ลั่วอยู่ในจวนพอดี

เขาดูแลองครักษ์จิ่นหลินมาเป็นเวลานาน พ้นช่วงวัยที่ต้องไปศาลาว่าการเป็นกิจวัตรแล้ว

“เซิงเอ๋อร์มีเรื่องอะไรหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วถามลั่วเซิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หลายวันมานี้บุตรสาวทำให้เขาสบายใจขึ้นมาก นางไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลย

“ข้ามีแผนจะเปิดหอสุรา มาบอกท่านพ่อไว้เจ้าค่ะ”

“หอสุรา?” แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดไม่ถึงว่าความคิดที่จะซื้อร้านเครื่องประทินโฉมเพื่อเปิดหอสุราเมื่อวันก่อนคือเรื่องจริง

เขาคิดว่าเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของนาง อยากซื้อร้านค้านั่นไว้เล่นๆ

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “ท่านพ่อคิดว่าไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ?”

แม่ทัพใหญ่ลั่วดึงสติกลับมา โบกมือยิ้ม “มีอะไรไม่เหมาะสมกัน เซิงเอ๋อร์อยากเปิดก็เปิด เงินไม่พอหรือ”

“พอเจ้าค่ะ แค่อยากแจ้งให้ท่านทราบ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินดังนั้นก็สบายใจ จู่ๆ รอยยิ้มที่เพิ่งฉีกออกได้เพียงครึ่งหนึ่งก็หุบลงมา

ช้าก่อน เปิดหอสุราจริงๆ หรือ ไม่ใช่หอคณิกาชายอะไรแบบนั้นใช่หรือไม่

ใช่ เขาเป็นแม่ทัพใหญ่สูงสุดและยังเป็นมหาองครักษ์ขององค์รัชทายาท ทั้งยังควบตำแหน่งผู้บังคับบัญชาองครักษ์จิ่นหลิน บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาใช้ชีวิตอย่างอิสระมิใช่เรื่องผิด แต่หากจะเปิดหอคณิกาชายก็เกินไปหน่อยแล้ว

แอบไปไม่ให้เขารู้ยังไม่พอหรือ จะเปิดร้านด้วยตนเองได้อย่างไร

ไม่ได้ เขาต้องถามให้รู้เรื่อง

“แค่กๆ” แม่ทัพใหญ่ลั่วยกจอกชาขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง มองบุตรสาวงดงามพลางพูดด้วยน้ำเสียงคำนึงถึงหัวอกบุตรสาวว่า “เซิงเอ๋อร์อยากเปิดหอสุราจริงๆ หรือ”

ลั่วเซิงพยักหน้า

มีอะไรน่าสงสัยกัน ถึงครานั้นหากย้อมแมวขายก็จะถูกจับทันทีน่ะสิ

“หากต้องการทำให้ค้าขายดี ต้องมีคนครัวดีๆ”

“เรื่องนี้ท่านพ่อวางใจ คนครัวหาไว้แล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็มีแล้วหนึ่งคน”

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินดังนั้นก็วางใจ

แม้แต่คนครัวและเสี่ยวเอ้อร์ก็หาไว้แล้ว เห็นทีบุตรสาวคงตั้งใจจริงๆ

“ไม่ต้องการให้พ่อช่วยอะไรจริงๆ หรือ”

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ลูกอยากลองด้วยตนเอง”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าไม่หยุด “พึ่งตัวเองน่ะดี หากเจออุปสรรคค่อยมาหาพ่อ”

เป็นเรื่องดีที่บุตรสาวมุ่งความสนใจไปที่หอสุรา จะได้กำไรหรือขาดทุนไม่สำคัญ

อืม หากว่าขาดทุนหนัก เขาค่อยชดเชยให้เล็กน้อยก็ได้… แม่ทัพใหญ่ลั่วแอบตัดสินใจเงียบๆ

ครานี้มีคนเข้ามารายงานว่าหมอเทวดามา

แม่ทัพใหญ่ลั่วอดลุกขึ้นยืนไม่ได้

หมอเทวดามาได้อย่างไร

ตอนที่เขาสลบก็รู้เรื่องเหล่านั้นแล้ว เขารู้ว่าหมอเทวดาหลี่ไม่ชอบเขาเป็นอย่างมาก

เห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วทำท่าจะไปต้อนรับ คนรับใช้พูดอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ หมอเทวดาขอเข้าพบคุณหนูขอรับ ไม่พบท่าน…”

แม่ทัพใหญ่ลั่วหน้าขรึมลงทันที

ลั่วเซิงเผยรอยยิ้มจางๆ

เรื่องดำเนินไปตามที่คาดไว้ ย่อมเป็นเรื่องดี

“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าไปพบหมอเทวดานะเจ้าคะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วทำได้เพียงพยักหน้า เมื่อลั่วเซิงจากไปแล้วก็ลอบถอนหายใจ

หมอเทวดาก็คือหมอเทวดา ไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย แล้วเขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ด้วย

ต้องรู้ว่าตอนที่หมอเทวดารักษาอาการประชวรของฮ่องเต้องค์ก่อน เขายังเป็นเพียงเด็กแบเบาะ

ลั่วเซิงพบหมอเทวดาหลี่ที่สวนซึ่งอยู่ในเรือนของตนเอง

ไม่ต้องสืบก็รู้ เห็นได้ชัดว่าหมอเทวดาหลี่มาคิดบัญชีกับนาง ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเรื่องอะไร

“หมอเทวดาดื่มชาก่อนเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยื่นจอกชาจอกหนึ่งออกไปด้วยตนเอง

เดิมหมอเทวดาไม่อยากรับไว้ แต่เห็นดอกกุหลาบสองสามดอกลอยอยู่ในจอกเคลือบ ดูสวยงามและสดชื่น ไม่แน่ว่ายังใส่น้ำตาลกรวดหรือน้ำผึ้งด้วย

เมื่อถึงวัยนี้ หมอเทวดาหลี่เริ่มชอบทานหวาน เมื่อเขาตั้งสติได้ จอกชาก็อยู่ในมือแล้ว

หมอเทวดาหลี่จึงตัดสินใจดื่มชาก่อน จากนั้นก็วางจอกชาลงบนโต๊ะเสียงดัง

เร่งเดินทางตลอดทางแล้วก็หิวน้ำจริงๆ ชาน่ะต้องดื่ม คนก็ต้องด่า สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน

แต่ว่า… ชากุหลาบอร่อยจังเลย

ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของดอกกุหลาบ ปริมาณที่ใส่ และระดับความหวานของชา ทุกอย่างกลมกล่อมพอดี…

เมื่อตระหนักได้ว่านอกเรื่องแล้ว หมอเทวดาหลี่ดึงสติกลับมา ทำหน้านิ่งถามว่า “แม่นางน้อย เจ้าได้ยาบำรุงปราณและยาลดไข้มาจากที่ใดกัน”

“จากหมอเทวดาอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ลั่วเซิงมือยกจอกชา ยิ้มตาหยีตอบ

“เหลวไหล!” อารมณ์คุกรุ่นของหมอเทวดาหลี่ที่เพิ่งถูกชากุหลาบดับไปพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว หนานหยางไม่มีหมอเทวดาแซ่หลี่เลย แต่กลับกลายเป็นจินซาที่มีหมอหวังเคยมีชื่อว่าหมอเทวดา ตอนนี้กลายเป็นหนูข้างถนนที่ใครๆ ก็ต่างทุบตี เพราะขายยาปลอม…”

หงโต้วที่ยืนอยู่ข้างๆ อุทาน “หมอหวัง?”

เจ้าคนโกหกนั่นผิดสัญญา ขายยาที่คุณหนูให้ไว้จริงๆ หรือ

ทันทีที่หมอเทวดาหลี่เห็นสีหน้าของสาวใช้ก็ยิ่งมั่นใจว่าลั่วเซิงรู้จักหมอหวัง เขาก็ยิ่งโมโห

“เจ้าลูกเต่าแซ่หวังยอมรับแล้วว่าเจ้าเป็นคนให้สูตรยาลดไข้และยาบำรุงปราณ แม่นางน้อย ไหนเจ้าลองว่ามาซิว่านี่มันเรื่องอะไร!”

“หมอเทวดาใจเย็นๆ เจ้าค่ะ อากาศเริ่มร้อนแล้ว จะไม่สบายเอาได้ง่ายนะเจ้าคะ” ลั่วเซิงยื่นชากุหลาบอีกจอกหนึ่งให้

หมอเทวดาหลี่รับมาและดื่มลงไปอีกครั้ง พูดอย่างหงุดหงิดว่า “อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วข้าจะไม่เอาความต่อ!”

ลั่วเซิงพูดเสียงสงบ “สูตรยาในมือของหมอหวังได้มาจากข้าจริงๆ เพื่อรักษาอาการป่วยของน้องชาย ข้าไม่รู้วิธีปรุงยา ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น…”

ไม่ทันฟังลั่วเซิงพูดจบ หมอเทวดาหลี่ก็ตบโต๊ะอย่างโมโห “สูตรยาล้ำค่าเช่นนั้นบอกให้ก็ให้หรือ ฝ่ายตรงข้ามเป็นหมูเชื่อไม่ได้ เจ้าก็ให้?”

ดวงตาลั่วเซิงโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าไม่ได้บอกกระสายยาของบำรุงปราณเจ้าค่ะ”

ดังนั้นคนโลภมากจึงกลายเป็นหนูข้างถนนที่ใครๆ ก็ทุบตี

นางพูดไว้แต่แรกแล้ว สิ่งที่นางเต็มใจให้ผู้อื่น ผู้อื่นถึงจะเอาไปได้ กลับกันสิ่งที่นางไม่เต็มใจให้ ผู้อื่นเอาไปแล้วมีแต่จะเดือดร้อน

หมอเทวดาหลี่อดพยักหน้าไม่ได้

สมควรทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นหากเขาได้ยินว่ามีคนใช้ยาบำรุงปราณในทางมิชอบเพื่อได้มาซึ่งชื่อเสียง เขาคงโมโหตาย

ทว่าบัดนี้เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญเลย

“สูตรยาสองตัวนี้ เจ้าได้มาจากที่ใด”

“หมอเทวดาอยากรู้หรือเจ้าคะ”

หมอเทวดาหลี่เครากระตุก

นี่มันคำถามโง่ๆ หากไม่อยากรู้เขาจะมาจวนสกุลลั่วทำไม

หญิงสาวตรงหน้ายิ้ม ดูเหมือนหญิงสาวอ่อนหวานและบอบบาง แต่คำพูดที่พูดออกมาเกือบจะทำให้หมอเทวดาหลี่เลือดขึ้นหน้า

“ท่านช่วยข้าเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งได้หรือไม่ มีคนอยากให้ท่านไปรักษา”

“นังหนูน้อย เจ้าเจรจาเงื่อนไขกับข้ารึ”

ลั่วเซิงยกจอกชาขึ้นมาจิบชาดอกไม้หอมหวนคำหนึ่ง

หากไม่เจรจาเงื่อนไข นางจะชงชากุหลาบรอที่นี่ทำไม

แต่จะพูดแบบนี้เลยไม่ได้

“ข้าก็แค่นังหนูน้อยคนหนึ่ง มิบังอาจเจราจาเงื่อนไขกับท่าน เพียงแต่ว่าข้ารู้ว่าหมอเทวดาเป็นคนมีเหตุผล คงรู้สึกแย่ที่ต้องสืบความลับของนังหนูน้อยคนหนึ่ง แต่จะดีกว่าสำหรับทั้งสองฝ่ายที่จะได้รับสิ่งที่ทั้งสองต้องการโดยการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”

หมอเทวดาหลี่ถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “คนที่ต้องการรักษาคือใคร”

พูดเช่นนี้ นังหนูน้อยคนนี้ถือว่ายังเอาใจใส่เขาหรือ

ลั่วเซิงเอ่ย “ไคหยางอ๋อง”

“เขาป่วยหรือ” หมอเทวดาหลี่คิดถึงชายหนุ่มที่ถูกปฏิเสธการรักษาหลายคราก็ถามขึ้น

รู้แต่แรกเขาก็ออกจากประตูหลังฉากกั้นไปดูแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ ของที่ไคหยางอ๋องนำมาไม่น่าดึงดูดเลย เขาจึงขี้เกียจสนใจชายหนุ่มน่าเบื่อหน่ายคนนี้

เมื่อได้ยินหมอเทวดาหลี่ถาม ร่างสีแดงเข้มร่างหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของลั่วเซิง

ไคหยางอ๋องป่วยหรือไม่นะ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท