ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 110 ตัวถ่วงความเจริญ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 110 ตัวถ่วงความเจริญ

สื่อเยี่ยนรู้สึกราวกับโดนสบประมาทอย่างรุนแรง

เขาทำหน้าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของไคหยางอ๋องแต่กลับถูกส่งมาเลี้ยงห่านให้กับคุณหนูลั่ว เรื่องนี้ก็ช่างเถอะ แต่ยังโดนแม่ทัพใหญ่ลั่วเข้าใจผิดว่าเป็นนายบำเรออีกหรือนี่

แล้วยังคิดว่าเขาเต็มใจอีก!

เกรงว่าหากคิดว่าเขาถูกบังคับ คงจะรู้สึกดีมากกว่านี้หลายส่วน

ลั่วเซิงส่ายหน้า “ส่งเขากลับไปเกรงว่าจะไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ”

“ทำไมเล่า”

“ไคหยางอ๋องเป็นคนส่งเขามาด้วยตนเอง หากปฏิเสธจะไม่เป็นการล่วงเกิดเขาหรือ ลูกคิดว่าคงจะไม่เหมาะ…”

ไคหยางอ๋องส่งมาด้วยตนเองหรือ

แม่ทัพใหญ่ลั่วเข้าใจประเด็นสำคัญทันที กวาดมองสือเยี่ยนอย่างลุ่มลึกแล้วพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เก็บเขาไว้เถอะ”

อย่างไรเสียเสียนอวิ๋นย่วนก็มีนายบำเรอยู่ด้วยกันสองคนแล้ว เพิ่มมาอีกสักหนึ่งก็คงไม่เป็นไร

แต่ว่า…เหตุใดไคหยางอ๋องถึงได้ส่งนายบำเรอมาให้เซิงเอ๋อร์กัน

แม่ทัพใหญ่ลั่วใคร่ครวญจนถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่เข้าใจจึงเอ่ยถามต่อ

ลั่วเซิงขมวดคิ้วท่าทางครุ่นคิด “อาจจะอยากมอบของขวัญให้เพื่อแสดงความปรารถนาดีกระมัง”

สื่อเยี่ยนคิด ของขวัญรึ

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินแล้วก็ยิ่งตื่นตัว เขาเมินเฉยต่อการมีอยู่ขององครักษ์ส่วนตัวของไคหยางอ๋อง กระแอมอกมาคำหนึ่ง “เซิงเอ๋อร์ พ่อไม่เข้าใจมาโดยตลอด วันนั้นหมอเทวดากลับไปกลับมาระหว่างจวนของพวกเราและจวนของไคหยางอ๋องหลายครานัก แท้จริงแล้วเพื่ออะไรกันหรือ”

สีหน้าของลั่วเซิงราบเรียบ “มิใช่ว่าวันนั้นท่านพ่อถามแล้วหรือเจ้าคะ หมอเทวดามาที่นี่เพื่อวินิจฉัยอาการให้ท่าน”

แม่ทัพใหญ่ลั่วส่ายหน้า “เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปที่จวนอ๋องแล้วย้อนกลับมาอีก”

“เช่นนั้นท่านพ่อคิดว่าเหตุผลคืออะไรหรือเจ้าคะ” ลั่วเซิงเอ่ยถามเสียงใสกลับไป

“หมอเทวดาคงมิอยากเป็นพ่อสื่อหรอกกระมัง”

“แค่กๆ” สื่อเยี่ยนที่กำลังเงี่ยหูฟังอยู่เงยหน้าขึ้น สำลักน้ำลายและไอออกมาอย่างรุนแรง

แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบมองเขาเล็กน้อยแล้วดึงสายสายกลับมาอย่างไม่แยแส

ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เพราะตอนนี้เขากลายเป็นนายบำเรอของบุตรสาวแล้ว

“ท่านพ่อคิดมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงปฏิเสธที่จะยอมรับ หากแต่แม่ทัพใหญ่ลั่งกลับเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าไคหยางอ๋องมีความรู้สึกต่อบุตรสาวของเขา

เขาสนใจบุตรสาวของตนแต่กลับไม่ส่งแม่สื่อมาทาบทามอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแล้วมอบคนให้นางเป็นการส่วนตัวอย่างนั้นหรือ

หากเป็นเพียงการรับมอบส่วนตัวก็แล้วไป การมอบของจำพวกกล่องไข่มุกให้สักกล่องแม้จะเป็นเรื่องธรรมดามิได้ผิดแปลก แต่การมอบนายบำเรอให้นั้นเป็นไปได้อย่างไรกัน

บุรุษคนหนึ่ง อยากจะเอาอกเอาใจสตรีที่คนหมายปองก็ต้องมีหลักการหน่อยกระมัง!

คิดถึงไคหยางอ๋องแม่ทัพใหญ่ลั่วก็ส่ายหัวแล้วลอบตัดสินใจบางอย่างเงียบๆ หากไคหยางอ๋องคิดจะแต่งงานกับเซิงเอ๋อร์ จะต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดก่อน เขาจึงจะยอมยกบุตรสาวให้!

ประเดี๋ยวก่อน เหตุใดถึงยังกล้าพยักหน้าตกลง ในเมื่อสบประมาทไคหยางอ๋องถึงปานนี้

อย่าโง่ไปหน่อยเลย มิใช่เรื่องง่ายที่จะมีคนมาขอแต่งงาน หรือว่าบุตรสาวของเขาจะขายไม่ออกจริงๆ

“มิสู้ท่านพ่อกลับไปศาลาการดีกว่ากระมัง”

“พ่อจะไปรอที่ห้องโถงด้านหน้า คาดว่าอีกไม่นานฉางชุนโหวคงจะมาถึง”

“เพราะเหตุนี้จึงเป็นการดีกว่า หากท่านพ่อจะหลีกเลี่ยงไม่เจอเขา”

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองไปที่ลั่วเซิงอย่างระแวดระวัง

หรือว่าที่เซิงเอ๋อร์พูดว่าปล่อยคนจะเป็นเพียงการปลอบโยนเขาเท่านั้น?

ลั่วเซิงยิ้ม “หากฉางชุนโหวเจอท่านพ่อ ท่านพ่อก็จะต้องขออภัยเขา ไม่คุ้มเลยที่จะติดหนี้บุญคุณใครเพราะเรื่องนี้ มิสู้เลี่ยงการพบเจอเขาแล้วปล่อยให้ลูกออกหน้าส่งเขากลับไปจะดีกว่า”

“เช่นนั้นคุณชายใหญ่ของจวนฉางชุนโหว…”

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปาก “แน่นอนว่าย่อมปล่อยให้ฉางชุนโหวพากลับไป ลูกเก็บเขาไว้ก็ไร้ประโยชน์”

แม่ทัพใหญ่ลั่วอดเหลือบมองสื่อเยี่ยนมิได้

ในวัยยี่สิบ ด้วยรูปร่างที่โดดเด่นและใบหน้ากล้าหาญ… เมื่อนึกถึงสองคนนั้นของเสียนอวิ๋นย่วน อืม ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคุณชายใหญ่สวี่เอาไว้จริงๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อจะหลบไปก่อน”

ทันทีที่แม่ทัพใหญ่ลั่วจากไป สื่อเยี่ยนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“คุณหนูลั่ว”

“หืม”

เมื่อหันเผชิญหน้ากับดวงตาที่ใสกระจ่างของหญิงสาว สื่อเยี่ยนก็ลังเลเล็กน้อย

แต่เมื่อคิดแล้วก็ยังทนไม่ได้อยู่ดี!

“อะแฮ่ม คุณหนูลั่ว นายท่านส่งข้ามาเพื่อปฏิบัติภารกิจเลี้ยงห่าน ไม่ใช่… ไม่ใช่เป็นนายบำเรอ!”

“ข้ารู้” ลั่วเซิงไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย

“แต่เมื่อครู่ที่ท่านเพิ่งพูดกับแม่ทัพใหญ่นั้น…”

ลั่วเซิงถามกลับ “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายอย่างไรว่าไคหยางอ๋องส่งองครักษ์ส่วนตัวมาเพื่อช่วยข้าเลี้ยงห่าน เกรงว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าต้าไป๋สำคัญต่อนายท่านของเจ้าอย่างไรหรือ”

สื่อเยี่ยนได้ยินสีหน้าก็พลันแข็งค้าง ประสานหมัดคำนับ “ข้าน้อยละอายใจนัก เมื่อครู่ข้าน้อยไม่ได้คิดถึงสิ่งนี้…”

โชคดีที่คุณหนูลั่วมีไหวพริบ!

สื่อเยี่ยนถอนหายใจเงียบๆ แล้วคิดถึงฐานะของนายบำเรอที่ต้องแบกไว้บนหลัง

ช่างเถอะ เพื่อนายท่านยอมทนยากลำบากเพียงชั่วขณะเท่านั้น

“โค่วเอ๋อร์ พาสื่อเยี่ยนไปพบต้าไป๋”

“เจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์ยอบกายลงเล็กน้อยให้สื่อเยี่ยน เอ่ยเสียงนุ่มนวล “โปรดตามข้ามา”

สื่อเยี่ยนพยักหน้าอึ้งๆ รู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง

สาวใช้ของคุณหนูลั่วมีคนปกติด้วยหรือนี่

โค่วเอ๋อร์เผยรอยยิ้มนุ่มนวลประดุจสายน้ำแล้วนำทางสื่อเยี่ยนไปยังเรือนปีกตะวันตก เอ่ยวาจาไม่หยุดตลอดทาง

“จริงด้วย มีบางสิ่งต้องบอกให้ท่านทราบ ยามนี้มีผู้คอยปรนนิบัติต้าไป๋อยู่สองคน พวกเขาและต้าไป๋อยู่ในเรือนตะวันตกด้วยกัน”

สื่อเยี่ยนตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ห่านขาวตัวใหญ่เช่นต้าไป๋ที่มีอายุเกินกว่าสิบปีนั้นหาไม่ได้ง่าย ถึงขั้นมีคนรับใช้ที่ทุ่มเทคอยดูแลมันด้วย

“พวกเขาคนหนึ่งมีนามว่าหมิงจู๋ อีกคนหนึ่งนามว่าฟู่เสวี่ย ฟู่เสวี่ยผู้นี้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงดูต้าไป๋มากที่สุด ท่านต้องฟังเขาให้มากๆ”

สื่อเยี่ยนลูบคาง

ไม่คิดเลยว่าแม้แต่บ่าวที่ดูแลห่านขาวจะมีชื่อเสียงเรียงนามไพเราะเช่นนี้ ทำให้เขาดูเหมือนชาวนาเลี้ยงห่านมากกว่าเก่า

หลังจากผ่านประตูโค้งเข้ามาในเรือนตะวันตกก็มองเห็นร่มเงาของต้นไม้ภายในลานเรือน และห่านสีขาวตัวหนึ่งที่สูงเทียบเท่าครึ่งตัวคนกำลังเพลิดเพลินไปกับร่มเงาใต้ต้นไม้

ผู้ที่หันหลังให้กับประตูเรือนนั้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียว

โค่วเอ๋อร์ตะโกน “ฟู่เสวี่ย”

ชายหนุ่มร่างผอมเพรียวหันกายมา เมื่อเห็นว่าเป็นโค่วเอ๋อร์ก็ผุดยิ้มเล็กน้อย “พี่โค่วเอ๋อร์ เหตุใดถึงมาที่นี่เล่า”

โค่วเอ๋อร์ชี้ไปทางสือเยี่ยน “ข้าพาเขามา…”

เมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ที่อยู่ข้างกายมีท่าทีประหลาด โค่วเอ๋อร์ก็หยุดเดิน หันมองสื่อเยี่ยนด้วยความสับสน

“เหตุใดถึงไม่เดินเล่า”

สื่อเยี่ยนนิ่งอึ้งจ้องมองไปที่ฟู่เสวี่ย ราวกับประติมากรรมดินปั้น

ชายหนุ่มที่เขาเห็นคือผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงห่านหรือ

ฟู่เสวี่ยเห็นบุรุษแปลกหน้ากำลังจ้องเขม็งมาที่เขาเช่นนั้นก็อดตระหนกไม่ได้

ประจวบเหมาะที่ในตอนนั้นหมิงจู๋เดินออกมาจากตัวเรือนพอดี

“พี่หมิงจู๋!” ฟู่เสวี่ยตะโกนแล้ววิ่งไปหลบด้านหลังของหมิงจู๋ ชะเง้อหน้าออกมามองผู้มาเยือนที่ดูแปลกประหลาด

สื่อเยี่ยนตกตะลึงยิ่งกว่าเก่าเมื่อเห็นใบหน้าหมิงจู๋

นี่ก็เป็นคนเลี้ยงห่านด้วยรึ

หมิงจู๋สาวเท้าก้าวเข้ามา มองสื่อเยี่ยนอย่างระมัดระวัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “โค่วเอ๋อร์ นี่คือ…”

“เขานามว่าสื่อเยี่ยน คุณหนูบอกว่า ตั้งแต่วันนี้ไปเขาจะมาดูแลต้าไป๋ร่วมกับพวกเจ้า”

ดวงตาดอกท้อของหมิงจู๋หรี่ลง มองสื่อเยี่ยนอย่างพิจารณา

ยามนี้ สื่อเยี่ยนรู้สึกละอายใจเล็กน้อยแล้วจริงๆ

เขาอัปลักษณ์ เขาคือตัวถ่วงความเจริญ!

ดวงตาของฟู่เสวี่ยทอประกายวาบเปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้าคือนายบำเรอคนใหม่ของคุณหนูรึ”

หมิงจู๋แย้มยิ้มผ่อนคลาย “เช่นนี้พวกข้าก็จะมีพี่น้องเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วสินะ”

สื่อเยี่ยนกระจ่างชัดในทันที

แท้จริงแล้วทั้งสองคนคือนายบำเรอของคุณหนูลั่วนี่เอง

มองมือที่ยื่นออกมาของบุรุษผู้งามสง่าหาใครเทียบนั้น สื่อเยี่ยนก็เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “พี่ชายเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อเลี้ยงห่านเท่านั้น”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปฏิเสธต่อแม่ทัพใหญ่ลั่ว แต่เขาก็จะไม่มีทางคล้อยตามไปกับชายทั้งสองคนนี้

หมิงจู๋หัวเราะเบาๆ “พวกข้าก็เลี้ยงห่านเหมือนกัน เช่นนั้นก็นับว่ามีน้องชายเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว”

สื่อเยี่ยนนิ่งเงียบ

ฟังแล้วไม่ค่อยถูกต้อง แต่ก็ไร้หนทางจะโต้แย้ง

ช่างเถอะ เพียงครึ่งปีเท่านั้น ความรักก็คือสิ่งที่มันเป็นอยู่กระมัง

อีกด้านหนึ่ง ฉางชุนโหวก็รีบร้อนกลับไปที่จวน

“ท่านโหว ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที ชีเอ๋อร์โดนคุณหนูลั่วพากลับไปยังจวนของแม่ทัพใหญ่แล้ว!”

เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของหยางซื่อ ฉางชุนโหวกลับหมดสิ้นความอดทนไร้คำปลอบโยนเช่นยามปกติ เอ่ยถามด้วยใบหน้าเย็นชา “เหตุใดเจ้าถึงไม่หยุดไว้”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท