ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 130 ชีวิตลำเค็ญ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 130 ชีวิตลำเค็ญ

หลังจากผ่านยามรักษาการณ์ที่คอยเฝ้าประตูเมืองมาได้ จิตวิญญาณอันตึงเครียดของเด็กชายหน้าดำก็ผ่อนคลายลง สายตาสำรวจมองถนนอันกว้างขวาง อาคารบ้านเรือนที่เรียงรายกันอย่างกับเกล็ดปลา และคนเดินถนนที่สัญจรไปมาอย่างใคร่รู้

ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน บ้านเรือนมีสง่าราศี ผู้คนสัญจรก็ดูภูมิฐาน

เด็กชายหน้าดำหน้าตาตื่นตาตื่นใจยิ่ง “พี่ใหญ่ เมืองหลวงดีจริงๆ”

ชายมีหนวดหัวเราะแล้วตอบกลับ “ย่อมเป็นเช่นนั้น นั่นเป็นสาเหตุที่เราปลอมตัว…การค้าขายของเราปิดกิจการไปแล้ว ข้าจึงต้องพาเจ้ามาเข้าร่วมกับสหายที่เมืองหลวงแห่งนี้”

กล่าวเช่นนี้ หัวใจของชายมีหนวดก็พลันขมขื่น

พวกขุนนางสมควรตายนัก

ค่ายเฮยเฟิงแต่เดิมไม่เคยก่อความวุ่นวายแก่ชาวบ้านรอบข้าง มุ่งปล้นสดมภ์จากผู้ชอบปอกลอกคนอื่นเพื่อแสวงหาความร่ำรวยเท่านั้น แล้วเหตุใดค่ายแห่งนี้ที่เป็นมรดกตกทอดกันมาถึงจบสิ้นในน้ำมือของเขาเล่า!

เขารู้สึกเสียใจต่อบิดาที่ด่วนจากไปเหลือเกิน

ชายมีหนวดยืนอยู่บนถนนอันพลุกพล่านของเมืองหลวง ความรู้สึกคล้ายอยากจะร้องไห้เล็กน้อย

เด็กหนุ่มหน้าดำพลันรู้สึกสับสนกระวนกระวาย

สิ่งที่เขาคุ้นเคยคือกระท่อมหลังคามุงกระเบื้องอันทรุดโทรมบนยอดเขา เหล่าพี่น้องที่ก้มหน้าก้มตาทำงานหมกมุ่นกับการปล้นสดมภ์ นอกจากนี้ยังมีสาววัยสะพรั่งหน้าตาอรชรน่ารักที่เชิงเขา

แทนที่จะเป็นความเวิ้งว้างอันกว้างใหญ่ของท้องฟ้าจนทำให้เขารู้สึกตัวเล็กจ้อยราวกับมดตัวหนึ่งในเมืองหลวง

“พี่ใหญ่ สหายของท่านจะรับพวกเราไว้จริงหรือ”

ชายมีหนวดตอบกลับอย่างห้าวหาญ “แน่นอน มิใช่ว่าข้าบอกเจ้าไปตั้งหลายครั้งแล้วหรือ พี่ใหญ่ลู่มีศีลมีสัตย์ยิ่ง ข้าเปิดค่ายเฮยเฟิง เขาเปิดค่ายไป๋อวิ๋น แข่งขันกันอย่างดุเดือด ไม่นับมิตรสหาย หลังจากพี่ลู่ทำเงินได้มากเพียงพอแล้วก็ล้างมือในอ่างทองคำแล้วย้ายมายังเมืองหลวง จากนั้นเขาก็กลายเป็นคนมีหน้ามีเกียรติ สหายเก่ามาหาเขาถึงที่นี่ เขาจะไม่ดูแลได้อย่างไรเล่า”

ในใจของเด็กชายหน้าดำผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ติดตามชายมีหนวดต่อไปทีละก้าว แล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่ใหญ่ ในเมื่อทำค่ายเช่นเดียวกันแล้วเหตุใดพี่ใหญ่ลู่ถึงหาเงินได้มากกว่าแล้วล้างมือทองคำไปก่อนเล่า แล้วอีกอย่างพวกเรายังโดนทางการกวาดล้างอีก”

ชายมีหนวดสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งแล้วตบบ่าเด็กชายหน้าดำแรงๆ “พี่ใหญ่ลู่จะมาเหมือนกันได้อย่างไร พี่ใหญ่ลู่คนผู้นั้น…เป็นดั่งมังกรในหมู่คนทั่วไป พรสวรรค์เฉกเช่นพี่ใหญ่ลู่ ต่อให้เสาะหาจากร้อยค่ายก็มีเพียงหนึ่ง หากเทียบกับพวกเราแล้วจะมีอะไรน่าแปลกใจเล่า”

เด็กชายหน้าดำผงกศีรษะ “พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว”

ชายมีหนวดรู้สึกว่าน้องชายของตนไม่ค่อยมีไหวพริบนักจึงเอ่ยกำชับ “พี่ใหญ่ลู่อยู่เมืองหลวงหลายปีแล้ว ย่อมมีภรรยาและอนุคอยนอนกอดซ้ายขวา บุตรก็คาดว่าจะอายุเจ็ดแปดปีแล้ว เมื่อพวกเราไปถึงที่นั่นจะพูดจาเหลวไหลมิได้ จะให้ลูกๆ และภรรยามาหัวเราะลับหลังว่าสหายของเขาน่ารังเกียจ ไม่น่าดูมิได้ ”

“เช่นนั้นอะไรเล่าที่พูดไม่ได้” เด็กชายหน้าดำถามอย่างระมัดระวัง

ชายมีหนวดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ก็อย่างเช่นเรื่องที่ค่ายของพวกเราโดนทางการกวาดล้างอย่างไรเล่า เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ ย่อมพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด!”

“แล้วถ้าพี่ใหญ่ลู่ถามเล่า?”

ชายมีหนวดกระแอมไอออกมาคำหนึ่ง “ก็บอกไปว่าพวกเราเองก็ล้างมือในอ่างทองคำแล้ว”

“แต่พวกเราไม่มีเงินนี่นา…” เด็กชายหน้าดำร้องเตือน

“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ เป็นเด็กเป็นเล็กไฉนถึงได้พูดมากนักหา!” ชายมีหนวดตะคอกด้วยความโมโห แล้วตบหน้าเด็กชายหน้าดำไปทีหนึ่ง

ทั้งสองเดินๆ หยุดๆ ระหว่างทางถามผู้ไปไม่น้อยก็พบสถานที่ในที่สุด

เด็กชายหน้าดำยืนอยู่หน้าประตู มองดูอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยเสียงกระซิบ “ดูไปแล้วก็มิได้ดูดีไปกว่ากระท่อมของพวกเราในค่ายมากนักเลยนะ”

ชายมีหนวดถลึงตาใส่เด็กชายหน้าดำ “เด็กอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร ที่แห่งนี้คือเมืองหลวง ที่ดินทุกกระเบียดนิ้วมีค่าดั่งทองคำ เจ้าคิดว่าจะเป็นเหมือนภูเขาของเราที่ไปยืนฉี่รดก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แล้วหรือ”

เด็กชายหน้าดำคิดแล้วก็เห็นด้วย สุดท้ายจึงมิกล้าพูดอะไรต่อ

ชายมีหนวดรวบรวมความกล้าแล้วลงมือเคาะประตู “พี่ใหญ่ลู่ พี่ใหญ่ลู่อยู่ที่เรือนหรือไม่”

ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่ประตู

“พี่ใหญ่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่ใหญ่ลู่ออกไปทำงาน ที่เรือนก็เลยไม่มีคน”

“ทำงานหรือ อย่าพูดจาเหลวไหล พี่ใหญ่ลู่ยังต้องออกไปทำงานอะไรอีก” ชายมีหนวดเคาะประตูรุนแรงขึ้น

ผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็มีเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากข้างใน “ใครกัน”

ชายมีหนวดดีใจ รีบร้อนกล่าว “พี่ใหญ่ลู่ ข้าเองเฟยเปียวน้องชายของท่าน…”

ประตูเปิดออกทันที

ชายฉกรรจ์ใบหน้าซีดเซียวผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านใน มองชายมีหนวดด้วยดวงตาฉายแววความประหลาดใจ

“เฟยเปียว เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ได้!”

ชายมีหนวดก้าวไปข้างหน้าแล้วสวมกอดชายฉกรรจ์ “พี่ชาย เพราะข้าคิดถึงท่านอย่างไรเล่า”

“เข้ามาก่อน” ชายฉกรรจ์จับไหลชายมีเหนวดไว้แล้วพาเดินเข้าไปด้านใน

เด็กชายหน้าดำมองไปรอบๆ อย่างเงียบๆ ในใจคิด ‘ท่าทางดูไม่เหมือนว่าจะมีภรรยาหรืออนุและลูกเลยนี่นา’

ชายฉกรรจ์ต้อนรับให้ทั้งสองนั่งลงในห้อง จากนั้นก็ยกน้ำมาให้สองชาม

ชายมีหนวดดื่มหมดในอึกเดียว เอ่ยด้วยความสับสน “พี่ใหญ่ลู่ เหตุใดท่านถึงสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยเล่า”

เบ้าตาของชายฉกรรจ์แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด ถอนใจเอ่ย “เรื่องนี้ยาวนัก ยากจะจบได้ด้วยประโยคเดียว”

ดวงตาของเขาทอดมองไปทางเด็กชายหน้าดำ เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ “นี่เสี่ยวเฮยหรือ”

ชายมีหนวดยิ้ม “ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่ลู่จะยังจำเสี่ยวเฮยได้ ปีนั้นที่ท่านจากไป เสี่ยวเฮยเพิ่งจะอายุได้ห้าขวบ”

ชายฉกรรจ์หัวเราะเบาๆ

เด็กที่มีผิวดำคล้ำเช่นนี้ กล่าวตามความจริงแล้ว ยากนักที่จะจดจำไม่ได้

“น้องชาย เจ้าพาเสี่ยวเฮยมายังเมืองหลวง เช่นนั้นค่ายเฮยเฟิงไม่ต้องปิดหรือ”

ชายมีหนวดทุบโต๊ะ “พี่ชายคงไม่ทราบ ค่ายเฮยเฟิงของเราถูกทางการกวาดล้างด้วยดาบนับพันเล่ม พี่น้องมากมายเสียชีวิตและหลบหนีไป น้องชายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาเสี่ยวเฮยออกมาบากหน้าขอพึ่งพาพี่ชายที่นี่…”

เด็กชายหน้าดำปากอ้าตาค้าง

นี่ นี่มันไม่เหมือนกับที่บอกเขานี่นา

มิใช่พี่ใหญ่บอกว่าห้ามทำให้เสียหน้าหรอกหรือ ต้องบอกว่าล้างมือในอ่างทองคำแล้ว

ชายมีหนวดพร่ำพูดต่อไปด้วยความเจ็บแค้น ไม่สนใจความงุนงงของน้องชายเลยแม้แต่น้อย

ไม่เข้าใจหรือว่าต้องพลิกผันไปตามสถานการณ์…

มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพี่ใหญ่ลู่อยู่ตัวคนเดียว เช่นนั้นจะยังต้องกลัวเสียหน้าอะไรอีก กล่าวตามความสัตย์จริงไปย่อมดีกว่า นับแต่นี้ไปจะได้มีคนคอยดูแลเรื่องที่พักอาหารให้

ชายฉกรรจ์ฟังชายมีหนวดเล่าต้นสายปลายเหตุจนจบก็ตบไหล่เขาอย่างแรง “ลำบากเจ้าแล้ว…”

ชายมีหนวดสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ก็เอ่ยถามชายฉกรรจ์ว่า “หลายปีที่ผ่านมาพี่ชายยังคงอยู่คนเดียวหรือ ข้าจำได้ว่า ท่านพูดไว้ว่าจะหาภรรยาสักคนในเมืองหลวง”

ดวงตาของชายฉกรรจ์เอ่อคลอด้วยน้ำตา “แผนการย่อมตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ใครจะคิดเล่าว่าในเมืองหลวงมีการล่อลวงมากมายถึงเพียงนี้ ข้าเพิ่งจะมาเมืองหลวงเพื่อเช่าบ้านหลังนี้ ก็เลยคิดจะไปเดินตลาดเล่น และเจอเข้ากับหอสุราแห่งหนึ่งจึงกินเป็ดย่างมันๆ หอมๆ ไปหนึ่งตัว…”

ชายฉกรรจ์ถอนหายใจ “แต่ก่อนในค่ายพวกเราไหนเลยจะเคยกินเป็ดย่างอร่อยๆ เช่นนี้ ใช่หรือไม่น้องชาย”

“ใช่” ชายมีหนวดตอบรับสนับสนุนด้วยอารมณ์ซับซ้อน

ด้วยเหตุนี้ที่พี่ใหญ่ลู่ยังไม่ตบแต่งภรรยาจนถึงวันนี้ก็เป็นเพราะเป็ดย่างตัวหนึ่งที่ประวิงเวลาเขาไว้อย่างนั้นหรือ

เด็กชายหน้าดำกลับจับประเด็นสำคัญได้ หลังจากปัญหาวุ่นวายพวกนั้นก็เลยเช่าบ้านโทรมๆ แห่งนี้ไว้หรือ

“ข้าไม่คิดเลยวาอาหารในเมืองหลวงจะราคาแพงถึงปานนั้น สองปีมานี้ข้ามิได้กินอะไรสิ้นเปลืองมากนัก เพียงใช้เงินจำนวนเล็กน้อยละเล่นที่แม่น้ำจินสุ่ยบ้างเป็นครั้งคราว…”

“แม่น้ำจินสุ่ยหรือ” ความสนใจของชายมีหนวดถูกดึงดูดโดยพลัน

ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ที่แห่งนั้นคือสถานที่ละลลายทรัพย์ เวลาไปก็ได้ความสำราญจากเรือบุปผาธรรมดาเท่านั้น เดิมทีข้าพอจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อสามวันก่อน ข้าจะเดินเข้าไปในหอสุราแห่งหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น…”

ได้ยินชายฉกรรจ์พูดจบ ชายมีหนวดก็ตัวแข็งค้าง เอ่ยเสียงสั่น “ถ้าอย่างนั้นพี่ชายไปกินติดต่อกันสามวัน จนไม่มีเงินจะจ่ายค่าเช่าบ้านนี้หรือ”

เด็กชายหน้าดำยกน้ำขึ้นดื่มเงียบๆ

หนึ่งในร้อย มังกรในหมู่คนทั่วไป?

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท