ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 162 หลอกถาม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 162 หลอกถาม

แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบมองทั้งสองผ่านๆ แล้วมองไปทางอื่น แอบคิดในใจว่า หอสุราของเซิงเอ๋อร์คนแออัดจริงๆ

ลั่วเซิงอดมองเสี่ยวชีอย่างลึกซึ้งไม่ได้

ซิ่วเย่ว์บอกว่าเสี่ยวชีก็คือเป่าเอ๋อร์ น้องเล็กของนาง…

นางอยากจะมองน้องชายที่ได้คืนกลับมาอีกครั้งดีๆ อยากจะถามเขาว่าหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไร อยากรู้เรื่องมากมายเหลือเกิน ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา

โชคดีที่เสี่ยวชีอยู่หอสุราอยู่แล้ว ถามพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย

ลั่วเซิงข่มความปรีดาไว้ พูดอย่างสงบว่า “เข้าไปกินข้าวเถอะ”

ชายมีหนวดขานตอบ พาเสี่ยวชีไปยืนข้างๆ รอให้นางเดินไปก่อน

ลั่วเซิงเดินผ่านข้างกายทั้งสอง นางเหลือบมองเสี่ยวชีอีกครั้ง

เสี่ยวชียิ้มให้ลั่วเซิงอย่างสดใส

ไม่รู้ว่าเพราะฟ้ามืดหรือผิวดำ ฟันของเขาจึงขาวราวกับหิมะ

ลั่วเซิงชะงักฝีเท้า ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา บางทีอาจจะถามเสี่ยวชีว่าตอนเด็กเขาตากแดดมากเกินไปหรือไม่ เขาไม่ดำเกินไปหน่อยหรือ

พูดตามตรง เสี่ยวชีแค่ค่อนข้างดำ ไม่โดดเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางสามัญชน ยิ่งพูดไม่ได้ว่าเป็นข้อบกพร่องอะไร

แต่นางจำได้ว่าเป่าเอ๋อร์มีผิวขาวมากเลยนี่

แต่จากเด็กทารกจนเติบใหญ่เป็นวัยรุ่น คนมักเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ลั่วเซิงมองเสี่ยวชีอีกครั้ง นางถอนหายใจ

ผิวดำไปหน่อยจริงๆ ทำให้นางรู้สึกไม่ใช่ความจริงกับข่าวดีที่ว่าเสี่ยวชีก็คือเป่าเอ๋อร์

จู่ๆ ลั่วเซิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางจำได้ว่าก้นซ้ายของเป่าเอ๋อร์มีปานรูปพระจันทร์เสี้ยว…

เมื่อเห็นลั่วเซิงมองเขาไม่เดินต่อไปแล้ว เสี่ยวชีก็ฉีกยิ้ม “เถ้าแก่ ท่านมีอะไรหรือขอรับ”

เดิมเขาค่อนข้างกลัวปีศาจสาวที่ปล้นเขากลับ แต่คิดไม่ถึงว่าปีศาจสาวเป็นเจ้าของร้านแล้วจะใจดีเช่นนี้

เขาได้เข้าเรียนและยังมีข้าวกิน

อันที่จริงไม่ต้องเข้าเรียนก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรต่อไปเขาก็จะกลับมาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่มีหอสุราอยู่แล้ว

“ไม่มีอะไร” ลั่วเซิงคิดว่าจะหาโอกาสพิสูจน์ดู สายตาอดมองลงไปข้างล่างไม่ได้

เด็กน้อยที่คิดว่าตนเองไม่กลัวเจ้าของร้านแล้วจู่ๆ ตัวก็แข็งทื่อ

เถ้าแก่มองตรงไหนน่ะ

จู่ๆ ก็คิดถึงข่าวลือที่ได้ยินมา เสี่ยวชีก้าวถอยหลังอย่างรีบร้อน

เขาไม่เป็นนายบำเรอหรอกนะ!

ส่วนลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าต่อแล้ว

เมื่อลั่วเซิงเดินจากไปไกลแล้ว ชายมีหนวดก็ตบเสี่ยวชีไปทีหนึ่ง “เมื่อครู่นี้เจ้าร้อนรนอะไรกัน ไม่ควรทำให้เถ้าแก่ต้องอับอาย!”

“พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าสายตาที่เถ้าแก่มองข้าพิกลอย่างไรไม่รู้…”

“พิกลรึ พิกลอย่างไร”

เสี่ยวชีหน้าแดง พูดอึกอักว่า “ข้ารู้สึกว่าเถ้าแก่เอาใส่ใจข้ามาก…”

ชายมีหนวดชะงัก จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา เมื่อหัวเราะจนพอแล้วก็ตบไหล่เสี่ยวชีอย่างแรง “เจ้าเด็กโง่ บอกให้เจ้าตั้งใจเรียนหนังสือเจ้าไม่ฟัง เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า รีบเข้าไปกินข้าวเถอะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วที่เดินอยู่บนถนนถามลั่วเซิง “คนสองคนเมื่อครู่นี้ก็เป็นคนของหอสุราเจ้าหรือ”

“เจ้าค่ะ คนที่โตกว่าเป็นผู้ช่วยในครัว คนเล็กกลางวันไปสำนักศึกษาเอกชน กลางคืนกลับมาช่วยทำงานเบ็ดเตล็ด”

“เป็นพ่อลูกกันสินะ”

ลั่วเซิงกระตุกมุมปากเล็กน้อย ชี้แจงแทนชายมีหนวดว่า “เป็นพี่น้องเจ้าค่ะ คนโตอายุเพิ่งยี่สิบกว่า”

แม่ทัพใหญ่ลั่วลูบเคราสั้นใต้คาง

บุรุษคนนั้นอายุเพียงยี่สิบกว่าหรือ

หน้าตารีบโตไปหน่อยนะ เขาคิดว่าเด็กกว่าเขาแค่ปีสองปีเสียอีก

คืนหนึ่งค่ำไม่เห็นดวงจันทร์ มีเพียงดวงดาวระยิบระยับทั่วท้องฟ้า

สองพ่อลูกเดินไปทางจวนแม่ทัพใหญ่อย่างไม่ช้าไม่เร็ว คุยเล่นไปเรื่อยๆ

“ที่ผ่านมากิจการของหอสุราคงดีมากเลยใช่หรือไม่ พ่อได้ยินว่าพวกเสนาบดีจ้าวมาบ่อย”

“ราคาสูงไปเล็กน้อย ดังนั้นแขกที่มาล้วนเป็นคนสูงศักดิ์และร่ำรวยเจ้าค่ะ”

“ลูกสาวข้าเก่งจริงๆ”

ลั่วเซิงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างได้ใจ ราวกับเด็กๆ ที่ชอบอวดพ่อแม่ “วันนี้องค์รัชทายาทเสด็จมาด้วยเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงักฝีเท้า “รัชทายาทเสด็จมาหรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ ตอนที่รัชทายาทเสด็จมาหอสุรายังไม่เปิด ท่านบอกว่ามาจากจวนผิงหนานอ๋อง”

แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว

“รัชทายาทไม่ชอบชายารัชทายาทหรือเจ้าคะ” เมื่อเริ่มเกริ่นถึงองค์รัชทายาทแล้ว ลั่วเซิงก็ถือโอกาสถาม

แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอม “เหตุใดจึงถามเรื่องนี้”

ลั่วเซิงยกมือขึ้นหมุนข้อมือไปมา

ในยามค่ำคืน กำไลข้อมือสีทองพร่างพราย

“เดี๋ยวนี้เซิงเอ๋อร์ชอบกำไลข้อมือสีทองแบบนี้หรือ”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้เห็นท่านหญิงจวนผิงหนานอ๋องใส่ก็รู้สึกชอบเจ้าค่ะ”

จู่ๆ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี “แล้วกำไลนี่…”

“ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อให้ลูกช่วยเชิญหมอเทวดาให้ ลูกก็เลยขอกำไลวงนี้มาเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วโล่งอก

ไม่ใช่แย่งมาดื้อๆ ก็พอ

ลั่วเซิงอมยิ้ม “ได้ยินว่ากำไลวงนี้มีอีกวงเป็นคู่กัน อีกวงหนึ่งอยู่ที่นางสนมขององค์รัชทายาท ลูกคิดว่ากำไลวงหนึ่งอยู่กับน้องสาว อีกวงหนึ่งอยู่กับนางสนม องค์รัชทายาทคงไม่ค่อยโปรดปรานชายาเท่าไรกระมัง”

แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าจริงจัง “เรื่องส่วนตัวของรัชทายาท อย่าเอ่ยถึงมากเกินไปเลย”

ลั่วเซิงยกมือขึ้นจับปิ่นดอกไม้ประดับมุกบนศีรษะ ยิ้มพูดว่า “ลูกไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของรัชทายาท แค่คิดว่าหากชายารัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปรานมากนัก นางสนมคนนั้นก็คงเป็นที่โปรดปรานมาก เห็นทีกำไลอีกวงหนึ่งคงได้มาไม่ง่ายแน่”

แม่ทัพใหญ่ลั่วขมับเต้นตุบๆ “เซิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าชอบอะไรพ่อซื้อให้เจ้าได้ เราจะชิงกำไลของสนมรัชทายาทไม่ได้นะ”

“เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงตอบราบเรียบ ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก

แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงได้แต่พูดเหตุผลกับบุตรสาว “นางสนมคนนั้นขององค์รัชทายาทไม่ใช่คนธรรมดา เดิมเป็นสาวใช้ที่ติดตามชายาคนแรกของรัชทายาทเมื่อครั้นออกเรือน…”

ลั่วเซิงชะงักฝีเท้าทันที น้ำเสียงประหลาดใจ “ชายาคนแรกของรัชทายาท?”

หมายถึงนางหรือ

แล้วสาวใช้ติดตามคือใครกัน

ลั่วเซิงใจเต้นแรง เกือบจะรักษาสีหน้าให้สงบนิ่งไว้ไม่ได้

หรือว่าซูเฟิงและเฉาฮวา หนึ่งในพวกเขายังมีชีวิตอยู่?

ยังมีชีวิตอยู่… สวมกำไลทองอีกวงหนึ่งของนาง… นางสนมคนนั้นของรัชทายาทคือเฉาฮวาหรือไม่นะ

ลั่วเซิงจับกำไลข้อมือ ปลายนิ้วสั่นระริก

แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นอาการของลั่วเซิง คิดว่านั่นคืออาการตกตะลึง เขาอธิบายว่า “ตอนที่รัชทายาทยังเป็นผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เคยแต่งท่านหญิงทางใต้คนหนึ่งเป็นภรรยา… เอาล่ะ เจ้าเป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่ง เรื่องอดีตเหล่านี้อย่าถามอีกเลย หากเจ้าชอบกำไลแบบนี้ กลับไปพ่อส่งคนไปซื้อที่ร้านทองให้”

แต่ห้ามชิงของสนมองค์รัชทายาทเด็ดขาด ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีความคิดจะก่อกบฎนะ!

“ไม่รบกวนท่านพ่อแล้ว ข้าชอบอะไรก็ชอบเพียงชั่วคราวเท่านั้น”

จวนแม่ทัพใหญ่ลั่วอยู่ข้างหน้า สองพ่อลูกแยกย้ายกันกลับห้องของตนเอง

องค์รัชทายาทเพิ่งกลับถึงวังบูรพา เมื่อเสวยอาหารค่ำพร้อมชายารัชทายาทเสร็จอย่างอดทน เดิมควรจะพักผ่อนที่ตำหนักของชายารัชทายาท แต่เขาบังเอิญนึกถึงกำไลข้อมือสีทองของลั่วเซิงจึงหาข้ออ้างไปหาอวี้เสวี่ยนซื่อ

ชายารัชทายาทโมโหมากจนเขวี้ยงจอกชา

นางไม่ต้องการแข่งขันกับเสวี่ยนซื่อคนหนึ่ง แต่รัชทายาทก็ทำเกินไปแล้ว วันขึ้นหนึ่งค่ำยังไปหาอวี้เสวี่ยนซื่อ

เมื่อโมโหเสร็จ ชายารัชทายาทก็สงบสติอารมณ์ พูดเสียงราบเรียบว่า “เก็บเศษจอกชาออกไปเถอะ”

อวี้เสวี่ยนซื่อกลับตกตะลึงที่รัชทายาทเสด็จมา

“ประหลาดใจที่ข้ามามากเลยหรือ”

“วันนี้พระองค์ควรอยู่กับชายารัชทายาทนี่เพคะ”

เว่ยเชียงยิ้มๆ น้ำเสียงอ่อนโยน “มานั่งครู่หนึ่งแล้วข้าจะกลับไป”

เขาพูดพลางจับมือของอวี้เสวี่ยนซื่อ กำไลทองบนข้อมือเหมือนกับกำไลที่ลั่วเซิงใส่ทุกประการ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท