ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 165 ถาม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 165 ถาม

สือเยี่ยนเดินเข้ามาจากประตูโค้งเป็นคนแรก ทันทีที่เห็นเว่ยหานอยู่ในสวนก็รีบวิ่งเข้ามา “นายท่าน ท่านมาแล้วหรือ!”

นายท่านมาเช้าเช่นนี้เลยหรือ…

องครักษ์น้อยไม่กล้าพูดมากไปกว่านี้ เขามองและยิ้มแห้งให้เว่ยหาน

ความสนใจของเว่ยหานไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังของสือเยี่ยน

ห่านตัวใหญ่สีขาวสูงครึ่งตัวคนดูสง่างามกำลังย่ำเท้าเดินเข้ามา

คนที่อยู่หลังต้าไป๋คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งและชายหนุ่มอีกคน

เด็กหนุ่มยังเด็ก เครื่องหน้างามประณีต งดงามยิ่งนัก

ส่วนชายหนุ่ม…

เว่ยหานเลิกคิ้วมองไปที่ลั่วเซิง

ก่อนหน้านี้ที่คุณหนูลั่วบอกว่ามีนายบำเรอสองคนดูแลต้าไป๋ก็คือสองคนนี้สินะ

ลั่วเซิงยิ้มและกวักมือเรียกต้าไป๋ “ต้าไป๋ มานี่”

เว่ยหานเห็นต้าไป๋หยุดชะงักอย่างชัดเจน จากนั้นจึงเดินมาทางพวกเขา

ดูจากความเร็วที่ช้าลง ทำให้รู้สึกว่ามันไม่เต็มใจเท่าใดนัก

เพราะเขาดูเข้มงวดเกินไปหรือ

เมื่อห่านขาวเดินมาถึงตรงหน้าแล้ว หมิงจู๋และฟู่เสวี่ยก็คารวะลั่วเซิงพร้อมกัน

ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”

ไม่มีทีท่าว่าจะแนะนำให้เว่ยหานรู้จัก

ฟู่เสวี่ยที่ออกไปถามหมิงจู๋ “พี่หมิงจู๋ แขกที่นั่งกับคุณหนูลั่วคือใครหรือ”

หมิงจู๋ยกมุมปากเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงความเย้ยหยันตนเองหลายส่วน “แขกของคุณหนูคือใคร ไม่ใช่สิ่งที่เราควรถาม”

ฟู่เสวี่ยก้มหน้า รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง “แต่คุณหนูลั่วให้ต้าไป๋อยู่ที่นั่น พี่หมิงจู๋ คุณหนูเปิดหอสุรามิใช่หรือ ได้ยินพี่ซานหั่วบอกว่าอร่อยมากเลย พี่คิดว่าที่คุณหนูให้ต้าไป๋อยู่ที่นั่น คงไม่ได้จะตุ๋นต้าไป๋ให้แขกกินใช่หรือไม่…”

พูดถึงตอนท้าย เด็กหนุ่มก็ทำท่าจะร้องไห้

หมิงจู๋ยกมือขึ้นลูบศีรษะฟู่เสวี่ย “ฟู่เสวี่ย เจ้าจงจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจ”

“เรื่องอะไรหรือ” ฟู่เสวี่ยเงยหน้า

หมิงจู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ต้าไป๋เป็นของคุณหนู”

ฐานะของพวกเขาไม่ได้สูงไปกว่าต้าไป๋มากนัก ความเป็นความตายขึ้นอยู่กับคุณหนูเท่านั้น

ในสวนกลับเกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็กน้อย

เมื่อลั่วเซิงถามว่าเมื่อถึงเวลาให้นางส่งเลือดของต้าไป๋ไปให้หรือจะให้ทำอย่างไร จู่ๆ ต้าไป๋ที่นั่งข้างกายนางก็กระโดดขึ้นมา กระพือปีกกระโจนเข้าไปกัดเว่ยหาน

เว่ยหานกลัวลงมือหนักจนทำให้ต้าไป๋บาดเจ็บจึงทำได้เพียงหลบหลีกอย่างเก้ๆ กังๆ

“ต้าไป๋!” ลั่วเซิงดุและจับคอของต้าไป๋ไว้อย่างช่ำชอง

ต้าไป๋นิ่งทันที

เว่ยหานเห็นดังนั้นก็กังวล “คุณหนูลั่วปล่อยต้าไป๋เถอะ”

หากบีบมันตายขึ้นมา เขาจะทำอย่างไร

ลั่วเซิงปล่อยมือ ลุกขึ้นยืน “ท่านอ๋อง หรือไม่ไปนั่งในเรือนของข้าเถอะ”

สือเยี่ยนอ้าปากกว้างอย่างตะลึงงัน

เขาคิดว่าคุณหนูลั่วเชิญนายท่านมาเพื่อดูต้าไป๋แค่นั้น

เหตุใดยังเชิญเข้าไปในห้องด้วยเล่า

เหอะๆๆ เขินจังเลย

นายท่าน ตอบตกลงนางสิ!

เว่ยหานไม่ได้สนใจองครักษ์น้อยที่เล่นหูเล่นตา เขาพยักหน้าเบาๆ “ดี”

ชวนเขามาดูต้าไป๋คงเป็นเรื่องรอง คุณหนูลั่วคงอยากถามเขาเรื่องงูเขียวมากกว่ากระมัง

เว่ยหานเดินตามลั่วเซิงไปทางประตูโค้ง เมื่อรู้สึกว่าห่านขาวตามมาก็ก้มศีรษะดู

ห่านขาวสบตาเขาอย่างไม่พอใจและพุ่งตัวไปกัดขาของเขา

ลั่วเซิงหันกลับมา

ทันทีที่ต้าไป๋ถูกเจ้านาย (ปีศาจ) เห็น มันก็ปล่อยปากและวิ่งหนีไปทันที

เว่ยหานปัดเสื้อผ้าที่ถูกกัด

วันนี้เขาสวมชุดสีขาวจึงทิ้งรอยที่ต้าไป๋กัดไว้ชัดเจน รอยนั้นปัดไม่ออก

ลั่วเซิงปากกระตุก “เหตุใดท่านอ๋องไม่หลบเจ้าคะ”

เว่ยหานยิ้ม “ต้าไป๋คงแค้นเคืองข้า ปล่อยให้มันได้ระบายก็ดีเหมือนกัน”

ในความเป็นจริงแล้ว ชั่วขณะที่สบตากับห่านขาว เขาแค่รู้สึกสงสัยว่าห่านตัวนี้กำลังคิดอะไร

ที่แท้คิดจะกัดเขานี่เอง…

เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ เขาไม่มีทางให้คุณหนูลั่วรู้ความจริงหรอก

ทั้งสองเข้าไปในห้องพร้อมกัน

เมื่อโค่วเอ๋อร์ยกน้ำชามา ลั่วเซิงก็บอกให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงพวกเขาสองคน

ครานี้ลั่วเซิงยิ่งซาบซึ้งในความสะดวกสบายที่คุณหนูลั่วมีไว้ให้นาง

ถึงอย่างไรการที่สตรีที่เลี้ยงนายบำเรอต้องการพูดคุยกับชายหนุ่มสองต่อสองนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดามาก

“วันนี้สีชุดของท่านอ๋องสง่างามกว่าเมื่อวาน” ลั่วเซิงจิบชาคำหนึ่ง ยิ้มพูดขึ้น

เว่ยหานก้มดูครู่หนึ่งก่อนจะสบตากับลั่วเซิง “เป็นเพราะสีเสื้อเมื่อวานเหมือนงูอย่างนั้นหรือ”

แม้คุณหนูลั่วจะไม่สนใจ แต่หากเขาอยู่ที่นี่นานก็คงดูไม่ดีจึงเป็นคนเกริ่นขึ้นก่อน

ลั่วเซิงประหลาดใจกับความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย แต่การให้นางยอมรับตัวเองว่าเป็นผู้ร้ายที่ลอบสังหารผิงหนานอ๋องนั้น ไม่มีทางแน่นอน

เรื่องบางเรื่องทำได้ แต่แม้จะรู้แก่ใจก็ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด

“พูดไปแล้วก็น่าขัน เมื่อวานคุณชายใหญ่หลินพาลูกน้องมาสืบสวนแล้วไปจับโดนงูเขียวตัวหนึ่งในโพรงต้นไม้เข้า”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เว่ยหานยกมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้

“ใช่แล้ว ทำเอาเขาขยะแขยงมาก วิ่งมาขอน้ำล้างมือที่หอสุราข้า”

“ช่างโชคร้ายจริงๆ” เว่ยหานยิ้มเล็กน้อย

ลั่วเซิงมองเขานิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงมีความนัยว่า “ว่ากันว่าคุณชายใหญ่หลินเป็นอัจฉริยะในการไขคดี ท่านอ๋องคิดว่าเขาจะหาตัวผู้ร้ายที่ลอบสังหารผิงหนานอ๋องได้หรือไม่”

เว่ยหานเงียบไปครู่หนึ่ง

ในห้องมีหน้าต่างบานใหญ่ แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ทำให้ในห้องสว่างไสว

เว่ยหานมองหญิงสาวตรงหน้า เห็นแสงระยิบระยับในดวงตาของนาง

เขาตอบ “ข้าคิดว่าเขาหาไม่เจอ”

หญิงสาวตรงหน้ายิ้ม แสงระยิบระยับในดวงตายิ่งสว่างไสว เหมือนกับที่เขาคิดไว้

ลั่วเซิงวางใจลงไปมากจริงๆ

ไคหยางอ๋องพูดเช่นนี้ อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าเขาจะไม่เข้ามายุ่ง

และการช่วยเหลือของไคหยางอ๋องที่ไม่รู้ความจริง นางไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าหลินเถิงจะสงสัยในตัวนาง

ความกังวลอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่สามารถวางลงได้นั้นก็เกี่ยวข้องกับไคหยางอ๋อง

นางไม่แน่ใจว่าเขาเริ่มสังเกตตั้งแต่เมื่อไร มันเป็นการคาดเดาของเขา หรือว่าเขาเห็นนางยิงธนู?

แต่หากถามคำถามเหล่านี้ เกรงว่านางคงต้องอธิบายมากกว่านี้ อย่างเช่นเหตุจูงใจในการลอบสังหารผิงหนานอ๋อง

ในเมื่อเช่นนี้ สู้ทำเป็นไม่รู้เรื่องดีกว่า

ตราบใดที่ไคหยางอ๋องไม่มายุ่งเรื่องของนาง ทั้งสองรักษาความสัมพันธ์เป็นแขกหอสุราและเจ้าของหอสุราไปตลอดก็พอ

เว่ยหานถามอมยิ้มว่า “คุณหนูลั่วมีอย่างอื่นจะถามอีกหรือไม่”

ลั่วเซิงยิ้ม “ตอนนี้ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”

เว่ยหานวางจอกชาในมือลง พูดเสียงเบาว่า “ข้ามีอะไรอยากถาม”

ลั่วเซิงขมวดคิ้วมองเขาครู่หนึ่ง พูดอย่างเนิบช้าว่า “ท่านอ๋องเชิญพูด”

เว่ยหานปริปาก “เหตุใดคุณหนูลั่วจึงปรากฎตัวอยู่ในจวนร้างเจิ้นหนานอ๋อง”

ลั่วเซิงหน้าไร้อารมณ์ “ท่านอ๋องจำผิดคนหรือไม่เจ้าคะ”

เว่ยหานยิ้มๆ ไม่ได้โต้แย้ง แต่พูดต่อไปว่า “ที่มีหอสุรา ผู้ที่ได้สิทธิ์ทานอาหารครึ่งราคามีเพียงคุณชายรองหลินและคุณหนูใหญ่สวี่ของจวนฉางชุนโหว และพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน…”

เว่ยหานเว้นจังหวะเล็กน้อยและมองลั่วเซิง “จวนท่านตาของพวกเขาคือจวนเจิ้นหนานอ๋อง”

ลั่วเซิงสบตากับเขาอย่างสงบ

“สิ่งที่ข้าอยากถามคือ คุณหนูลั่วเป็นอะไรกับจวนเจิ้นหนานหรือ”

“อาศัยแค่เหตุผลที่ว่าจวนท่านตาของคุณชายรองหลินและคุณหนูใหญ่สวี่ล้วนคือจวนเจิ้นหนานอ๋อง ท่านอ๋องก็ถามคำถามประหลาดแบบนี้เลยหรือเจ้าคะ”

เว่ยหานยิ้ม “หากไม่ได้บังเอิญเจอคุณหนูลั่วในจวนร้างของเจิ้นหนานอ๋อง ข้าย่อมไม่คาดเดาเช่นนี้เพียงเพราะพวกคุณชายหลิน”

“ข้าบอกแล้วว่าท่านอ๋องจำผิดคน”

จู่ๆ เว่ยหานก็ยื่นมือออกไปที่ลั่วเซิง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท