คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง – ตอนที่ 339 เชิญแขก

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 339 เชิญแขก

เดือนสิบสอง!

หยดน้ำในเมืองหลวงกลายเป็นน้ำแข็ง!

คนเดินบนท้องถนนต่างมีฝีเท้าที่เร่งรีบ พวกเขาต่างหดคอ งอตัว

ผู้คนต่างอยากจะหดตัวให้เหลือชิ้นเล็กๆ ต้านทานอากาศที่หนาวเหน็บอย่างสุดขั้วที่ทำให้คนหวาดกลัว

ฤดูหนาวปีนี้ผ่านพ้นไปได้ยาก

หากยังหนาวเช่นนี้ต่อไป เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็ไม่อบอุ่นขึ้นมา

อากาศไม่อบอุ่น ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการเพาะปลูกหว่านเมล็ดพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิ

เมื่อการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิล่าช้า ผลผลิตปีหน้าย่อมทำให้คนกลุ้มใจกว่าเดิม

ดังนั้นผู้คนบนท้องถนนต่างมีสีหน้ากลัดกลุ้ม

แม้จะไม่ใช่ประชาชนที่ต้องทำนาก็ยากที่จะเผยใบหน้ายิ้มแย้ม

หนาวเกินไป!

เพียงแค่ค่าใช้จ่ายสำหรับถ่านไม้ที่ใช้ก่อความอุ่นก็มากกว่าปีที่แล้วอย่างน้อยร้อยละห้าสิบ

ที่สำคัญคือราคาถ่านไม้ในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นตามสถานการณ์ ราคาของมันแพงกว่าปีก่อนร้อยละยี่สิบถึงสามสิบ

รายได้ไม่เห็นเพิ่ม แต่รายจ่ายนับวันยิ่งมีมาก จะไม่กลุ้มได้อย่างไร

ร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ย รวมทั้งร้านขายของชำมีกิจการที่ดียิ่งขึ้นในแต่ละวัน

อากาศยิ่งหนาว กิจการยิ่งดี

ต้นทุนสูงขึ้น แต่ราคาน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม มันยังคงเป็นน้ำแกงร้อนๆ สองเหวินหนึ่งชาม

เมื่อนับดูแล้ว อย่างน้อยก็มีเครื่องในสิบกว่าชิ้น

สองเหวิน ทำให้อุ่นท้อง อีกทั้งยังได้กินเนื้อ

สำหรับชาวบ้านแล้ว ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บนี้ การดื่มน้ำแกงเครื่องในเป็นการดื่มด่ำที่วิเศษที่สุด

เครื่องปรุงและผักดองในร้านขายของชำหนานเป่ย…แม้ราคาจะสูงกว่าร้านค้าประเภทเดียวกันเล็กน้อย แต่ชนะที่วัตถุดิบ อีกทั้งยังไม่งกในการใช้เกลือ รสชาติดีอย่างต้นตำรับ

ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนนำเครื่องปรุงและผักดองของร้านขายของชำหนานเป่ยมาใช้แทนเกลือ

เมื่อคำนวณออกมา ราวกับยังสามารถประหยัดค่าเกลือได้ ถือว่าได้กำไรแล้ว

ดังนั้นกิจการของสองร้านนี้พุ่งทะยานสูงขึ้นในฤดูหนาวปีนี้ ยอดขายทะลุสถิติ

จวนองค์หญิงจู้หยาง

บ่อน้ำในสวนดอกไม้กลายเป็นน้ำแข็ง แต่ความอยากตกปลาของเยียนอวิ๋นเกอไม่ลดลงแม้แต่น้อย

นางรู้สึกว่าหากได้กินหม้อไฟปลาเผ็ดร้อนในฤดูหนาวคงจะเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างมาก

แม้แต่วัตถุดิบนางก็เตรียมเอาไว้แล้ว ขาดแค่ปลา

ไม่สนใจลมหนาวที่พัดโกรก นางยังยืนกรานที่จะนั่งตกปลาอยู่ในศาลา

บรรดาสาวรับใช้ใช้ฉากกั้นล้อมศาลาเอาไว้ ปิดกั้นลมหนาวที่พัดเข้ามา ก่อนจะเตรียมเตาไฟอีกสองใบ

ศาลาขนาดเล็กอบอุ่นขึ้นมาภายในชั่วพริบตาท่ามกลางฤดูหนาวนี้

มือของเยียนอวิ๋นเกอถือเตาอุ่นมือทองเหลือง ดื่มน้ำแกงเมล็ดบัวที่เลิศรส เอนพิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าสบายเหมือนกับคุณหนูใหญ่ในตระกูลท้องถิ่น

บรรดาสาวรับใช้ต่างพูดคุยเรื่องทั่วไป

“มีเชื้อพระวงศ์มาขอเสบียงอีกแล้ว หน้าหนาเสียจริง”

“เจ้าว่าเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นคิดอย่างไร ในจวนยากจนจนไม่มีจะกินก็ยังไม่ยอมออกไปหางานทำ ขอเสบียงไม่ไปสำนักเซ่าฝู่ แต่กลับมาจวนองค์หญิงของพวกเรา”

“อย่างไรก็เป็นสมาชิกราชวงศ์ จะยอมเสียเกียรติไปทำงานหาเงินด้านนอกได้อย่างไร ขายหน้า!”

“ข้าวยังไม่มีกิน ยังจะหยิ่งในศักดิ์ศรีอีก สมกับเป็นพวกที่รักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต”

“เชื้อพระวงศ์เหล่านั้นอาศัยองค์หญิงเจรจาง่าย สองสามวันวิ่งมาที”

“หากตอนนั้น องค์หญิงยอมใจร้ายขับไล่คนแรกที่กล้ามาขอเสบียงออกไป ก็คงไม่ต้องมีคนมาขอเสบียงทุกวันเหมือนตอนนี้”

“อย่าได้พูดเหลวไหล! จวนองค์หญิงของพวกเราไม่ขาดแคลนเสบียงเพียงเล็กน้อยนั้น องค์หญิงมีจิตใจเมตตา ช่วยเหลือคนในตระกูลเป็นเรื่องที่ดี อีกอย่างองค์หญิงทำเรื่องใดต้องให้พวกเจ้ามาวิจารณ์ด้วยหรือ ระวังคุณหนูลงโทษพวกเจ้า”

เหล่าสาวรับใช้แลบลิ้นด้วยความร้อนตัว

อาเป่ยมาตรงหน้าของเยียนอวิ๋นเกอ “คุณหนู บ่าวสั่งสอนพวกนางแล้ว พวกนางไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีก!”

เยียนอวิ๋นเกอตอบรับ “วันนี้มีคนมาขอเสบียงอีกแล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ! คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงแม้แต่น้อย เพียงแค่แซ่เซียวก็ต่างเดินทางมาด้วยความหน้าไม่อาย”

เยียนอวิ๋นเกอกัดฟัน

คำโบราณว่าไว้ ตระกูลฮ่องเต้ยังมีญาติที่ยากจนสามตระกูล

เชื้อพระวงศ์หลายหมื่นคน ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะมีชีวิตที่ดี

เชื้อพระวงศ์ที่มีเงินเดือน บริหารเป็น ชีวิตย่อมไม่ลำบาก

แต่เชื้อพระวงศ์ที่สืบทอดลงมารุ่นสู่รุ่น มีบางคนยากจนไม่อาจเทียบกับขอทานบนท้องถนนได้แล้ว

แม้จะยากจนเพียงนี้แล้ว แต่เชื้อพระวงศ์เหล่านี้ก็ยังไม่ยอมละทิ้งเกียรติยศไปทำงานหาเงิน

พวกเขาคาดหวังเสบียงที่แจกจ่ายตามจำนวนคนจากสำนักเซ่าฝู่ในการประทังชีวิต

แต่ล้วนไม่พอกินในแต่ละปี แต่ละปีล้วนต้องขอผู้อื่น

สำนักเซ่าฝู่มีประสบการณ์ในการจัดการกับเชื้อพระวงศ์ที่มาขอเสบียง

ทุกครั้งที่มีคนมาขอเสบียง พวกเขาก็จะให้เพียงแป้งข้าวสองขีด

ครอบครัวใหญ่ แป้งข้าวสองขีดย่อมไม่พอกิน

ทำอย่างไร

สำนักเซ่าฝู่ก็มีกฎเกณฑ์ จะไปขอเสบียงจากสำนักเซ่าฝู่ทุกวันไม่ได้

อย่างน้อยก็ต้องห่างออกไปห้าหกวัน จึงจะไปขอเสบียงจากสำนักเซ่าฝู่อีกครั้งได้

มิฉะนั้น สำนักเซ่าฝู่จะขับไล่คนผู้นั้นออกไป ไม่ให้เสบียงแม้แต่ข้าวเมล็ดเดียว

ในเวลานี้จึงต้องไปขอเสบียงที่จวนของคนในตระกูลที่ร่ำรวย ตราบใดที่หน้าหนา ย่อมจะไม่กลับมามือเปล่า

ล้วนแต่เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี พอมีญาติยากไร้มาเยี่ยม แม้แต่แป้งข้าวเพียงไม่กี่จินก็ยังตระหนี่ ยังเป็นคนอยู่อีกหรือ

ไม่ใช่คนอย่างแน่นอน แต่เป็นคนที่รวยและไร้ความปราณี!

เชื้อพระวงศ์ที่ยากจนจนไม่มีกางเกงใส่กลุ่มนี้ไม่เพียงหน้าหนา ฝีปากยังเก่งกล้าอีกด้วย

แพร่กระจายข่าวลือ ทำลายชื่อเสียงผู้อื่นคือความสามารถของพวกเขา

ผู้ใดไม่ให้เสบียงพวกเขา พวกเขาก็จะแต่งเรื่องทำลายชื่อเสียงของคนผู้นั้น

ชื่อเสียงสำคัญเพียงใด!

จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเพียงเพราะแป้งข้าวไม่กี่จินได้อย่างไร

ดังนั้นเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่จึงทำได้เพียงอดทนต่อญาติที่ยากจนกลุ่มนี้

โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายต่างหยิ่งในศักดิ์ศรี ถึงแม้จะเป็นคนที่ขอเสบียงโดยเฉพาะก็รู้จักขอบเขต

หนึ่งเดือนสองเดือนมาทีก็เพียงพอแล้ว!

ญาติที่ร่ำรวยมากมายเช่นนี้ เดินไปหาทีละตระกูล เสบียงที่ขอมาก็เพียงพอที่จะประทังชีวิตไปหนึ่งถึงสองเดือนแล้ว

เพียงแต่รับไม่ได้ที่ญาติยากจนมีจำนวนมากเกินไป อีกทั้งแต่ละคนยังหน้าหนา

ตามนิสัยของเยียนอวิ๋นเกอ นางคงจะขับไล่คนพวกนี้ออกไปทันที ทำให้พวกเขาเจ็บตัวย่อมจะรู้ดีชั่ว

ชื่อเสียงดีหรือเสื่อมเสีย นางไม่สนใจ

ชื่อเสียงของนางเป็นเช่นนี้แล้ว จะเสื่อมเสียต่อไปก็ย่อมได้

เพราะอย่างไร ถึงแม้นางจะไม่ตีคน แต่ชื่อเสียงของนางก็ไม่มีทางดีขึ้นมา

แต่เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่เห็นด้วย

หากพูดด้วยคำพูดของเซียวฮูหยิน “เสบียงเพียงเล็กน้อยจะมีมูลค่าเท่าใดกัน คุณหนูจวนโหวตีคนเพื่อเงินเพียงเล็กน้อยจะเข้าท่าหรือ ให้พ่อบ้านด้านล่างไปจัดการคนเหล่านั้นใช้เวลาไม่นาน เสียเสบียงเพียงไม่กี่จิน เมื่อผ่านเดือนสิบสองไป เสบียงของสำนักเซ่าฝู่แจกจ่ายลงมา พวกเขาก็สามารถสงบลงอย่างน้อยครึ่งปี”

“เพียงแค่รู้สึกรังเกียจพวกเขา!”

“ไม่เห็นย่อมไม่หงุดหงิด เรื่องแบบนี้เจ้ารู้ไว้ก็พอ อย่าได้ใส่ใจ พวกเราไม่ได้ใจแคบเพียงนั้น”

เมื่อพูดเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องใจแคบหรือไม่แล้ว เยียนอวิ๋นเกอจะทำอย่างไรได้

ทำได้เพียงไม่สนใจเรื่องภายนอก จดจ่ออยู่กับการตกปลาในบ่อ

ทุ่นตกปลาขยับแล้ว

เยียนอวิ๋นเกอดึงก้านตกปลาขึ้น ปลาตัวนั้นเป็นปลาเฉาฮื้อหนักราวสามสี่จิน

นางหัวเราะร่า เตรียมตกอีกตัว

ปลาสองตัว กินหม้อไฟปลา เพียงพอแล้ว!

กลางวัน นางเข้าครัวด้วยตนเอง แม้แต่การแล่ปลาก็ยังทำเอง

แม่ครัวยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ รู้สึกว่ามีตัวเองอยู่หรือไม่มีก็ได้ น่าเศร้ายิ่งนัก

เรื่องในห้องครัว ยังมีสิ่งใดที่คุณหนูสี่ทำไม่เป็น

พวกนางยังมีทักษะใดที่สามารถโอ้อวดต่อหน้าคุณหนูสี่ได้

เฮ้อ…

การเป็นแม่ครัวในจวนองค์หญิงช่างกดดันเหลือเกิน!

ผู้ใดให้คุณหนูสี่นั้นมีทักษะการทำอาหารขั้นเทพ ทั้งรู้วิธีกินทั้งรู้วิธีทำ

ทำได้เพียงรู้สึกโชคดีที่องค์หญิงมีเมตตา ไม่รังเกียจอาหารที่พวกนางทำ อีกทั้งไม่ได้ไล่พวกนางออกจากจวน

หากคุณหนูสี่เป็นนายหญิง คนทั้งหมดในห้องครัวเกรงว่าปีหนึ่งต้องเปลี่ยนหนหนึ่ง คุณหนูสี่คงจะตำหนิเปลี่ยนคนช้าไปด้วยซ้ำ

ฤดูหนาวกินหม้อไฟปลา กินจนเหงื่อตก

สะใจ!

เยียนอวิ๋นเกอหลงใหลในรสเผ็ด นางกินอย่างอารมณ์ดี

องค์หญิงจู้หยางผ่านการปรับตัวมาหลายปี เวลานี้ก็พอจะกินเผ็ดได้บ้าง สามารถยอมรับรสชาติของหม้อไฟปลาได้

นางให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพ ดังนั้นจึงกินไม่มาก หากแต่ดื่มน้ำแกงปลาสีขาวนวลไปสองชาม

นางไม่ลืมที่จะเตือนเยียนอวิ๋นเกอ “กินน้อยหน่อย ระวังอาหารไม่ย่อย”

“ท่านแม่วางใจ ข้ากินมากเท่าใดก็ไม่มีทางอาหารไม่ย่อย ผ่านไปอีกไม่นาน อาหารก็ย่อยหมดแล้ว”

ความสามารถของกระเพาะอาหารของนางดี สามารถย่อยอาหารได้มาก ดังนั้นนางจึงกินได้มาก

เวลานี้ยังไม่มีประวัติท้องเสียเนื่องจากกินมากเกินไป อีกทั้งยังไม่เคยมีโรคด้านกระเพาะหรือลำไส้

นางดูเหมือนกินเยอะ แต่นางไม่เคยกินจนแน่นท้อง ส่วนใหญ่แล้วล้วนกินจนเกือบอิ่มจึงหยุดลง

เพียงแต่ตามอายุที่เพิ่มขึ้น ปริมาณการกินของนางมากเกินไปสำหรับคนอื่น

กุลสตรีออกกำลังกายไม่เพียงพอ ย่อมกินอาหารได้ไม่มากนัก

แต่เยียนอวิ๋นเกอออกกำลังกายมาก แต่ละวันมักมีความรู้สึกหิว ย่อมกินมาก

กินจนเกือบอิ่ม นางจึงวางตะเกียบลงแล้วยืดเส้นยืดสาย ความรู้สึกนี้ช่างดีเสียจริง!

นี่แหละชีวิตที่ควรจะเป็น

นางเผยสีหน้าพอใจออกมา หากได้นอนกลางวันอีกสักเล็กน้อยก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!

เซียวฮูหยินกลั้วปาก พลันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากเล็กน้อย จากนั้นพูดกับเยียนอวิ๋นเกอ “วันนี้จวนท่านอ๋องตงผิงให้คนมาส่งเทียบเชิญ”

เอ๊ะ?

“จวนท่านอ๋องตงผิงจะเชิญแขก?”

เยียนอวิ๋นเกอรู้สึกประหลาดใจ

นับแต่ท่านอ๋องตงผิงองค์ก่อนเสียชีวิต หลายปีนี้จวนท่านอ๋องตงผิงก็ราวกับไม่มีอยู่

ไม่คิดว่าเมื่อเข้าใกล้ปีใหม่ พวกเขาจะเชิญแขก

นางถาม “มีบอกว่าเชิญแขกด้วยสาเหตุใดหรือไม่”

เซียวฮูหยินพยักหน้า “น้องชายร่วมมารดาของท่านอ๋องตงผิง นายน้อยอี้กลับสู่จวนอ๋อง ฟื้นคืนสถานะนายน้อยจวนอ๋องอย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลอง ดังนั้นจึงส่งเทียบเชิญมา”

พู่!

เยียนอวิ๋นเกอที่กำลังดื่มชาเกือบสำลักออกมา

นางหยิบผ้าเช็ดมือออกมาซับที่มุมปาก พลันถามอย่างร้อนรน “เซียวอี้จะกลับจวนอ๋อง ฟื้นคืนสถานะนายน้อยจวนอ๋อง? เขาสูญเสียหน้าที่ในกองทัพใต้จนทำให้หาความหมายของชีวิตไม่เจอ ดังนั้นจึงคิดจะเป็นนายน้อยเหลวไหลอีกครั้งหรือ”

เซียวฮูหยินมองเยียนอวิ๋นเกอด้วยสายตาซับซ้อน

เยียนอวิ๋นเกอร้อนตัวขึ้นมาทันที “เหตุใดท่านแม่จึงมองข้าเช่นนี้ น่ากลัวเสียจริง”

เซียวฮูหยินพูดเสียงเบา “เซียวอี้คิดจะเป็นนายน้อยที่เหลวไหลหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่ข้ามีความคิดอีกอย่าง มันอาจเกี่ยวข้องกับเจ้า”

“ไม่อาจเกี่ยวข้องกับข้าได้!”

เยียนอวิ๋นเกอโบกมือปฏิเสธระรัว

“ท่านแม่ บุตรสาวของท่านไม่ได้เป็นที่นิยมเพียงนั้น ท่านเข้าใจผิดแล้ว!”

เซียวฮูหยินจิบชาแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่เจ้าก็ไม่ได้เป็นที่รังเกียจอย่างที่คิด ตระกูลเซิ่นเชื่อคำพูดฝ่ายเดียว ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าเป็นการส่วนตัว ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธเจ้า ทางองค์หญิงเฉิงหยางนั้นมีความขัดแย้งกันมาก่อน ถึงแม้ว่าความรับผิดชอบจะตกอยู่กับเจ้า แต่ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่ดีพอ เจ้าอย่าได้ดูถูกตัวเองเด็ดขาด”

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

Status: Ongoing
ณหนูจวนอื่นชื่นชอบแพรพรรณงดงาม กวี ภาพเขียน บุรุษหล่อเหลา แต่คุณหนูสี่จวนโหวกลับคลั่งไคล้ในเงินทอง! การค้ารูปแบบใดที่แผ่นดินนี้ไม่เคยมีล้วนออกมาจากสมองของนางและทั้งหมดล้วนทำให้เงินทองไหลมาเทมา!นิยายโรแมนติกจีนโบราณ ที่นางเอกมากความสามารถและคลั่งไคล้เงินสุดๆ!คุณหนูสี่แห่งจวนโหว เยียนอวิ๋นเกอ เป็นใบ้เพราะอุบัติเหตุตอนยังเด็กทำให้อุปนิสัยดุร้าย อารมณ์ร้อน มุทะลุยิ่งนักใครๆ ล้วนมองว่านางเป็นหญิงเอาแต่ใจไม่เคยคำนึงถึงสิ่งใดแต่จิตวิญญาณด้านในของนางนั้นคือหญิงสาวผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในวันสิ้นโลกอาจเพราะความยากลำบากในชาติก่อนสิ่งเดียวที่นางกลัวที่สุดก็คือกลัวอดตาย!ดังนั้นหากไม่อยากอดตายต้องทำอย่างไรก็ต้องมีเสบียง! และการจะมีเสบียงได้นั้นก็ต้องมีเงิน!เพื่อการนั้นนางจะทุ่มเทสมองในการบุกเบิกการค้า ปูรากฐานทุกอย่างเพื่อพี่น้องและมารดาด้วยมันสมองของคนยุคใหม่นางไม่เชื่อว่าจะทำไม่ได้ทหารต่อให้เก่งกาจเพียงใดหากไม่มีเสบียงแล้วไซร้ก็ยากจะรบต่อไปได้ถึงตอนนั้นในแผ่นดินที่ฮ่องเต้จ้องจะกวาดล้างอำนาจขุนนาง ครอบครัวนางย่อมหยัดยืนได้อย่างมั่นคง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท