ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 226 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 226 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-1

งานเลี้ยงนานเพียงใดก็ต้องมียามเลิกรา

ในที่สุด

ในบ้านของเซียวจิ่นข่านเหลือหลิวรุ่ยอิ่งเพียงคนเดียว

แม้แต่จิ่วซานปั้นก็ทนความง่วงจู่โจมไม่ไหว กลับไปนอนในบ้านของเขาเอง

ดูท่าคืนนี้เขาคงได้หลับสบาย

เพราะนอกจากดื่มสุราเยอะมากแล้ว เขายังได้กระบี่ชิงเอ๋อ

เรื่องที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกก็เป็นแค่การกอดของรัก ดื่มจนเมาแล้วหลับไป

เกรงว่าคนที่นั่งอยู่คืนนี้คงมีเพียงจิ่วซานปั้นที่ได้สัมผัสความยอดเยี่ยมนั้น

เหลือหลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราอยู่คนเดียวย่อมไม่มีอะไรสนุก

แม้ตอนสี่คนดื่มสุราด้วยกันก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คุยกันมากนัก

แต่อย่างไรก็สนุกกว่าดื่มสุราคนเดียวมาก

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฟ้านอกบ้านยังมืดอยู่

ในใจนับนิ้วคร่าวๆ

คิดว่าอย่างมากก็ห่างจากฟ้าสางอีกหนึ่งถึงสองชั่วยาม

หากกลับไปนอนตอนนี้พอตื่นมาต้องทรมานเป็นแน่

ความทรมานจากการนอนไม่พอรู้สึกแย่กว่าดื่มสุราไม่พอเสียอีก

และวิธีที่หลิวรุ่ยอิ่งรับมือกับการนอนไม่พอก็แปลกใหม่ทีเดียว

เขาเลือกไม่นอนเสียเลย

อีกเดี๋ยวได้เห็นอาทิตย์ยามเช้าพอดี

อาทิตย์ยามเช้าในวันนี้ต้องงดงามกว่าปกติแน่นอน

หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงยามตนเดินหันหลังให้แสงโพล้เพล้มายังอาณาจักรติ้งซีอ๋องและเมืองจี๋อิง

หากได้เดินทางออกจากหอทรงปัญญาและแดนสุขสัญจรโดยรับแสงอาทิตย์ยามเช้าก็ถือเป็นความสมบูรณ์แบบอย่างหนึ่ง

แต่สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจผิด

คิดว่าพบเจอเรื่องต่างๆ มากมายเช่นนี้ วันเวลากลับผ่านไปแค่หนึ่งวัน

หนึ่งวันมีเพียงสิบสองชั่วยาม

หากสามารถย่นเวลาชั่วชีวิตเป็นหนึ่งวัน

คิดว่าต้องเต็มอิ่มมากเป็นแน่

ถึงขั้นยอดเยี่ยมจนพูดไม่ออก

เพราะหลิวรุ่ยอิ่งในตอนนี้คิดว่าคนใช้ชีวิตทั้งชาติ ความเสียใจยังกินเวลาเกือบทั้งชีวิต

เขายกจอกสุราแล้วแหงนหน้าดื่มอีกอึกหนึ่ง

แม้จอกสุราว่างเปล่า

แต่เขาอยากกลืนน้ำสุราน้อยนิดที่รวมอยู่ตรงก้นลงท้องให้หมด

เขาดื่มหมดแล้วถือจอกสุราในมือเล่นอีกครู่หนึ่ง

แม้เซียวจิ่นข่านไม่อยู่

แต่อย่างน้อยตนก็มาหาเขาเพื่อดื่มสุราแล้ว

เหมือนกับที่ตนพูดไว้ก่อนหน้านี้

ทำให้ในใจของหลิวรุ่ยอิ่งไม่มีแรงกดดันใด

เขาไม่ได้เก็บโต๊ะ

วางไหสุรากับจอกสุราทั้งหมดไว้ตรงนั้น

เขาอยากให้เซียวจิ่นข่านกลับมาเก็บเอง

ใครใช้ให้เขาไม่อยู่ดื่มสุราเป็นเพื่อนตนล่ะ

แม้ทำเช่นนี้อาจรบกวนสหาย

แต่ส่วนใหญ่สหายก็มีไว้ให้รบกวน

ยิ่งรบกวน มิตรภาพยิ่งลึกซึ้ง

เพราะสหายของทุกคนหรือยามทุกคนอยู่ต่อหน้าสหายล้วนอยากแสดงคุณค่าของตัวเอง

มีเพียงการแสดงคุณค่าของตนถึงจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าต่อสหายคนนี้ หรือมีค่าพอเป็นสหายของคนอื่น

ทว่าการแสดงคุณค่าเหล่านี้กลับแฝงอยู่ในการรบกวนกันครั้งแล้วครั้งเล่า

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มมองโต๊ะที่จอกและจานชามวางระเกะระกะ

เขาเก็บกระบอกยาสูบอันนั้นใส่เอวอีกครั้ง

ลุกเดินไปนอกประตูบ้าน

ในลานบ้านปลูกดอกไม้ที่ไม่รู้ชื่อไว้เป็นหย่อมๆ

กลีบดอกไม้บางดอกเริ่มผลิบาน

คิดว่าต้องเป็นชนิดหุบลงเวลาไม่มีแสงแดดยามกลางคืน

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นดอกไม้เริ่มผลิบานเหล่านี้ก็รู้ว่าฟ้าใกล้สว่างแล้วจริงๆ

เขาคิดในใจว่ากลับถึงบ้านแล้วต้องอาบน้ำให้สะอาด

จากนั้นแช่น้ำร้อนอีกสักหน่อย

ทำเช่นนี้นอกจากชะล้างกลิ่นสุราบนกายได้แล้ว

ยังทำให้เขาที่ไม่ได้หลับมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มได้มีเวลาผ่อนคลายเต็มที่สักครู่

ตอนที่เขาออกจากลานบ้านเซียวจิ่นข่านและเดินมุ่งไปบ้านของตนนี้เอง

เขาเห็นเงาคนอีกคนหนึ่ง

กำลังลากฝีเท้า

เดินมาทางนี้อย่างยากลำบาก

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้แล้วว่าควรใช้สีหน้าอย่างไรตอบรับเงาคนสายนี้

อาจเพราะเกิดเหตุการณ์เยอะเกิน เขาจึงเฉยชาไปนานแล้ว

“ขอถามที่นี่ใช่ที่พักของเซียวไต้ซือหรือไม่”

เงาคนผู้นี้เอ่ยปากถาม

เสียงอ่อนเยาว์

หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้เห็นชัดว่าผู้มาเยือนเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

อายุแค่สิบกว่าขวบ

เท้าสวมรองเท้าฟางคู่หนึ่ง

บนหน้าเปื้อนไปด้วยเหงื่อและน้ำโคลน

ด้านหลังแบกตาข่ายไว้อันหนึ่ง

ตรงเอวเสียบ…กระบี่เล่มหนึ่งไว้เอียงๆ

เพียงแต่กระบี่เล่มนี้หยาบเกินไป

นอกจากเชือกพันตรงด้ามเน่าเปื่อย ฝักกระบี่ด้านนอกยังสั้นกว่าตัวกระบี่ท่อนหนึ่ง

ปลายกระบี่หนึ่งในสามส่วนเต็มๆ ทะลุออกมาจากอีกด้านหนึ่งของฝักกระบี่

“ใช่ เจ้ามาหาเขาเรื่องอะไร”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

แม้ตอนนี้เซียวจิ่นข่านไม่อยู่ในบ้าน

แต่เด็กหนุ่มผู้นี้แค่ถามว่าที่นี่ใช่ที่พักของเซียวไต้ซือหรือไม่

หลิวรุ่ยอิ่งตอบเช่นนี้ก็ไม่ผิด

กลับนึกไม่ถึงเด็กหนุ่มฟังประโยคครึ่งหลังของเขาแล้วพลันถอยหลังสองสามก้าว เลิกคิ้วขึ้นเบิกตากลมโต

“ข้าถามว่าท่านเป็นใครด้วยรึ แล้วได้ถามว่าท่านทำอะไรอยู่หน้าบ้านเซียวไต้ซือหรือไม่”

เด็กหนุ่มเอ่ยถามเสียงเฉียบขาด

แม้น้ำเสียงยังคงอ่อนวัยยิ่ง

แต่พลังที่แฝงในนั้นกลับทำให้คนตระหนกตกใจจริงๆ

“…ไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งถูกเด็กหนุ่มย้อนถามจนพูดไม่ออก

ได้แต่พูดคำว่าไม่เบาๆ

เขาลูบปลายจมูกตัวเอง

คิดว่าวันนี้ตนเจอแต่เรื่องแปลกคนแปลกทั้งนั้น

ตนยังไม่เข้าใจเรื่องบุญคุณความแค้นของจินเฉาโหย่วเยวี่ยกับอดีตสหายทั้งสองของเขาด้วยซ้ำ แต่เขากลับมอบตั๋วทองที่ซื้อเมืองอ๋องได้ทั้งเมืองก้อนหนึ่งให้ตน

กว่าจะปฏิเสธตั๋วทองและเตรียมกลับบ้านไปอาบน้ำผ่อนคลายสักพัก เขากลับถูกเด็กหนุ่มชนบทที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ซักถามจนพูดไม่ออก

“ในเมื่อข้าไม่ได้ถามท่าน แล้วเหตุใดท่านต้องถามข้า”

เด็กหนุ่มกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะตระหนักถึงการป้องกันตัวได้ดีเพียงนี้

ไม่ยอมหลุดสักประโยคเดียว

ในใจพลันเห็นใจเขาเล็กน้อย

เพราะคนที่รู้จักปกป้องตัวเองได้ดียิ่งมักมีชีวิตลำบากมากเสมอ

ไม่ว่ากินข้าวไม่อิ่ม นอนไม่หลับหรือถูกคนรังแก

ล้วนเป็นชีวิตที่ลำบาก

เพราะผู้คนล้วนยินดีมอบรอยยิ้มและความใจดีให้คนที่อยู่สูงจนไม่อาจเอื้อมเหล่านั้นเสมอ

สำหรับคนที่เหมือนตัวเอง เกรงว่ามีแต่ความคิดร้าย

แต่สำหรับคนที่ด้อยกว่ากลับโดนดูถูกเหยียดหยามทั้งหมด

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มาจากไหนกันแน่

แต่ดูจากการแต่งตัวของเขาคงเป็นพวกที่โดนดูถูก

พอคิดอีกที หลิวรุ่ยอิ่งกลับรู้สึกไม่ใช่

เด็กหนุ่มคนนี้เข้ามาหอทรงปัญญาได้อย่างไร

แล้วหาที่นี่พบได้อย่างไร

หากมองแค่การแต่งกายคงถูกองครักษ์หอทรงปัญญาจับเพราะคิดว่าเป็นขโมยไปนานแล้ว

หนึ่งเพื่อลองเชิงดูตื้นลึกหนาบาง สองเพื่อไขความแหนงหน่ายให้ตัวเอง

หลิวรุ่ยอิ่งเกิดความคิดหนึ่ง

“ข้าถามเจ้าเพราะเจ้าอยากพบข้า ในเมื่อเจ้าอยากพบข้า ทำไมข้าจะถามไม่ได้ว่าเจ้ามีธุระอะไร”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาแสร้งว่าตัวเองเป็นเซียวจิ่นข่าน

เด็กหนุ่มถูกคำพูดนี้ทำเอาสับสนเล็กน้อย

แต่ไม่นานก็ตอบสนองกลับมา

“ท่านคือเซียวไต้ซือหรือ”

เด็กหนุ่มวางตาข่ายที่แบกไว้ข้างหลังลงและเอ่ยถามด้วยความฉงน

หลิวรุ่ยอิ่งไม่เอ่ยคำใด

แสร้งทำสุขุม สายตามองไกล

“ท่านอาจารย์ผู้ทรงเกียรติ โปรดรับการคำนับจากศิษย์ด้วย!”

เด็กหนุ่มเห็นเช่นนี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

คุกเข่าลงพื้นก้มหัวคำนับทันที!

การกระทำนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รับการคำนับของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้

เพราะเขาไม่ใช่เซียวจิ่นข่าน ยิ่งไม่ใช่อาจารย์ของเด็กหนุ่มผู้นี้

หลิวรุ่ยอิ่งเบี่ยงกายหลบการคุกเข่าคำนับของเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มเหมือนไม่เห็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของหลิวรุ่ยอิ่ง เขาโขกศีรษะสิบเจ็ดสิบแปดครั้งในหนึ่งลมปราณ

“พอแล้วๆ…ข้าไม่ใช่เซียวจิ่นข่าน และก็ไม่ใช่อาจารย์เจ้า!”

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแย่ไม่น้อย รีบเดินเข้าไปพยุงเด็กหนุ่มขึ้นมา

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองหลิวรุ่ยอิ่งด้วยความโกรธจัด

สายตานี้จ้องจนหลิวรุ่ยอิ่งเสียวสันหลัง…

เพราะหลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้เพียงความกระหายเลือดของสัตว์ร้ายจากสายตานี้

ไม่มีกระทั่งเศษเสี้ยวของรากฐานความเป็นมนุษย์

เด็กหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

เอียงกาย

ยกมือ

ดึงกระบี่ตรงเอวออกมา

พุ่งแทงตรงลำคอของหลิวรุ่ยอิ่งด้วยท่วงท่าอันรวดเร็วดุจฟ้าผ่า

กระบี่นี้เร็วจนหลิวรุ่ยอิ่งเห็นแสงเย็นปลายกระบี่ไม่ชัด

เขาจึงใช้กระบี่พร้อมฝักในมือกันไว้ตรงลำคอของตนตามสัญชาตญาณ

‘ชิ้ง!’

เสียงใสดังขึ้นข้างหูหลิวรุ่ยอิ่ง

ปลายกระบี่ของเด็กหนุ่มต้านรับบนฝักกระบี่ของตนพอดี

หลิวรุ่ยอิ่งถอยหลังก้าวหนึ่ง

เขาสัมผัสได้ว่าบนกระบี่ของเด็กหนุ่มไม่มีจิตสังหาร

มีเพียงโทสะ

แต่การออกมือตอนโมโหย่อมมีตัวเลือกหลากหลาย

เด็กหนุ่มกลับพุ่งจู่โจมมาที่จุดสำคัญ

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าก่อนหน้านี้วิเคราะห์ถูกต้องแล้ว

เขาต้องเจอการดูถูกเหยียดหยามมาไม่น้อยแน่นอน

ตอนนี้มีความสามารถแล้วจึงฮึดต่อต้านได้

ถึงขั้นไม่เหลือโอกาสให้คู่ต่อสู้หายใจ

…………………………………….

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท