ตอนที่ 370 อาละวาด
เฉินฮูหยินถูกคำพูดของบุตรสาวทำร้าย!
ในใจอึดอัดจนแม้แต่การหายใจก็ไม่ราบรื่น
อึดอัด!
โกรธจัด!
เจ็บหน้าอก!
สีหน้าของนางไม่ดีนัก ในดวงตาระยิบระยับด้วยไฟโกรธ “พูดไปพูดมา เจ้าก็กำลังโทษที่ข้าไม่ให้เจ้าแต่งงานกับตระกูลขุนนาง ดูเจ้ากับบุตรเขยรักใคร่กลมเกลียว เดิมทีคิดว่าเจ้าพึงพอใจกับการแต่งงานนี้มาก แต่ไม่คิดว่าในใจของเจ้าจะมีหนามอยู่เสมอ เจ้าไม่พอใจตลอดมา”
เยียนอวิ๋นจือพูดไปร้องไห้ไป “ชีหลางดีมาก เอาใจใส่ข้าอย่างมาก ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามใจข้า แต่ว่าตระกูลหลี่นั้นเป็นตระกูลแม่ทัพทั่วไปในพื้นที่โยวโจว เติบโตขึ้นมาก็แค่สิบกว่าปี ไร้ซึ่งมรดกแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่นอกโยวโจว แม้แต่ถือรองเท้าให้พวกเขาก็ยังไม่คู่ควร
ตอนนั้นข้าไปถึงเมืองหลวงถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเคยพบเห็นมานั้นน้อยนิดเพียงใด แผ่นดินกว้างใหญ่ โยวโจวกินพื้นที่เพียงแค่เล็กน้อย ยังไม่เพียงพอที่จะทให้ผู้คนในแผ่นดินเห็นความสำคัญ หากข้ากำเนิดจากองค์หญิง ข้าก็สามารถแต่งงานกับนายน้อยตระกูลใหญ่ได้เหมือนกับพี่อวิ๋นเฟย หรือแต่งเข้าราชวงศ์เหมือนพี่อวิ๋นฉี
ข้าก็ไม่จำเป็นต้องรับความลำบากในวันนี้ เพื่อให้ชีหลางได้รับการผลักดันยังต้องมาขอร้องอ้อนวอนท่านแม่ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับการตอบรับ ชีวิตข้าช่างขมขื่นยิ่งนัก!”
นางซาบซึ้งในตัวเอง หมอบตัวร้องไห้อยู่บนโต๊ะ
เฉินฮูหยินไม่ได้รู้สึกซาบซึ้ง รู้สึกแต่หนาวใจ เหนื่อยใจ อีกทั้งยังมีความละอายใจเล็กน้อย
นางยิ้มขมขื่น “เป็นความผิดของข้า ผู้ใดให้ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย ไม่คู่ควรเป็นภรรยาเอกของท่านพ่อเจ้า ให้ฐานะบุตรจากภรรยาเอกให้พวกเจ้าพี่น้องไม่ได้ ไม่อาจทำให้เจ้าแต่งงานกับตระกูลใหญ่ได้ เรื่องของชีหลาง ไม่ใช่ข้าไม่ยอมช่วยเจ้า แต่ข้าช่วยไม่ได้
ข้าแต่งงานกับบิดาเจ้ามานานหลายปี ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องของกองทัพ แม้แต่ท่านลุงเจ้าได้เลื่อนขั้นนับครั้ง ข้าก็ไม่เคยพูด เรื่องอื่นไม่ว่าจะเอาเงินเอานาเอาที่ดิน หรือเอาคน เจ้าบอกมา ข้าล้วนหาให้เจ้าได้
มีแต่เรื่องภายในกองทัพเท่านั้น ท่านพ่อเจ้าเคยออกคำสั่งให้ปิดปาก คนที่ไม่มีหน้าที่ในกองทัพไม่อาจพูดคุยเรื่องของกองทัพได้ หากข้าช่วยเจ้าก็ถือว่าเป็นการทำผิด เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงชีหลางจะไม่ได้รับการผลักดัน ข้าก็ต้องลำบากไปด้วย ไม่แน่ว่าอาจเดือดร้อนไปถึงพี่ใหญ่และท่านลุงของเจ้า เจ้าทนเห็นได้หรือ”
เยียนอวิ๋นจือพูดไปร้องไห้ไป “ข้าไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะใจร้ายเพียงนั้น! ท่านแม่กำลังหลอกข้าใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อเจ้าก็ใจร้ายเช่นนี้ เจ้าเพิ่งรู้วันนี้หรือ”
เฉินฮูหยินโกรธจริง เสียงของนางก็เพิ่มระดับขึ้น
เยียนอวิ๋นจือผงะ “แต่เยียนอวิ๋นเกอ นางกล้าลงมือกับทานพ่อ ข้ามักคิดอยู่เมอ ท่านพ่อแค่แสดงท่าทีเข้มงวดต่อหน้าพวกเรา เวลาอื่นอาจคุยง่ายมาก”
เฉินฮูหยินพูดเสียงดุ “เยียนอวิ๋นเกอมีมารดาเป็นองค์หญิง เจ้ามีสิ่งใด เจ้าใช้สิ่งใดเทียบกับนาง เยียนอวิ๋นเกอไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน เจ้าไม่กลัวสิ่งใดเหมือนนาง วิ่งไปขอให้ท่านพ่อของเจ้าผลักดันชีหลางด้วยตนเองหรือไม่”
เยียนอวิ๋นจือปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
ร้องไห้ให้กับความขี้ขลาดของตนเอง ร้องไห้ให้กับความไร้ความสามารถของตนเอง ร้องไห้ให้กับคำพูดที่ทำร้ายจิตใจของท่านแม่ ร้องไห้ให้กับชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย…
นางถามในใจนับครั้งไม่ถ้วน “เหตุใดข้าจึงไม่ใช่บุตรจากภรรยาเอก เพราะเหตุใด”
เมื่อเห็นนางร้องไห้ด้วยความเสียใจ เฉินฮูหยินก็เสียใจเช่นเดียวกัน นางยื่นมือออกไปลูบหัวของนางอย่างแผ่วเบา “เจ้าอย่าร้องไห้เลย! ระวังร้องไห้จนเจ็บตา”
เยียนอวิ๋นจือพูดด้วยความน้อยใจ “อย่างไรข้าก็ทำเรื่องที่ชีหลางมอบหมายให้ไม่สำเร็จ ชีหลางย่อมผิดหวังในตัวข้าอย่างมาก ชีวิตก็หมดสิ้นความหวัง ร้องไห้จนเจ็บตาจะเป็นอันใดไป”
“เด็กคนนี้ เหตุใดจึงไม่รู้ดีชั่ว! เจ้าจะเป็นจะตายเพื่อชีหลาง คุ้มค่าหรือ หากเขาตายไปจริง ข้าให้ท่านพ่อเจ้าหาคนใหม่ให้”
“ท่านแม่ช่างใจร้าย ท่านสาปแช่งให้ข้าเป็นแม่หม้าย”
เฉินฮูหยินเดือดดาล นางจิ้มหน้าผากของเยียนอวิ๋นจือพลันตำหนิ “เจ้าเหลวไหล! เจ้าต่างหากที่ถูกวาจาอ่อนหวานของชีหลางหลอกลวง ชีหลางผู้นั้น เดิมทีคิดว่าเขาเป็นคนดี มีความทะเยอทะยาน ไม่คิดว่าจะมีดีแค่ใบหน้า
เจ้าก็ด้วย ชีหลางไม่ใช้ความสามารถของตนเองเพื่อแลกกับการผลักดัน หากแต่หวังพึ่งสตรีช่วยให้เข้าเลื่อนขั้น เขาไม่เอาแม้แต่ศักดิ์ศรี เจ้ายังคิดว่าเขาดีอีกหรือ เจ้าควรจะตบหน้าเขา ให้เขารู้จักแยกแยะดีชั่ว!”
เยียนอวิ๋นจือพูด “เขาไม่คาดหวังให้สตรีช่วยเขาเลื่อนขั้น เหตุใดจึงยอมลดตัวมาแต่งงานกับบุตรสาวจากภรรยารองอย่างข้า”
ช่างน่าโมโหยิ่งนัก
เฉินฮูหยินแทบกระอักเลือดออกมา “เจ้าช่างไม่รู้ดีรู้ชั่ว ถึงแม้เจ้าจะเป็นบุตรสาวจากอนุภรรยา แต่เจ้าก็เป็นบุตรสาวของบ้านใหญ่ตระกูลเยียน เป็นบุตรสาวของท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้าน ในพื้นที่โยวโจว ผู้ใดกล้าดูถูกเจ้า แต่เจ้ากลับคิดว่าการที่ชีหลางอาศัยสตรีในการเลื่อนขั้นนั้นสมเหตุสมผล สมองของเจ้ามีน้ำเข้าหรือ
มันไม่ใช่สนามขุนนาง แต่เป็นค่ายทหาร ท่านพ่อของเจ้าปกครองกองทัพ ยึดมั่นในความดีความชอบ ไม่สนใจความสัมพันธ์ หากเวลาปกติบางทีอาจพอเป็นไปได้ แต่เวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการทำสงคราม ท่านพ่อเจ้าย่อมไม่มีทางเข้าข้าง หากหลี่ชีหลางไม่พอใจเจ้า เรียกเขากลับมา ข้าจะสั่งสอนคนต่ำช้าอย่างเขาเอง!”
เฉินฮูหยินโกรธจนก่นด่าออกมา รู้สึกไม่พอใจต่อบุตรเขยหลี่ชีหลางอย่างมาก
คนแบบนี้ยังกล้ารังเกียจที่บุตรสาวมีชาติกำเนิดจากภรรยารอง
เขาไม่ลองส่องกระจกดูเสียบ้างว่าตนเองเป็นอย่างไร
สามารถแต่งงานกับบุตรสาวของเยียนโส่วจ้านได้นั้นถือว่าควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ เป็นบุญบารมีที่สั่งสมมาหลายชั่วชีวิต แต่เขายังไม่รู้จักรักษา
น่าโมโหยิ่งนัก!
เรื่องที่ทำให้นางโมโหยิ่งกว่าคือ บุตรสาวเหมือนต้องมนตร์ หลี่ชีหลางพูดอย่างไร นางก็เชื่ออย่างนั้น
อีกทั้งยังโทษมารดาผู้ให้กำเนิดเพียงเพราะไม่อาจช่วยหลี่ชีหลางให้เลื่อนขั้นได้
ช่างไม่รู้ประสีประสา ไร้ความกตัญญู
มิน่าคำโบราณถึงได้บอกว่าบุตรสาวที่ออกเรือนไปเหมือนน้ำที่สาดออกไป ไม่เข้าใจความยากลำบากของนางแม้แต่น้อย
นางไม่ใช่องค์หญิงจู้หยางเซียวฮูหยิน ต้องการสิ่งใดเพียงแค่เอ่ยปากก็มีคนทำให้เรียบร้อย
แม้ในนามนางจะเป็นฮูหยินรอง แต่ความจริงแล้วก็เป็นแค่อนุภรรยา
หลายปีนี้ อาศัยความรักของเยียนโส่วจ้าน อีกทั้งบุตรชายคนโตมีความสามารถ นางจึงมีตำแหน่งและศักดิ์ศรีในวันนี้
ถึงแม้นางจะไม่มีสติปัญญามาก แต่นางก็ไม่ไร้ความเฉลียว
นางรู้จักหนักเบา รู้น้ำหนักของตนเอง
เรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควรพูด นางก็หยิบจับได้อย่างแม่นยำ
เรื่องอย่างการเลื่อนขั้นนั้น ไม่อาจเอ่ยปากได้อย่างเด็ดขาด
เพราะนางเคยเสียเปรียบ เคยได้รับบทเรียน
หลายปีก่อน เพื่อให้พี่ใหญ่เฉินมั่วหยานได้เลื่อนขั้นในกองทัพอย่างรวดเร็ว นางเคยเป่าลมข้างหมอไม่น้อย
สุดท้าย พี่ใหญ่เฉินมั่วหยานถูกกดอยู่สองปีเต็ม จากนั้นจึงได้รับการผลักดัน
จากนั้นมา นางก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องการเลื่อนขั้นอีกเลย
บทเรียนแสนสาหัส จะเดินซ้ำรอยเดิมได้อย่างไร
แต่บุตรสาวไม่เข้าใจความเป็นห่วงของนาง อีกทั้งยังโต้เถียงกับนางไม่หยุด
อยากจะตบเจ้าเด็กคนนี้ให้ตื่นขึ้นมาเสียจริง
หลายครั้งที่นางยกมือขึ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่อาจลงมือได้
ภายในใจส่วนลึก นางยังคงรู้สึกว่าตนเองติดค้างบุตรสาว ไม่อาจหาคู่ครองที่ดีให้แก่นางได้ ถูกเยียนอวิ๋นเฟยและเยียนอวิ๋นฉีสองพี่น้องเปรียบบเทียบลงไป
มีความเป็นไปได้อย่างมากที่บุตรสาวกำลังจะถูกเยียนอวิ๋นเกอเปรียบเทียบลงไป
เยียนอวิ๋นเกอก็ถึงเวลาต้องหาคู่ครองแล้ว หากไม่ผิดพลาด นางย่องต้องแต่งกับตระกูลขุนนางหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์
อย่างไรก็ดีกว่าบุตรสาวของตัวเอง!
ไม่อยากยอม!
แต่ก็หมดหนทาง!
ความแตกต่างทางฐานะ ไม่ใช่เพียงแค่ฝใช้กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงได้
เซียวฮูหยินไม่ใช่คนโง่ กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีผลต่อนาง
อีกทั้งนางยังอยู่ในเมืองหลวง ไม่กลับมาแล้ว
ถึงแม้เซียวฮูหยินจะเป็นคนโง่ แต่คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายนางไม่โง่
บ่าวรับใช้ที่ถูกการอบรมสั่งสอนจากคนเก่าแก่ในตำหนักวังบูรพา แต่ละคนฉลาดว่องไวยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่มีโอกาสแม้แต่จะลงมือ
ความแตกต่างทางฐานะก็เปรียบเหมือนคูคลอง พยายามทั้งชีวิตก็ถมไม่เต็ม
ความแตกต่างยังคงมีอยู่เสมอ
“ท่านแม่จะสั่งสอนชีหลาง สู้สั่งสอนข้าก่อนเสียดีกว่า ข้าประเมินความสามารถของตนเองสูงไป รับปากจะช่วยเขาแต่ก็ทำไม่ได้ ข้าเป็นคนที่ไร้สัจจะและอวดดี”
เยียนอวิ๋นจือดูถูกตัวเอง นางร้องไห้จนใบหน้าเปรอะเปื้อน
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เฉินฮูหยินก็เสียใจอย่างบอกไม่ถูก
นางถอนหายใจ “อย่ามัวแต่พูดด้วยอารมณ์โกรธ เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรเจ้าจึงจะพอใจ นอกจากเขียนจดหมายไปให้ท่านพ่อเจ้าผลักดันหลี่ชีหลาง”
เยียนอวิ๋นจือส่งเสียงไม่พอ “ท่านแม่รอดูข้าใช้ชีวิตอย่างลพบากในตระกูลหลี่เถิด!”
“ตระกูลหลี่ไม่กล้าให้เจ้าลำบาก ถึงแม้หลี่ชีหลางจะไม่ได้รับการผลักดัน แต่ตระกูลหลี่ยังต้องหวังพึ่งตระกูลเยียน หากคนตระกูลหลี่กล้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี ข้าย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไว้ ย่อมจะทำให้พวกเขาทั้งตระกูลใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในโยวโจว!”
ผลักดันหลี่ชีหลาง เฉินฮูหยินทำไม่ได้
แต่กลั่นแกล้งคนตระกูลหลี่ เฉินฮูหยินเพียงแค่ออกคำสั่ง คนด้านล่างย่อมจะจัดการให้นาง
ตระกูลเยียนมีอำนาจใหญ่สุดในพื้นที่โยวโจว
เฉินฮูหยินในฐานะฮูหยินรอง แม้จะเป็นแค่อนุภรรยา แต่ก็เป็นคนที่ผู้อื่นไม่กล้ายุ่งด้วย
เยียนอวิ๋นจือค่อยๆ หยุดร้องไห้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา
หลังจากร้องไห้ระบายอารมณ์ภายในใจแล้ว เวลานี้นางก็สงบลงมาก
พลันเช็ดน้ำตาพลันรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ไม่อยากเอ่ยปากขอโทษ
นางส่งเสียงไม่พอใจ “ท่านแม่อย่ามัวแต่คิดจะใช้อำนาจรังแกคน ท่านช่วยข้าว่าจะอธิบายกับชีหลางอย่างไรจะดีกว่า”
“อธิบายเรื่องใด! เจ้าให้เขาทำงานให้ดี ทำงานให้มั่นคง รีบสร้างความดีความชอบในเร็ววัน เพียงแค่มีความดีความชอบ ย่อมจะได้รับการผลักดัน ไม่มีความดีความชอบ หวังจะพึ่งการแต่งวงานได้รับการผลักดัน เจ้าให้เขารีบตายใจเสียเถิด”
เฉินฮูหยินยังไม่หายโกรธ น้ำเสียงที่พูดออกมาหนักมาห
เยียนอวิ๋นจือน้อยใจอีกครั้ง “ข้าไม่มีความกล้าเหมือนเยียนอวิ๋นเกอ เรื่องนี้ลำบากข้าเกินไป”
“เจ้ากับชีหลางเป็นสามีภรรยากัน เจ้าไม่มีความกล้าแม้แต่จะพูดความจริง ปกติเจ้าทำสิ่งใดอยู่กันแน่ ในฐานะคนตระกูลเยียน นิสัยของเจ้าล่ะ”
“ท่านแม่อย่ามัวแต่ดุข้า”
เฉินฮูหยินสูดลมหายใจเข้า “เจ้าคิดต้องทำอย่างไร!”
เยียนอวิ๋นจือพูด “ข้าอยากพักอยู่ในจวนสักระยะ ไม่กลับจวนตระกูลหลี่ ชีหลางไม่อยู่ น่าเบื่อยิ่งนัก”
เดิมทีเฉินฮูหยินอยากปฏิเสธ แต่เห็นท่าทางน้อยใจของบุตรสาว นาวก็ใจอ่อน
“เจ้าก็พักอยู่ที่นี่เถิด!”
“ข้าจะพักเรือนของเยียนอวิ๋นเกอแต่ก่อน”
“อย่าเอาแต่ใจ! ระวังพี่สะใภ้สองเจ้าสั่งสอนเจ้า”
ประโยคนี้ตักเตือนเยียนอวิ๋นจือ เวลานี้จวนโหวไม่ได้อยู่ในการดูแลของเฉินฮูหยินผู้เป็นมารดา หากแต่อยู่ในการดูแลของพี่สะใภ้รอง หลิวเป่าจู
ฮือๆ…
เยียนอวิ๋นจืออยากร้องไห้!
เหตุใดนางจึงยากลำบากเพียงนี้!
หลิวเป่าจูไม่ใช่คนที่ยอมผู้อื่น นางเป็นคนที่โหดยิ่งกว่าเยียนอวิ๋นเกอเสียอีก