ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 277 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด 4

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 277 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด 4

จิ้งเหยาหรี่ตาลง

ในเวลานั้นเอง เขาเกิดความคิดจะสังหารขึ้นมา

ฐานะของตนห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด

ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแผนการที่วางมานานต้องคว้าน้ำเหลว ตนก็ยังจะต้องถูกฝังอยู่ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องที่แสนห่างไกลจากบ้านเกิดอีกด้วย

หลังมารดาสิ้นแล้ว ตอนที่เขาฝังร่างมารดาเสร็จก็ขุดหลุมฝังศพไว้ข้างๆ หลุมศพของมารดาอีกหลุมหนึ่ง

เตรียมไว้เป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของตน

ฉะนั้นเขาห้ามตายอยู่ข้างนอกเด็ดขาด

ต่อให้โลหิตไหลจนหมดตัวก็ต้องพาร่างที่แหลกลาญคลานกลับมายังหน่วยประจันเพลิงให้จงได้

จากนั้นก็จะต้องเข้าไปนอนในหลุมฝังศพที่ตนขุดเองกับมือ รอให้พายุทรายและน้ำฝนกลบร่างของเขาไปเอง

ผลลัพธ์เช่นนี้

เขาทบทวนอยู่ในหัวสมองมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ทั้งยังเตรียมการเอาไว้พร้อมสรรพเนิ่นนานแล้ว

ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวลหรือหวาดกลัว

สิ่งเดียวที่เขาหวาดกลัวก็คือเขาจะกลับไปไม่ได้

“เพราะพายุทรายในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องก็มีไม่น้อย ท่านบอกว่าที่ที่ท่านมามีพายุทรายรุนแรงกว่านี้ เช่นนั้นก็มีเพียงที่ราบทุ่งหญ้าแล้ว”

สตรีกล่าวไม่ช้าไม่เร็ว

จิ้งเหยายังคงไม่ตอบ

เพียงดื่มสุราของตน

แต่ความคิดจะสังหารก่อนหน้านี้กลับบางเบาลงไป

ผู้คนในอาณาจักรห้าอ๋องล้วนเห็นว่าความเจริญรุ่งเรืองสุขสงบคือสิ่งที่พวกเขาปรารถนาชั่วชีวิต

แต่ความเจริญรุ่งเรืองในทุ่งหญ้ากลับต้องอาศัยการรบราฆ่าฟันไม่หยุดหย่อนจึงแลกมาได้

ที่แท้แล้วสิ่งใดจึงนับว่าเป็นทุกข์และสิ่งใดนับว่าเป็นสุข?

ตัวจิ้งเหยาเองก็แยกแยะไม่ได้ชัดเจน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเดินออกไป

เพื่อเอาชนะและสังหารผู้คนที่สามารถทำลายความสุขสงบและรุ่งเรืองของทุ่งหญ้าไปล่วงหน้าเสียก่อน

ทำเช่นนี้แล้วจึงจะสามารถช่วงชิงความสงบสุขที่ทัดเทียมกันมาได้

“เจ้าควรไปได้แล้ว”

เมื่อดื่มสุราสองกานี้จนหมดอีกครั้ง จิ้งเหยาก็กล่าวกับสตรีเช่นนี้

“ข้ารินสุราให้ท่านสามกา ท่านก็ต้องรินสุราให้ข้าสามกาเช่นกัน”

สตรีกล่าว

จากนั้นก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์และสั่งสุราอีกสามกา

เมื่อสุราวางลงบนโต๊ะ สตรีก็ยิ้มน้อยๆ หนหนึ่ง

หัวใจของจิ้งเหยาพลันหวั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย

แต่จากนั้นก็ถูกเขาสะกดเอาไว้อย่างรวดเร็ว

ดาบของบุรุษผู้หนึ่งสามารถบีบบังคับให้สตรีผู้หนึ่งทำเรื่องมากมายที่นางไม่ยอมทำ

ทว่ารอยยิ้มหนึ่งของสตรีก็สามารถทำให้บุรุษผู้หนึ่งทำเรื่องมากมายที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน

จิ้งเหยาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เขารินสุราให้ผู้อื่นคือเมื่อใด

แต่เวลานี้มือของเขากลับยกกาสุราขึ้นมาโดยไม่ทันคิด และรินสุราให้สตรีผู้นั้นจอกหนึ่ง

คนในเหลาสุราค่อยๆ ทยอยแยกย้ายกันกลับ

ผู้ที่ยังคงอยู่ภายในโถงล้วนเป็นผีสุราที่ดื่มจนเมามายไม่ได้สติ

พวกเขานอนก้มหน้าอยู่บนโต๊ะ คิดว่าอีกไม่นานก็คงกรนสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว

เป็นอย่างนี้ก็ดีเช่นกัน

เพราะจิ้งเหยากลัวความเงียบงันยิ่งนัก

เมื่อใดที่รอบกายเงียบงันลง เขาจะหวาดกลัวจนยากจะควบคุมตัวเองได้

แม้ว่าชาวทุ่งหญ้าจะขี้เมา

แต่จิ้งเหยากลับเป็นคนจำนวนน้อยที่ไม่ชอบดื่มสุรา

การดื่มสุราเป็นเรื่องสนุกสนานเรื่องหนึ่งก็จริง

แต่เรื่องที่สนุกสนานกลับไม่อาจทำได้บ่อยครั้ง

เพราะหากทำบ่อยแล้ว

ความสนุกสนานในเรื่องนั้นก็จะลดน้อยลงด้วย

นานๆ ครั้งทำถึงจะเหมาะสมเป็นที่สุด

เสี่ยวเอ้อร์ของเหลาสุราก็ไปแอบงีบหลับอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน

ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่จึงมีแต่ความเงียบงัน

จิ้งเหยาทนกับสภาพเช่นนี้ไม่ไหว

เขาจึงจงใจทุบกาสุราลงกับโต๊ะอย่างแรงหลังจากรินสุราไปหมดแล้ว

อาศัยการทำเสียงดังเช่นนี้มาลดทอนความหวาดกลัวในใจ

“ท่านกำลังกลัวสิ่งใด”

สตรีดื่มสุราจนหมดหนึ่งกาแล้ว

จึงเอ่ยปากถาม

จิ้งเหยากล่าว

สตรีปรายตามองเขาด้วยความดูแคลนยิ่งหนหนึ่ง

เมื่อใดที่คนผู้หนึ่งบอกว่าตนไม่กลัว เมื่อนั้นก็คือเวลาที่ความหวาดกลัวของเขากำลังจะไปถึงขีดสุด

“หากท่านชิงชังความเงียบงัน เหตุใดไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านมาร่วมดื่มสุราด้วยกันเล่า”

สตรีถาม

“ข้ากับพวกมัน…ไม่รู้ว่าควรสนทนาสิ่งใดกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าคอไม่แข็งนัก”

จิ้งเหยากล่าว

คำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหก

จิ้งเหยาคอไม่แข็งจริงดังว่า

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถดื่มได้มากเท่าพวกคนใต้บังคับบัญชาของตนจริงๆ

คนที่เป็นผู้นำหน่วยสาม

แต่ถูกผู้ใต้บังคับบัญชามอมสุรานับเป็นเรื่องน่าขายหน้ายิ่งนัก

ด้วยเหตุนี้ งานเลี้ยงภายในหน่วยหลายครั้ง สิ่งที่รินลงในถ้วยเขาล้วนเป็นน้ำเปล่า

ดีที่ถ้วยสุรามีสีเข้ม

คนข้างๆ จึงแยกความต่างไม่ออก

แม้ผู้นำหน่วยอีกสองคนจะรู้ แต่เพื่อหน้าตาของหน่วยประจันเพลิง พวกเขาก็จะไม่เปิดโปงเรื่องนี้

ไม่เช่นนั้น ไม่ถึงสามวันทั่วทั้งทุ่งหญ้าก็จะรู้ว่าผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยประจันเพลิง ดื่มน้ำเปล่าแทนสุราในงานเลี้ยงอยู่ทั้งคืน

“คอไม่แข็งก็อย่าดื่มเลย”

สตรีกล่าว

“แต่ข้าอยากฝึกฝน”

จิ้งเหยากล่าว

สตรีกล่าว

จิ้งเหยาส่ายหัว

เขาจนปัญญาจะอธิบายกับสตรีผู้นี้

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้อธิบายนางก็อาจฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ

จิ้งเหยามองดาบยาวที่วางอยู่ข้างกายจนใจลอย

กระทั่งลืมรินสุราให้สตรีนางนั้น

สายตาที่เขามองดาบค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกที

เขารู้ว่าตนเองเมาแล้ว

แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนจะเฝ้าอยู่นอกประตูไม่ไกลออกไปนัก

จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย

แต่เขากลับไม่ยินยอมให้ผู้ใดเห็นสภาพตนเองเวลาเมา

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสตรีที่ตนเพิ่งไถ่ตัวออกมาจากหอนางโลมผู้นี้

เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เขาพบว่าตนเองนอนหลับอยู่บนโต๊ะภายในเหลาสุรา

เหมือนกับพวกผีสุราที่เขารังเกียจไม่ผิดเพี้ยน

จิ้งเหยาตบๆ ที่ท้ายทอย

ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างกายส่งผ้าชุบน้ำเย็นผืนหนึ่งมาให้

เขาเอาผ้ามาเช็ดหน้าเพื่อกระตุ้นความสดชื่น

วันนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ

เรื่องสำคัญของเขาก็คือสังหารคน

และคนที่เขาจะสังหารก็คือตงอี้ ผู้สั่งการกองแห่งกรมสอบสวนผู้นั้น

ดังคาด

จิ้งเหยาสามารถเอาความเปรมปรีดิ์จากการเอาชนะที่เขาไม่ได้สัมผัสเมื่อคืนนี้ชดเชยกลับมาได้

จวบจนตงอี้ผู้นั้นร่ำไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง

น้ำมูกหยดลงตรงสาบเสื้อที่หน้าอก เขาจึงหวดดาบตัดคอเขา

เรื่องนี้เกิดขึ้นยามบ่าย

พอตกเย็น

จิ้งเหยาและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากำลังมองหาร้านอาหารแถวๆ ถนนกิน

แต่กลับพบกับสตรีนางนั้นอีกครั้ง

ทั้งสองอยู่ห่างกันหลายจั้ง

แต่กลับหยุดฝีเท้าลงด้วยใจที่สื่อถึงกัน

“ไม่ใช่ว่าเจ้าไปแล้วหรือ”

จิ้งเหยาถาม

“ข้าจะไปที่ใดได้”

คำตอบของสตรีไม่ต่างกับเมื่อคืนวานแต่อย่างใด

“ขาทั้งคู่ของเจ้าอยู่ครบถ้วนย่อมสามารถเดินไปที่ใดก็ได้”

จิ้งเหยากล่าว

“ข้าแค่อยากเดินชมเมืองแห่งนี้ เพราะหลังจากข้าถูกขายมายังหอนางโลมก็ไม่เคยได้ออกมาข้างนอกอีกเลย และห้องของข้าก็ไม่มีหน้าต่าง เพราะแม่เล้ากลัวว่าข้าจะหนี”

สตรีเอ่ยพลางส่ายหัว

จิ้งเหยาอดสงสารไม่ได้

ดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้ก็เป็นคนทุกข์ยากผู้หนึ่ง

แต่คนทุกข์ยากในใต้หล้านี้มีอยู่มากมายนัก

ในหน่วยประจันเพลิงของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย

จึงไม่อาจแบ่งปันความสงสารและเห็นใจแก่หญิงคณิกาของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องผู้นี้ได้อีก

เดิมทีพวกเขาสองคนก็เป็นคนที่อยู่คนละโลกกัน

ทว่านับแต่จิ้งเหยาไถ่ตัวนางมา จุดบรรจบของพวกเขาก็เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้

“ข้าจะไปแล้ว”

จิ้งเหยากล่าว

“ไปที่ใด”

สตรีถาม

จิ้งเหยายิ้มไม่ได้ตอบ

ที่ที่เขาจะไป ย่อมไม่อาจบอกกล่าวแก่สตรีนางนี้

ทว่าตัวเขาในเวลานี้ ก็อยู่ในสถานที่ที่เขาต้องการจะไปในเวลานั้นแล้ว

ซึ่งก็คือเมืองและเหลาสุราแห่งนี้

เพราะที่นี่คือเส้นทางที่ขบวนคุ้มกันเบี้ยหวัดของทหารชายแดนเจิ้นเป่ยอ๋องจะต้องผ่าน

สตรีนางนั้นยืนเงียบๆ มองจิ้งเหยาพาผู้ติดตามขี่ม้าผ่านข้างกายตนไปอย่างรวดเร็ว

แต่นางกลับเปลี่ยนทิศทาง

เดินตามหลังกลุ่มของจิ้งเหยาไปทีละก้าว

นางไม่มีพลังยุทธ์และไม่ได้ขี่ม้า

แล้วจะตามจิ้งเหยาทันได้อย่างไร

ภายในเวลาอันรวดเร็ว ร่างของเขาก็กลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ จุดหนึ่ง

จากนั้นก็เลือนหายไปจนมองไม่เห็น

…………………

“ดาบแห่งทุ่งหญ้าหาได้ด้อยกว่ากระบี่ของอาณาจักรอ๋องพวกเจ้า”

จิ้งเหยาเห็นว่าสายตาของหลิวรุ่ยอิ่งกำลังหยุดอยู่ที่ดาบของตน

จึงเอ่ยปากไป

“เดิมทีดาบและกระบี่ก็ไม่ได้ต่างกัน ต่างก็เป็นเครื่องมือที่ใช้สังหารคน หากทำได้ ข้าก็สามารถใช้ตะเกียบสังหารคนได้เช่นกัน ตะเกียบก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าดาบและกระบี่นี่”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

จิ้งเหยาพยักหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เหมือนเขาจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ของหลิวรุ่ยอิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือกระบี่หรือของอื่นใด

ขอเพียงสามารถสังหารคนได้ เช่นนั้นก็เหมือนกันทั้งสิ้น

โดยเฉพาะตะเกียบ

ยามใช้มันกินข้าวก็สามารถเลี้ยงดูคนให้เติบโต

แต่หากวางไว้ในมือคนบางคน ของที่สามารถเลี้ยงคนให้เติบโตก็สังหารคนได้เช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งมักรวดเร็วและน่าแปลกเพียงนี้

ทำให้คนคาดเดากฎเกณฑ์ไม่ได้

“ข้าไม่อยากลงมือกับเจ้า แต่หวังว่าเจ้าจะจากไปเอง!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

ยามจิ้งเหยาได้ฟังถ้อยคำนี้กลับรู้สึกว่าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก

เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อให้การนี้สำเร็จ แล้วจะล่าถอยไปด้วยคำพูดประโยคหนึ่งของหลิวรุ่ยอิ่งได้อย่างไร

แต่สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งคิดกลับซับซ้อนยิ่งกว่านั้น

เขาไม่คิดว่าตนจะสามารถสังหารผู้นำหน่วยสามแห่งหน่วยประจันเพลิงได้

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้สังหารได้ก็ต้องทำให้ชายแดนเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงเป็นแน่

กระทั่งอาจเกิดสงครามครั้งใหญ่ นับว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างยิ่ง

อาวุธที่คมกริบยิ่งกว่าดาบและกระบี่ก็คือวาจาและใจคน

หลิวรุ่ยอิ่งอยากลองดูว่าตนจะสามารถเกลี้ยกล่อมจิ้งเหยาผู้นี้ได้หรือไม่

แต่เห็นชัดว่าด้วยวิธีการที่เขาทำอยู่ในเวลานี้ยังห่างไกลอยู่อีกมาก

หรือพูดได้ว่าความหนักแน่นของจิ้งเหยานั้น หาใช่สิ่งที่ผู้ใดจะใช้วาจาเกลี้ยกล่อมได้

อาจมีเพียงหลางอ๋องหมิงเย่าเท่านั้นที่ทำได้

………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน