บทที่ 1133 ตอนพิเศษ (34/2)
บทที่ 1133 ตอนพิเศษ (34/2)
สถานการณ์โดยรวมตอนนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เขายังไม่อาจแหวกหญ้าให้งูตื่นได้
เขาเชื่อว่าชีวิตของชาวบ้านไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย คนเหล่านี้เพียงต้องการใช้ชาวบ้านจำนวนมากไปเป็นกุลีทำงานต่ำต้อยเหล่านั้นให้ ขอเพียงไม่ต่อต้านพวกเขาจนเกินไป ย่อมรักษาชีวิตไว้ได้
เมื่อชาวบ้านถามอะไรล้วนไม่ได้ความ พวกเขาจึงทำได้เพียงกลับไปก่อน
หลิวจิ่วจู๋จับมือลู่ฉาวจิ่งแล้วเอ่ย “ท่านผอมลงแล้ว ข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ เติมเต็มกำลังให้ท่าน”
หยางชิงซือทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงรีบผละจากไปโดยอ้างว่าจะกลับไปดูแลหลานสาวตัวน้อย นางจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการหวนคืนกลับมาพบกันของสามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ที่นี่
ในคืนนั้นลู่ฉาวจิ่งถูกหัวหน้าหมู่บ้านเชิญไปพบ
หัวหน้าหมู่บ้านถามคำถามเดียวกับชาวบ้าน ลู่ฉาวจิ่งเองก็ให้คำตอบเดียวกัน
ลู่ฉาวจิ่งขึ้นเขาไปช่วยหลิวจิ่วจู๋เก็บสมุนไพรมาทำยาที่บ้าน ส่วนเรื่องการขายยานั้น นางกับชิงซือต้องเข้าเมือง เขามีวันหยุดเพียงแค่สามวัน เมื่อครบสามวันก็ต้องกลับไปทันที
“เขาไปอีกแล้วหรือ?” หยางชิงซือกล่าว “เหตุใดเขาจึงเข้าร่วมกองทัพเล่า? ด้วยความสามารถของเขา ถึงแม้ไม่ได้เข้าร่วมกองทัพก็ยังสามารถมีชีวิตที่ดีได้ อีกอย่าง ตอนนี้เจ้ากำลังหาเงิน เขาสามารถช่วยเจ้าทำงานได้”
“เขามีความสามารถเพียงนี้ คงไม่อาจอยู่บ้านให้สตรีเลี้ยงดูกระมัง แม้ว่าเขายินดี ข้าก็ไม่ยินดี ข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมต่อเขาเกินไป ขอเพียงเขาชอบ ข้าย่อมสนับสนุนเขาอย่างแน่นอน”
หยางชิงซือเหลือบมองหลิวจิ่วจู๋ “น่าเสียดายจริง ๆ”
“น่าเสียดายอะไร?”
“น่าเสียดายที่ท่านย่าหลิ่วไม่เห็นว่าเจ้าโง่งมเพียงนี้”
สตรีจะโง่เขลาก็ต่อเมื่อตกหลุมรัก
หลิวจิ่วจู๋อาศัยอยู่กับท่านย่าหลิ่ว ถึงแม้นางจะใจดีแต่ความคิดกว้างขวางยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางทำท่าทางราวกับสาวน้อย
“อันที่จริงข้าก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยเขาไป” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ถึงแม้จะรู้จักกันไม่นานนัก แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด ขอเพียงมีเขาอยู่ข้าง ๆ ข้าก็จะรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ”
ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น
พบเจอผู้มั่งคั่ง นางก็ไม่กลัว
ขณะมองเงาร่างของสามีที่ค่อย ๆ เดินลับไป หลิวจิ่วจู๋ก็กลัวจริง ๆ ว่าเขาจากไปแล้วจะไม่มีวันหวนกลับ
หยางชิงซือดึงมือหลิวจิ่วจู๋แล้วกล่าว “ไม่ต้องห่วง สามีเจ้าดีมากทีเดียว เขามีเจ้าอยู่ในใจ อย่างไรก็จะต้องกลับมาหาอย่างแน่นอน”
สามวันต่อมา ลู่ฉาวจิ่งก็กลับมาที่กระโจมของนายกองเซี่ยวอีกครั้ง คราวนี้มีคนอยู่ข้างในอีกสองคน หนึ่งในนั้นคือหัวหมู่จาง
นายกองเซี่ยวยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ดูสนิทสนมกับลู่ฉาวจิ่งขึ้นมาอีกหลายส่วน
“หัวหมู่จางกับนายร้อยหลี่คงเคยพบกันแล้ว” นายกองเซี่ยวกล่าว “การเดินทางครั้งนี้ พวกเขาจะไปกับเจ้า”
“นี่เป็นภารกิจแรกของข้า ข้ายังกังวลว่าจะทำไม่ได้ ในเมื่อมีพี่ชายทั้งสองมาช่วยย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ข้าน้อยยังเยาว์ ไม่เข้าใจอะไร อาจทำให้เรื่องยุ่งเหยิงเอาได้”
“นายกอง ท่านชื่นชมเรื่องความฉลาดและสมองของนายร้อยลู่มาโดยตลอด เดิมทีข้าไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ข้าเห็นว่านายร้อยลู่ผู้นี้ไม่เพียงแต่ฝีมือยอดเยี่ยมเท่านั้น ทว่ายังมีน้ำใจไมตรีต่อพวกพ้องด้วย นับเป็นสหายที่ดี”
นายกองเซี่ยวกล่าว “คราวนี้เรื่องที่เหลือมอบให้พวกเจ้าแล้ว จักต้องร่วมมือกันให้ดี จัดการธุระให้สำเร็จ”
หัวหมู่จางยังคงนิ่งเงียบ ทว่าสายตาที่มองลู่ฉาวจิ่งกลับเย็นชาเป็นพิเศษ
ภายหลังลู่ฉาวจิ่งจึงได้รู้ว่า ก่อนที่เขาจะมาเป็นนายร้อย นายกองเซี่ยวมักจะให้ความสำคัญกับหัวหมู่จางมาโดยตลอด เดิมทีตำแหน่งนายร้อยนี้จะมอบให้อีกฝ่าย นึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ เรื่องจะกลับตาลปัตรได้
หากเปลี่ยนเป็นลู่ฉาวจิ่ง เขาก็คงไม่ชอบใจเช่นกัน อย่างไรเสียการจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายร้อยก็ไม่ง่ายดาย ผ่านโอกาสนี้ไปก็ไม่มีโอกาสอื่นแล้ว
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ลู่ฉาวจิ่งก็ตรวจนับจำนวนคนในคณะเดินทาง
นอกจากหัวหมู่จางกับนายร้อยหลี่แล้ว ยังมีอีกสามสิบคนที่เดินทางไปด้วยกัน คนเหล่านี้ล้วนติดอาวุธ แววตามีประกายสังหาร พวกเขาคงเป็นทหารที่ผ่านการเลียเลือดบนคมดาบมาจริง ๆ ไม่ใช่คนไม่ได้เรื่องเหล่านั้น
ลู่ฉาวจิ่งตรวจสอบของสำคัญในครั้งนี้อีกครั้ง… มีทั้งหมดสิบกล่อง
แต่ละกล่องล้วนถูกปิดผนึก แม้จะอยากเปิดก็เปิดไม่ได้ เพราะไม่ได้มีเพียงกุญแจเท่านั้น แต่ยังมีของบางอย่างอยู่ข้างในด้วย
“ภารกิจของพวกเจ้าคือส่งกล่องเหล่านี้ไปให้ถึงทะเลหลี” นายกองเซี่ยวกล่าว “กล่องอยู่ คนอยู่ หากกล่องไม่อยู่ พวกเจ้าทุกคนจะถูกลงโทษอย่างหนัก เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจขอรับ”
“ในเมื่อเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มออกเดินทางได้ การเดินทางเที่ยวนี้มอบให้นายร้อยลู่จัดการ พวกเจ้าล้วนต้องฟังนายร้อยลู่”
ลู่ฉาวจิ่งเดินทางไปพร้อมกับคณะ
เมื่อทั้งคณะเดินทางผ่านประตูเมือง ชาวบ้านมากมายต่างจ้องมองมา
พวกเขาต่างก็คาดเดาเกี่ยวกับของที่อยู่ในกล่อง
“เด็กคนนั้น คนที่อยู่ข้างหน้านั่นเป็นเขยหมู่บ้านสกุลหลิ่วเรา ร้ายกาจใช่หรือไม่?” ชาวบ้านคนหนึ่งชี้ไปที่ลู่ฉาวจิ่งแล้วกล่าว “อย่าได้เห็นว่าตอนนี้เขาดูมีสง่าราศี เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงหมาป่าตัวหนึ่ง ข้าจะเล่าให้พวกท่านฟัง…”
ลู่ฉาวจิ่งและหัวหมู่จางนั่งรถม้าคันเดียวกัน
ลู่ฉาวจิ่งกล่าว “พี่ใหญ่จาง ท่านเป็นคนที่ใดหรือ?”
หัวหมู่จางขมวดคิ้ว หันกลับไปมองลู่ฉาวจิ่ง “เจ้าจะถามเรื่องนี้ทำไม?”
“เส้นทางยาวไกลเพียงนี้ ข้าว่างน่ะสิ สนทนาพาทีกับท่านสักหน่อยย่อมเป็นการดีกว่า” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ที่นี่ไม่มีผู้ใด ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำอะไรท่าน”
“เช่นนั้น ท่านเป็นทหารมานานเพียงใดแล้ว?”
“ห้าปีแล้ว” หัวหมู่จางกล่าว “ก่อนหน้าติดตามนายกองเซี่ยวฝึกทหาร นับได้ว่านายกองเซี่ยวสอนสั่งข้ามาด้วยตนเอง”
“คนที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ลู่ฉาวจิ่งถามถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกประโยคเน้นย้ำคำว่าถามเพราะ ‘ว่าง’
หัวหมู่จางแต่เดิมไม่คิดจะสนใจเขา ทว่าเมื่อลู่ฉาวจิ่งเอ่ยถึงครอบครัวก็ทำให้เขาคิดถึงครอบครัวขึ้นมา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดประสงค์อะไร คิดเสียว่าหาใครสักคนมาระบายความรู้สึกภายในใจก็แล้วกัน เขาจะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น
หัวหมู่จางเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ของครอบครัวตนเองออกมา
ลู่ฉาวจิ่งคอยเอ่ยรับคำพูดของหัวหมู่จางอยู่เป็นพัก ๆ
หัวหมู่จางเห็นลู่ฉาวจิ่งดูแผนที่ เขาก็ชี้ไปยังถนนสายหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ถนนเส้นนี้แม้จะใกล้กว่ามาก เพียงแต่ พวกท่านไม่เห็นหรือว่ามีหน้าผาอยู่แถวนี้ ที่นี่มีแนวโน้มที่จะเกิดดินถล่ม พวกเราไปทางโน้นเถอะ แม้ว่าจะเป็นทางอ้อมที่ไกลออกไปแต่ก็ปลอดภัยกว่า แน่นอนว่าท่านคือผู้รับผิดชอบในครั้งนี้ หากท่านคิดว่าคำแนะนำของข้ามีอะไรไม่ถูกต้องก็ไม่จำเป็นต้องนำไปปฏิบัติ”
“ไม่ถูก ข้าว่าที่พี่ใหญ่จางพูดนั้นดียิ่ง” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “พี่ใหญ่จางมีประสบการณ์ด้านนี้จริง ๆ ข้าโชคดีที่มีพวกท่านคอยช่วยให้คำแนะนำระหว่างทาง ไม่เช่นนั้นข้าคงกลิ้งลงเหลวไปหลายครั้งแล้ว”
สีหน้าของหัวหมู่จางดีขึ้นมาบ้าง
ลู่ฉาวจิ่งยอมรับข้อบกพร่องของตนเองและกล่าวยกย่องศัตรู คนเช่นนี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว…