ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 347 ชีวิตมนุษย์ยากลำบากนัก

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 347 ชีวิตมนุษย์ยากลำบากนัก

ในเสี้ยวพริบตาที่เหยียบขึ้นเรือ สวี่ชิงและนายกองก็ร่วมกันควบคุมเรือศึกเวททะยานไปที่ไกลทันที

ทั้งสองคนต่างอกสั่นขวัญแขวน ประเดี๋ยวๆ ก็มองไปทางแดนต้องห้ามข้างหลัง

จะเห็นว่ายักษ์ในแดนต้องห้ามตนนั้นดิ้นรนรุนแรง ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆดำโหมทะลัก ยิ่งมีสายฟ้าแต่ละทางๆ ฟาดผ่าเลื่อนลั่น และไม่ว่ายักษ์ตนนั้นจะส่งเสียงคำรามเพียงใด ตาข่ายที่แผ่มาจากแดนต้องห้ามก็พันธนาการมันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

มองภาพนี้ สวี่ชิงรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก

นายกองที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ เอ่ยอย่างสะท้อนใจ

“เป็นอย่างที่ข้าเดาเอาไว้จริงๆ ด้วย แดนต้องห้ามกระบี่ก็คือแดนแห่งการคุมขัง แดนต้องห้ามแห่งนี้เคยมีชื่อว่าแดนต้องห้ามเสียงวิญญาณ ภายหลังถูกหมื่นเผ่าในเขตปกครองผนึกสมุทรทำการสยบสุดกำลัง เสียงวิญญาณก็กลายเป็นแดนแห่งการคุมขัง”

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เดิมเขาก็นึกแปลกใจ เพราะนายท่านเจ็ดเคยบอกว่าแดนต้องห้ามแห่งนี้ชื่อว่าเสียงวิญญาณ แต่นายกองกลับบอกว่าเป็นแดนต้องห้ามกระบี่

แต่จากการแล่นไปอย่างรวดเร็วเรือศึกเวท เหยียนเหยียนมองสวี่ชิงและนายกองที่สภาพสะบักสะบอม ก็ลังเลเล็กน้อย

“พี่สวี่ชิง ท่านไม่ได้ไปฟื้นฟูพลังชีวิตหรอกหรือ

“แล้วก็ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ไปปกป้องพี่สวี่ชิงหรอกหรือ

“ทำไม…ถึงสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้” เหยียนเหยียนก็กำลังหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ หลังจากที่นางเห็นยักษ์ตนนั้นปรากฏตัวจากที่ไกลๆ จิตใจตลอดจนร่างกายล้วนสั่นสะท้านจากความกดดันของยักษ์น่าหวาดกลัวตนนั้น

สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็มองไปทางนายกองอย่างไร้อารมณ์ สายตายิ่งจับจ้องไปบนจมูกของนายกอง

นายกองกะพริบตาปริบๆ ไม่มีความกระอักกระอ่วนใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับสะบัดมือไปทางสวี่ชิง โยนผลไม้ที่ถูกกัดไปกว่าครึ่งลูกหนึ่งไป

“ศิษย์น้องเล็ก นี่เป็นผลไม้ที่ศิษย์พี่เหลือไว้ให้เจ้า ข้าฝืนสะกดกลั้นไม่กินจนหมด เฮ้อ ข้าคนนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ เห็นของดีก็นึกถึงศิษย์น้องเล็กทันทีเลย”

สวี่ชิงรับเอาไว้ เพิ่งจะถือไว้ในมือ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก้มหน้าไปดู

เขาสัมผัสได้ว่าในผลไม้ที่ถูกกัดไปกว่าครึ่งลูกนี้มีกลิ่นอายที่พิเศษมากกลุ่มหนึ่ง

กลิ่นอายนี้ไม่ส่งอิทธิพลต่อกายเนื้อเท่าไร แต่เมื่อดมแล้วสวี่ชิงก็รู้สึกว่าจิตใจของตัวเองสั่นส เขากระจ่างในทันที วัตถุนี้มีประโยชน์ต่อการหล่อเลี้ยงวิญญาณไม่น้อยเลย

“ของสิ่งนี้คืออะไรข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็น แต่ข้าเห็นเจ้าโง่ตัวโตกลุ่มนั้นหมอบกราบบูชาอยู่ ดังนั้นหลังจากแย่งมาได้ก็กินไปคำหนึ่ง พบว่ามีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก” คิดถึงความตื่นเต้นและผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้ของตัวเอง นายกองก็หน้าตาเบิกบาน

สวี่ชิงก็ไม่รังเกียจว่านายกองจะกินผลไม้ลูกนี้ไปแล้วหลายคำ เขาใส่เข้าไปในปากแล้วกลืนลงไป สำหรับเขาที่ตั้งแต่เด็กเติบโตมาจากถ้ำยาจก อาหารที่สุนัขกินไปแล้วครึ่งหนึ่งเขายังไปแย่งมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเอ้อร์หนิวเลย

ตอนนี้เมื่อกลืนลงไป ไม่นานนักความรู้สึกเย็นสบายกลุ่มหนึ่งก็ไหลไปทั่วร่างกายของเขา สุดท้ายก็ผสานไปในทะเลความรู้สึก ทำให้ทะเลความรู้สึกของเขาสั่นสะท้าน เลาๆ ว่าเสถียรขึ้นมาก และกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย

ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นการบ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ดังนั้นสวี่ชิงจึงเลียริมฝีปาก มองไปทางนายกอง กำลังจะถามเรื่องยักษ์ในแดนต้องห้าม

“นายกอง…”

“ไม่มีแล้ว!” ไม่รอให้สวี่ชิงพูดจบ นายกองก็ระแวงระวังขึ้นมาทันที พูดจบก็เหมือนรู้สึกว่าปฏิกริยาของตัวเองเกินสมควรไปเล็กน้อย ดังนั้นจึงกะพริบตา กระแอมไอขึ้นมา

“อาชิงน้อย จากนี้พวกเราไปโถงครองกระบี่ ข้าจะบอกให้นะ โถงครองกระบี่เป็นสถานที่ที่ดี”

สวี่ชิงสงสัย ประเมินนายกองอย่างละเอียด

สวี่ชิงรู้สึกว่าท่าทีก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายมีปัญหา จึงหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างแผ่วเบา

“ศิษย์พี่ใหญ่ ความจริงหากไม่ให้โลหิตเต๋าสามส่วนนั้นกับท่าน การยกระดับครั้งนี้ของข้าอาจจะปลอดภัยยิ่งขึ้น แต่ท่านเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้า…”

นายกองได้ยินก็ถอนหายใจ เพียงสะบัดมือ ก็มีผลไม้อีกลูกลอยไปหาสวี่ชิง

สวี่ชิงเมื่อรับไว้ก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ชีวิตมนุษย์ยากลำบากนัก

“ศิษย์พี่ใหญ่ โลกนี้ไม่แน่นอน ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง ท่านอาจไม่มีข้าศิษย์น้องเล็กคนนี้แล้วก็เป็นได้ หากไม่อาจร่วมเดินทางไปกับท่านในชาตินี้ ข้าหวังว่าในชั่วขณะที่ท่านยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของท้องฟ้า ก็ช่วยข้ามองโลกใบนี้ที”

นายกองอัดอั้น พึมพำสองสามประโยค แอบพูดว่าอาชิงน้อยทำไมเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้ จึงถอนหายใจอีกครั้ง หยิบเอากิ่งไม้กิ่งหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ โยนให้สวี่ชิง

บนกิ่งไม้มีผลไม้อยู่แปด เก้าลูก

เห็นภาพนี้สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก เดิมเขาคิดว่านายกองอย่างมากก็เอามาแค่หก เจ็ดลูกเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะคว้ามากิ่งหนึ่ง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ได้ขุดต้นไม้ของพวกมันออกมาทั้งรากหรอกใช่ไหม”

นายกองกระแอม รีบส่ายหน้าบ่งบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำ

เหยียนเหยียนอยู่ข้างๆ กะพริบตา จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า

“ชีวิตมนุษย์ยากลำบากนัก…”

“หยุดๆๆ!” นายกองใบหน้าจนปัญญา หยิบผลไม้ออกมาอีกสามลูกให้เหยียนเหยียน

เหยียนเหยียนหน้าตาเบิกบาน มาถึงข้างกายสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว ยื่นผลไม้ไปให้เขา

“พี่สวี่ชิง ให้ท่าน”

ภาพนี้ทำเอานายกองอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ยิ่งรู้สึกอัดอั้นขึ้นไปอีก

สวี่ชิงไม่ได้รับผลไม้ของเหยียนเหยียนเอาไว้

ส่วนนายกองตอนนี้ตกลงแล้วเหลืออีกเท่าไร สวี่ชิงไม่สนใจ หลังจากที่เขากินผลไม้เจ็ดแปดลูกนี้ลงไป เขาก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้นในทะเลต้องห้าม ในขณะเดียวกับที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จิตวิญญาณก็แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนหนึ่งเท่า

ความรู้สึกอิ่มจนจุกปรากฏขึ้นในใจ

สวี่ชิงรู้ว่านี่คือถึงขีดจำกัดสูงสุดของวิญญาณในระดับขั้นตอนนี้แล้ว ดังนั้นในการเดินทางต่อจากนี้ สวี่ชิงจึงนั่งขัดสมาธิ เริ่มทำการทะลวงขั้นของตัวเองให้เสถียร

เวลาก็หมุนผ่านไปเช่นนี้ ไม่นานนักก็ผ่านไปครึ่งเดือน ข้างล่างเรือศึกเวทมีเสียงแม่น้ำไหลหลากดังมา กวาดตามองไปก็คือจุดที่แม่น้ำหลักของแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียนอันยิ่งใหญ่สายนั้นมาบรรจบกับภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยนั่นเอง

ที่นี่น้ำในแม่น้ำไหลหลาก ทะลักโหมราวมหาสมุทร ไหลผ่านจากหุบเขาภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัยแบ่งเทือกเขานี้ให้เป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งในนั้นมีน้ำตกหลายแห่ง มองไปแล้วราวกับภาพวาด

ส่วนสวี่ชิงก่อนหน้านี้ที่ทำภารกิจลาดตระเวนแม่น้ำเคยผ่านที่นี่แล้ว จึงมองไปเพียงแวบเดียวก็ดึงสายตากลับมา หยิบเอาแถบผ้าห่อศพที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเซียนชิ้นนั้นออกมา

นี่คือเศษชิ้นส่วนของของวิเศษเวทต้องห้าม จินตนาการได้ว่าของวิเศษเวทต้องห้ามที่สมบูรณ์น่าจะเป็นผ้าห่อศพผืนหนึ่ง

บนแถบผ้าสีเทาเปื้อนไปด้วยเลือดสีดำ ทำให้มันเต็มไปด้วยความอัปมงคล แต่พลังเซียนกลับเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่สวี่ชิงตรวจสอบมันก็เกิดความรู้สึกเหมือนถูกแทงอีกครั้ง

ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววาบ ประโยชน์จากเศษชิ้นส่วนของวิเศษเวทต้องห้ามมีมากมาย แต่บางทีอาจเป็นเพราะความไม่สมบูรณ์ จึงยากที่จะสำรวจผ่านทางจิตเทพ จำต้องศึกษาด้วยตัวเองถึงจะได้

ในนั้นอย่างเศษชิ้นไม้สีดำและกระจกบานเล็กมีประโยชน์ที่ค่อนข้างชัดเจน จึงง่ายต่อการสัมผัสรับรู้ แต่ความสามารถของแถบผ้านี้ค่อนข้างซับซ้อน

เมื่อสวี่ชิงศึกษาค้นคว้าแล้วก็เปิดการป้องกันจากกวานสวรรค์สูงสุดของตัวเองขึ้นมา ในตอนที่สัมผัสแถบผ้านี้อีกครั้ง เขาพบว่าหนามไร้รูปร่างของวัตถุชิ้นนี้เมินการป้องกัน ยังคงแทงฝ่ามือเช่นเดิม

“เมินการป้องกันอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงใจกระตุกวูบ เขาคิดถึงเคียวยมทูตผีร้ายของหญิงชุดแดงเล่มนั้น

ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็หยิบใบมีดที่นายกองให้เขาชิ้นนั้นออกมา ใบมีดสีดำนี้แผ่ประกายคมกริบ ลวดลายบนนั้นที่สะท้อนในดวงตาที่ฉายความแปลกประหลาด

เดิมสวี่ชิงวางแผนไว้ว่าหลังจากกลับถึงสำนักแล้วก็จะหาวัตถุที่เหมาะสมมาเป็นด้ามกริช แต่ตอนนี้เขามองแถบผ้านี้ก็เกิดความคิดใหม่

หลังจากขบคิด สวี่ชิงรู้สึกว่าลองดูได้

ดังนั้นเขาจึงพันแถบผ้าไว้ที่ปลายกริชเอาไว้เป็นชั้นๆ ให้เป็นด้ามง่ายๆ

ทำทุกอย่างเสร็จ สวี่ชิงก็ถือมันไว้ในมือ ความเจ็บปวดรุนแรง แต่การฟื้นตัวของสวี่ชิงรวดเร็วมาก อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการอดทนต่อความเจ็บปวด สีหน้าจึงเป็นปกติ

มือขวาที่ถือกริชก็เช่นกัน จับมันเอาไว้แน่นราวคีมเหล็ก

จากนั้นเขาก็ยกมือซ้ายขึ้น แตะไปที่คมและปลายของกริชเบาๆ แค่แตะลงไป ความเจ็บปวดแบบนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เหมือนว่าพลังของแถบผ้าถ่ายทอดไปบนกริช

“จริงๆ ด้วย!” สวี่ชิงพลันเอ่ยขึ้นมา

“เหยียนเหยียน เปิดการป้องกันของเจ้า”

เหยียนเหยียนจับตามองสวี่ชิงอยู่ตลอด เมื่อได้ยินคำพูดของสวี่ชิงก็ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น กระตุ้นแผ่นหยกป้องกันที่ท่านย่าของนางให้มาทันที ในเสี้ยวพริบตาที่เกราะป้องกันชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น สวี่ชิงก็เคลื่อนไหวแล้ว

กริชในมือเขาประชิดเขามาในพริบตา ในเสี้ยวขณะที่แตะมายังกราะป้องกันวิญญาณของเหยียนเหยียน มันก็เมินซึ่งการป้องกัน ทะลุเข้ามาแตะที่คอของนาง

เหยียนเหยียนไม่หลบหลีกใดๆ ทั้งสิ้น นางเชื่อใจสวี่ชิง

เสี้ยวขณะต่อมา มือขวาของสวี่ชิงก็ดึงกลับมา ในขณะที่ใจเต็มไปด้วยความพึงพอใจ นายกองที่อยู่ข้างๆ เห็นทุกอย่างนี้ก็เอ่ยขึ้นอย่างตื่นตะลึง

“แถบผ้านี่ไม่ธรรมดาเลย”

สวี่ชิงพยักหน้าศึกษาวิจัยต่อ จนเมื่อมั่นใจว่าวัตถุสองชิ้นนี้เมื่อจับคู่อยู่ด้วยกันจะทำให้พลังเพิ่มขึ้น เขาก็ก้มมองเงาของตัวเอง

สวี่ชิงรู้สึกว่าในอนาคตจะต้องมีวันหนึ่งที่ความลับเรื่องเจ้าเงาเปิดเผยแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ทำการเตรียมตัวก่อนเป็นดี

ดังนั้น ภายใต้จิตเทพของสวี่ชิง เจ้าเงาก็แบ่งออกมากลุ่มหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย มารวมกับดวงตาบนกริช

จากการผสานตัวเข้าไปของมัน ดวงตาดวงนี้มองเผินๆ แล้วก็เป็นปกติ แต่เมื่อมองให้ละเอียดแล้วก็เหมือนว่ามีชีวิต

เมื่อจ้องมันก็จะรู้สึกเหมือนมันจ้องกลับมาเช่นกัน

“จากนั้นก็ต้องคิดคำร่ายสักท่อนหนึ่งมาเป็นการเกริ่นนำล่วงหน้าของเจ้าเงาเวลาที่ผสานกับเคล็ดวิชาลับสำแดงออกมา”

คิดคำร่ายเรื่องนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าตังเองไม่ถนัด จึงถ่ายทอดจิตเทพไปให้บรรพจารย์สำนักวัชระ

ไม่นานนัก บรรพจารย์สำนักวัชระที่อ่านนิยายจนทะลุปรุโปร่งก็นึกได้ท่อนหนึ่ง

“พันธนาการขังเงา โองการสั่งผี

“วิชาเซียนสังหารวิญญาณ ฟ้าดินชีวิตข้า”

สวี่ชิงพึมพำในใจ รู้สึกว่าสี่ประโยคนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ก็คิดที่ดีกว่าในเวลาสั้นๆ ไม่ได้ จึงไม่ได้ใช้ทันที นี่ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระเสียดายนิดๆ

สี่ประโยคนี้แฝงไว้ด้วยแผนการร้ายของเขาอยู่เล็กน้อย

“เจ้าเงาเอ๋ยเจ้าเงา บังอาจแข่งกับข้า หึๆ ข้าบรรพจารย์คนนี้ศึกษาร่ำเรียนมานานหลายปีเป็นการศึกษาที่สูญเปล่าหรือไร เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เห็นถึงฝีมือของข้าบรรพจารย์คนนี้”

ในขณะเดียวกัน เรือศึกเวทก็ไปจากเขตแม่น้ำหลักของแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ มุ่งหน้าตรงไปทางเหนือเต็มกำลังอัตราศึก สีของพื้นดินค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่เป็นสีดำมิดมิดอีกต่อไป แล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาด

อุณหภูมิที่นี่ลดลงไปมาก กระทั่งว่าหลายวันหลังจากนั้น พวกเขาก็เจอกับลมหิมะ

เกล็ดหิมะประดุจขนห่านโปรยปราย ในขณะที่ตกเต็มพื้น ก็มีจำนวนหนึ่งที่สะสมอยู่บนท้องฟ้าเหนือเรือศึกเวท คล้ายว่าคลุมเป็นผ้าคลุมสีขาวให้กับเรือศึกเวท

และฟ้าดินข้างหน้าก็รางเลือนไปหมด ถูกหิมะปกคลุมเอาไว้ หิมะที่มาอย่างกะทันหันนี้หนึกขึ้นเรื่อยๆ จวบจนกลายเป็นพายุหิมะ

เสียงลมหวีดหวิวดังไปทั่วทุกทิศ ความหนาวยะเยียบตามเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นก็ลอยอวยไปทั่วโลกมนุษย์

สวี่ชิงคุ้นเคยกับหิมะดี

ฤดูหนาวเมื่อหลายปีก่อน พายุหิมะสำหรับเขาแล้วเป็นบททดสอบชีวิตบทหนึ่ง แต่หิมะที่หนักขนาดนี้เขาก็เห็นน้อยนัก

“ในที่สุดพวกเราก็มาถึงที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือแล้ว อย่างมากสองเดือนพวกเราก็จะถึงสุดเขตของมณฑลรับเสด็จราชันด้วยความเร็วนี้ ซึ่งก็คือสถานที่ที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะตั้งอยู่

“ที่นั่นก็คือสาขาหลักของโถงครองกระบี่ มณฑลรับเสด็จราชัน” นายกองแววตาฉายความวาดหวัง เสียงดังก้องท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของลมหิมะ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท