คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 684 ประสบการณ์เช่นนี้ไม่มีก็ได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 684 ประสบการณ์เช่นนี้ไม่มีก็ได้

ไม่เดินเส้นทางปกติ เช่นนั้นก็เดินเส้นทางหยิน

เหยียนฉีซานเดินทางเป็นครั้งที่สองแล้ว ได้เตรียมใจเอาไว้นานแล้ว เพียงแค่กังวลที่ไม่ได้เดินตัวติดกับฉินหลิวซีตอนเข้าไปข้างใน แต่เหวินฝู่หลินกับจังหัวนั้นกลับยากลำบาก พวกเขาต่างก็ยึดหลักว่าขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับอย่างเข้ากระดูกมาก่อน

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเส้นทางที่ฉินหลิวซีใช้เป็นเส้นทางของผี ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าใบหน้าผีบนหลังของจังหัวเสียอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเดินตามไปเรื่อยๆ ก่อนที่ฉินหลิวซีจะหยุดเดิน ทันทีที่หยุดลง ผีที่มีรูปร่างแปลกๆ เหล่านั้นก็กระโจนเข้ามาหาพวกเขาราวกับหมาป่าเห็นเนื้อ

หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวจอมมารน้อยแห่งเส้นทางหยินอย่างฉินหลิวซีผู้นี้ เกรงว่าคนเป็นเหล่านี้จะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้ว

“ทำไมไม่เดิน” จังหัวร้องโวยวายพลางขดศีรษะลง

ฉินหลิวซีรำคาญที่เขาร้องโอดโอยมาตลอดทาง จึงปิดปากเขา เอ่ย “เดินอะไรกัน หากไปขวางทางจะทำให้พวกเขาพลาดฤกษ์มงคล อยากตายหรือ”

หมายความว่าอย่างไร

เสียงแห่งความสุขดังขึ้นระยะหนึ่ง

เหยียนฉีซานมองไปด้วยความอยากรู้ เมื่อเห็นโคมไฟสีแดงจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายทางอีกด้านเส้นของทางหยิน ก็อดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้

“นี่ นี่คืองานแต่งผีหรือ”

เหวินฝู่หลินเหลือบมองดูด้วยตัวสั่นเทา แม้ว่าจะอยากรู้ แต่ปวดหัวกับน้ำเสียงของสหายสนิทมากกว่า เจ้าตื่นเต้นอะไรขนาดนี้

แย่แล้ว คำพูดของขงจื้อที่เขาท่องอย่างเงียบๆ เมื่อครู่นี้ท่องถึงไหนแล้วนะ

สวรรค์ ผีที่อยู่ตรงข้ามตนนั้นดึงลิ้นออกมาทั้งหมดแล้วใช้มือเล่นพันด้าย

เหวินฝู่หลินกลืนน้ำลายไม่หยุด นี่คือช่วงเวลาที่สหายสนิทบอกว่าเป็นโอกาสของประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนไปชั่วชีวิต เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาจะไม่ลืมการผจญภัยนี้จนตาย ที่จริงประสบการณ์เช่นนี้ไม่มีก็ได้

ขบวนแต่งงานใกล้มาถึงด้านหน้าแล้ว

“ก้มหัวลง” ฉินหลิวซีเอ่ยกับพวกเขา

เหยียนฉีซานรีบดึงสหายสนิทให้ก้มศีรษะลงอยู่ข้างหลังนาง

ผู้นำขบวนเป็นขุนนางเจ้าบ่าวขี่ม้ากระดาษเดินอยู่ข้างหน้า กระโดดลงจากม้า ยกมือขึ้นคำนับฉินหลิวซี “ขอบคุณนายท่านที่หลีกทางให้”

“ขอให้รักกันตลอดไป” ฉินหลิวซีหลับตา

เจ้าบ่าวยิ้มอย่างมีความสุขกว่าเดิม เอ่ย “ขอให้สมพรปากท่านขอรับ”

จังหัวอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ เห็นรอยยิ้มที่ดุร้ายของเจ้าบ่าว น่ากลัวยิ่งกว่าผีร้าย และในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น ผีน้อยที่ยกเกี้ยวก็กวาดสายตามองมาพร้อมกัน ใบหน้าขาวริมฝีปากแดงแก้มแดง ตัวแข็งทื่อ ซ้ำยังหันมาฉีกยิ้มให้เขาพร้อมกัน

ตุบ

ในที่สุดเขาก็ตกใจกลัวจนเป็นลมอยู่บนพื้น

บรรดาผีและปีศาจพากันมองดู มีคนเป็นๆ เป็นลมไปแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเข้าสิงร่าง

ขณะที่พวกเขากำลังจะเคลื่อนไหว ฉินหลิวซีก็เหลือบมองไป

ผีทั้งหลายหวาดกลัว

กลัวแล้วๆ

พวกเขาไปก็ได้

ขบวนแต่งงานหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว ฉินหลิวซีจึงได้มองไปยังจังหัวที่เป็นลมกองอยู่กับพื้น เอ่ยด้วยความรังเกียจ “ตัวปัญหา”

เหวินฝู่หลินมองดูบุตรเขยผู้นี้ด้วยสีหน้าซับซ้อน

ประการแรกรู้สึกว่าเขาทำตัวของเขาเอง ประการที่สองกลับรู้สึกว่าการที่เขาเป็นลมไปนั้นนับว่าเป็นโชคดีเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องหวาดกลัวถนนสายนี้อีกต่อไป

“เจ้า มาเข้าร่าง” ฉินหลิวซีเลือกผีมาหนึ่งตนอย่างไม่ได้ใส่ใจ ซึ่งบังเอิญไปเลือกผีตนนั้นที่ใช้ลิ้นมาเล่นพันด้าย

“อายอ่าน อ้าอื่อเอ้อ”

“เก็บลิ้นยัดกลับเข้าไปแล้วค่อยพูด เข้าร่างเขา แล้วเดินแทนเขาไปจนสุดทาง” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างรังเกียจ

“ได้เลยขอรับ”

ผีลิ้นยัดลิ้นเก็บเข้าไป แล้วไปเข้าร่างของจังหัว จากนั้นก็ลุกขึ้นมาอย่างโซเซ

เหวินฝู่หลินกับเหยียนฉีซาน “!”

“ข้าก็อยากจะเป็นลมเหมือนกัน” เหวินฝู่หลินน้ำเสียงแหบแห้ง

เหยียนฉีซานออกแรงหยิกเขา “กัดลิ้น อดทนไว้ หากเจ้าเป็นลม ผีที่จะมาเข้าร่างเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง”

ฉินหลิวซียิ้มใบหน้านิ่งพลางเอ่ย “อย่าคิดว่าการถูกเข้าร่างมาเดินบนเส้นทางนี้แทนเจ้าจะเป็นเรื่องดี เมื่อถูกเข้าสิง ร่างกายนี้ก็จะมีพลังหยินอยู่บ้าง ซ้ำยังทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ง่าย แต่แน่นอนว่าหากท่านต้องการข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร”

เหวินฝู่หลิน ‘ไม่ ข้าไม่อยากแล้ว!’

กลุ่มคนมุ่งหน้าเดินต่อไป ผีลิ้นที่เข้าสิงจังหัวเป็นคนพูดมาก ชวนเหวินฝู่หลินกับเหยียนฉีซานพูดไม่หยุด

“ข้าตายไปนานจนลืมไปแล้วว่าความอบอุ่นของร่างกายเป็นอย่างไร ช่างสบายจริงๆ”

“ชายผู้นี้รูปร่างดี เพียงแต่ตัวมีกลิ่นเหม็นนิดหน่อย”

เหวินฝู่หลินกับเหยียนฉีซานหันกลับมามอง เห็นว่าเขาคลำบนร่างกายไม่หยุด ซ้ำยังเอามือจับที่เป้า ทันใดนั้นทั้งสองก็สีหน้ามืดครึ้ม

“รูปร่างไม่เลวเลย แต่นกตัวนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจสักเท่าใด ไม่ใหญ่เท่าตอนที่ข้ามีชีวิตอยู่”

เหวินฝู่หลินกับเหยียนฉีซาน “!”

นี่คือสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยินหรือ

แต่ความจริงคือพวกเขาฟังมาตลอดทาง เรื่องจิปาถะต่างๆ นานา จนกระทั่งไปปรากฏตัวอยู่ที่หน้าจวนจัง ในที่สุดทั้งสองก็รู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อยแล้ว

เหวินฝู่หลินอยู่ในอาการมึนงงเล็กน้อย มองดูจวนจังที่อยู่ตรงหน้า ปกติที่ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก็มาไม่ถึงแต่ตอนนี้กลับมาถึงแล้ว

เร็วมาก

แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน

เขามองไปยังจังหัว ถอนหายใจ บุตรเขยผู้นี้จบเห่แล้ว

คืนนี้ตระกูลจังถูกกำหนดให้เป็นคืนที่ไม่สงบสุขแน่แล้ว

นับตั้งแต่ที่จังหัวแต่งเข้ามาในตระกูลเหวินแล้วได้ปรากฏตัวในตอนกลางคืนในสภาพที่ไม่เป็นผู้เป็นคน เมื่อเรือนหลักสว่างไสว ได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดและคำด่าสาปแช่งของฮูหยินจัง ทำให้คนตระกูลจังกลัวจนหัวหด ปิดประตูหน้าต่างสนิท ไม่กล้าแอบฟังไปเรื่อย

และในช่วงครึ่งคืนหลัง มีรถม้าหลายคันออกมาจากประตูมุมของจวนตระกูลจัง มุ่งหน้าออกนอกเมืองไปยังหลุมศพบรรพบุรุษในเขตชานเมือง

จังหัวอุ้มป้ายวิญญาณของจังเจ๋อแล้วเริ่มคลานเข่าสามครั้งคำนับเก้าครั้งที่เชิงเขาด้วยใบหน้าที่มีร่องรอยของการถูกตบตี จังหัวมุ่งหน้าไปยังหลุมศพของเขา

“ท่านเจ้าอาวาสน้อย หากเขาทำเช่นนี้ บุตรชายของข้าจะสลายความขุ่นเคืองแล้วไปเกิดใหม่จริงหรือ” ฮูหยินจังจ้องไปที่จังหัวด้วยความเกลียดชัง แทบอยากจะฟันเขาทั้งเป็น

“ในเมื่อเขาต้องการเช่นนี้ แน่นอนว่ายอมได้” ฉินหลิวซีหาว

ฮูหยินจังร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง บุตรชายที่น่าสงสารของนาง นางรู้อยู่แล้วว่าเจ๋อเอ๋อร์ของนางตายอย่างอยุติธรรม เพียงแต่ไม่มีหลักฐาน แต่กลับไม่คิดว่าเขาจะตายเช่นนั้นจริงๆ ซ้ำยังไม่ไปเกิดใหม่

จังหัวมาถึงหน้าหลุมศพของจังเจ๋อ เนื่องจากร่างกายมีกำลังไม่พอจึงเป็นลมไป

ฮูหยินจังไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ ให้บ่าวรับใช้จิ้มเหนือกลางริมฝีปากเขาจนเลือดออกเพื่อปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา

จังหัวมองไปยังฉินหลิวซี “ข้าทำได้แล้ว”

ฉินหลิวซีก็ไม่ได้เสียเวลาพูดคุยกับเขา หยิบเข็มเงินออกมา คว้านแผลหน้าผีบนหลังของเขา ปากท่องบทสวดไท่ซ่างส่งวิญญาณ

ความคับข้องใจของจังเจ๋อค่อยๆ มลายหายไป เมื่อท่องบทสวดจบลง เขาก็กระโดดออกมาจากหลังของจังหัว โดยยังคงมีท่าทางของความเป็นคุณชายน้อยผู้สูงศักดิ์ที่สวมเสื้อผ้าหรูหราในตอนที่ยังเป็นเด็ก มาคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินจังและใต้เท้าจัง “ลูกเอาแต่ใจชอบเล่นสนุก ลูกอกตัญญูแล้ว”

หัวใจของฮูหยินจังดั่งถูกมีดกรีด ร้องไห้อย่างขมขื่น

ใต้เท้าจังก็ขอบตาแดง มองไปยังจังหัวด้วยสายตาเกรี้ยวกราด

จังหัวก้มหน้าลง กำโคลนบนพื้น เขารู้สึกได้ว่าแผลหนองที่หลังไม่เจ็บแสบเหมือนเมื่อก่อน แต่เหตุใดใจจึงไม่รู้สึกอย่างที่ควรจะเป็น

ฉินหลิวซีมองดูแสงรำไรที่ปรากฏบนขอบฟ้า จึงเอ่ย “ฟ้าใกล้สางแล้ว ควรไปได้แล้ว เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นดวงวิญญาณของเจ้าจะอ่อนแอลง”

เว่ยเสียได้ปรากฏตัวขึ้น เมื่อเห็นนางก็บ่นพึมพำ “หนีออกไปทั้งวัน พอเรียกหาข้าก็จะให้ทำงานเลย”

“หุบปาก ส่งเขาให้จากไปด้วยดี”

เว่ยเสียเงียบลงทันที เอนกายพิงต้นไม้อย่างเกียจคร้าน

“ลูกจะไปแล้ว” จังเจ๋อโขกศีรษะคำนับฮูหยินจังและคนอื่นๆ สามครั้ง “ชาติหน้าค่อยตอบแทนบุญคุณของพวกท่าน”

ฮูหยินจังร้องไห้จนใจจะขาด เมื่อเห็นจังเจ๋อเดินไปอยู่ข้างกายเว่ยเสียแล้วหายตัวไป ก็เป็นลมหมดสติไป

ฉินหลิวซีท่องบทสวดการเกิดใหม่ ท่ามกลางความว่างเปล่า มีแสงสีทองแห่งบุญกุศลตกลงบนแท่นวิญญาณนาง

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

ฟ้าสางแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท