ฟ้าดินเงียบสงัดหาใดเทียบ!
รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์หกคนที่สู้ดุเดือดกับหลินสวินก่อนหน้านี้ต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถอนตัวกลับไป
สายตาพวกเขามองดูเงาร่างสูงโปร่งผอมแห้งที่ปรากฏตัวกลางอากาศนั้น สีหน้าต่างเจือแววสะท้านถึงขั้นยำเกรง
คนผู้นั้นเป็นรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์เช่นกัน แต่กลับแข็งแกร่งกว่าพวกเขาไม่รู้เท่าไร!
กลิ่นอายแรกกำเนิดอบอวลกลางฟ้าดิน ทำให้ห้วงอากาศอันปั่นป่วนนั้นคืนสู่ความสงบถึงขีดสุดประหนึ่งศิโรราบ
“อัญเชิญรูปจำลองบรรพจารย์!”
“อัญเชิญรูปจำลองบรรพจารย์!”
…เสียงสะท้อนอยู่กลางฟ้าดิน เพิ่มแรงสั่นสะท้านตรงสู่ใจคน
เหล่าเฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างถูมู่หุนมีชีวิตมาไม่รู้กี่วันเวลา คองอำนาจคับฟ้าในลัทธิพ่อมด ได้รับความเคารพจากสรรพชีวิตมากมาย
แต่บัดนี้กลับพากันทำความเคารพเช่นศิษย์ สีหน้าเคารพยำเกรง!
ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนี้เกรงว่าต้องตกใจกันหมด
“บรรพจารย์ลัทธิพ่อมด… เทียนอู!”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ในใจปั่นป่วนไม่หยุด
เขาเคยได้ยินเหยียนจี้บอกว่าบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งลัทธิพ่อมดมีนามว่า ‘เทียนอู’ เดินยุคในการสับเปลี่ยนยุคสมัย ข้ามผ่าน ‘เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ’ ได้สำเร็จหลายครั้ง!
อย่างจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ที่เป็นร่างต้นของซย่าจื้อ ตอนนั้นเพราะพบเจอความยากลำบากจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ จึงต้องหลบอยู่ในแดนผนึกเรืองแสง
ไม่ต้องสงสัย เทียนอูเป็นคนที่น่ากลัวกว่าจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์เสียอีก!
ก็ในตอนนี้เอง ต่อให้ที่ปรากฏเป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่งของเทียนอู แต่หลินสวินกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายยิ่งยวด อานุภาพเช่นนั้น รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์ที่อยู่ที่นี่เหล่านั้นเทียบไม่ติด
ถ้าเทียบกันจริงๆ ก็ห่างชั้นราวฟ้ากับเหวโดยสิ้นเชิง!
ตอนนี้ถูมู่หุนกำลังสื่อจิตพูดอะไรบางอย่างกับรูปจำลองเจตจำนงของเทียนอู
สวบ!
เงาร่างเสวียนเฟยหลิงปรากฏตรงหน้าหลินสวิน เอ่ยว่า “ต้องเคลื่อนไหวจริงจังแล้ว เรื่องต่อจากนี้ก็ให้ข้าจัดการเถอะ”
เขาสีหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่ได้เผยแววกระวนกระวาย
“นี่คงเป็นไพ่ตายที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาแล้ว…”
หลินสวินแววตาฉายวาบ
เขาคาดเดาได้นานแล้วว่าในเมื่อคราวนี้ลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานบุกมา จะต้องเตรียมกำลังพลที่สามารถคุกคามรากฐานลัทธิแรกกำเนิดได้แน่
และก่อนหน้านี้รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์เหล่านั้นยังไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้
ตอนนี้เมื่อเห็นรูปจำลองเจตจำนงของเทียนอู บรรพจารย์ลัทธิพ่อมดปรากฏตัว หลินสวินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่จึงจะเป็นไพ่ตายที่ใหญ่ที่สุดของหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด
ลัทธิพ่อมดยังเคลื่อนกำลังพลเช่นนี้ออกมา ลัทธิฌาน… จะไม่ได้เตรียมตัวได้อย่างไร
ตามคาด!
หลินสวินเพิ่งคิดได้ถึงตรงนี้ จู่ๆ เสียงสวดท่องธรรมอันน่าเกรงขามก็อุบัติขึ้นกลางฟ้าดิน
ถัดมาบุปผาสวรรค์ร่วงโรย ปทุมทองผุดดิน หงส์เหินเวียนวน คชสารขาวร้องคำราม แสงธรรมเกรียงไกรแน่นขนัดดุจสายฝนจากฟากฟ้า ส่องสว่างโลกหล้า
ครืน…
เงาร่างสูงตระหง่านที่น่าเกรงขามร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่นั่น
เขาศีรษะโล้นเกลี้ยง รูปลักษณ์คล้ายเด็กหนุ่ม เท้าเปลือยเปล่าเหยียบเมฆมงคลก้อนหนึ่ง ใบหน้ากระจ่างหล่อเหลามีแสงปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ยากจับต้องอบอวลออกมา ด้านหลังสะท้อนวงแสงแดนธรรม เผยภาพ ‘แดนสุขาวดี’
เมื่อเขาปรากฏตัว เฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างพวกจี้คงพากันพนมมือก้มกราบ ประกาศฉายาธรรม
“รูปจำลองเจตจำนงของ ‘ซื่อ’ บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งลัทธิฌาน!”
สีหน้าเสวียนเฟยหลิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดยิ่ง ขมวดคิ้วแน่น
ซื่อ!
ยอดยักษ์ใหญ่ที่เดินผ่านมาหลายยุคสมัยตั้งแต่ในอดีต ก้มมองผ่านการเปลี่ยนแปลงของโลกเช่นกัน เป็นบุคคลในตำนานที่ก่อตั้งลัทธิฌานเองกับมือ!
เมื่อเขาปรากฏตัว อานุภาพอันน่าครั่นคร้ามเช่นนั้นก็เบียดแน่นไปทั่วพื้นที่ ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าลัทธิฌานเหล่านั้นเผยสีหน้านับถือ
ในใจหลินสวินรู้สึกกดดัน สีหน้าเคร่งเครียด จับมือข้างหนึ่งของซย่าจื้อไว้แล้วสื่อจิตว่า ‘ถ้าอีกเดี๋ยวการต่อสู้ปะทุขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ!’
ซย่าจื้อร้องอืมคำหนึ่ง
และบัดนี้เสวียนเฟยหลิงเรียกกระบี่บินเล่มหนึ่งออกมาอย่างไม่ลังเลสักนิด
กระบี่บินหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นหยุดลงอย่างรวดเร็ว คมกระบี่มีวังวนพลังอันพร่าเลือนพวยพุ่งและกระจายออกมาเป็นวงๆ
จากนั้นเงาร่างอวบอ้วนร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากในปราณกระบี่
เขาผมหนวดขาวโพลน หน้าตาใจดี แต่งกายชุดขาวทั้งตัว แต่ร่างกายกลับอ้วนพี ปลายจมูกแดงก่ำ ที่เอวยังห้อยน้ำเต้าสีม่วงทองขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย
เมื่อเขาปรากฏตัว กระบี่บินนั้นก็ค่อยๆ หม่นแสงลงก่อนจะสลายหายไป
“บรรพจารย์ สถานการณ์วันนี้มีแต่ต้องให้ท่านออกโรงแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงถอนใจเบาๆ สีหน้าออกจะละอายใจ
หลินสวินอึ้งไปแล้ว เฒ่าอ้วนที่ทั้งผมและหนวดเคราสีขาวคนนี้ ถึงกับเป็น ‘หยวนชู’ บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งลัทธิแรกกำเนิดหรือนี่!
ไม่เพียงแต่เขา พวกถูมู่หุนกับจี้คงที่อยู่ไกลๆ ยังอึ้งไป คล้ายคิดไม่ถึงว่าบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้
กลับพบว่าบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดตบน้ำเต้าม่วงทองที่เอว เอ่ยเสียงดังว่า “ละอายใจอะไร บีบให้เจ้าสวะเฒ่าเทียนอูกับลาเฒ่าหัวโล้นซื่อสำแดงรูปจำลองเจตจำนงออกมาได้ก็ร้ายกาจมากแล้วไม่ใช่หรือ”
เสียงดังยิ่งนัก ดุจดั่งสายฟ้าฟาดกลางที่ราบ ดังสนั่นจนหูอื้อ
“หยวนชู ถ้าแค่เจ้าคนเดียวต้านเคราะห์ในวันนี้ไม่ไหวหรอก”
ไกลออกไปเทียนอูที่เงาร่างผอมแห้งสูงโปร่ง ทั้งตัวอบอวลด้วยไอแรกกำเนิดสองมือไพล่หลัง เสียงเรียบเฉยเหี้ยมเกรียมดุจกระบี่เทพเล่มหนึ่งกำลังส่งเสียงชิ้งๆ
“แค่หนึ่งต่อสองเอง”
หยวนชูเอ่ยอย่างไม่สนใจสักนิด “สมัยก่อนพวกเราไม่ใช่ไม่เคยตีกันเสียหน่อย”
“แต่วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน”
ซื่อ บรรพจารย์ลัทธิฌานสีหน้าโอบอ้อม “โหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์ ไท่เสวียนขังตัวเองอยู่ในเขตผนึกแจ้งเร้น ระเบียบระดับเทพของลัทธิแรกกำเนิดถูกมหาเคราะห์กดข่ม ต่อให้เจ้าต้านการร่วมมือกันของพวกเราสองคนได้ แต่ทันทีที่ระลอกคลื่นการต่อสู้พุ่งเข้าลัทธิแรกกำเนิดจะต้องบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน และการแจ้งมรรคของโหยวเป่ยไห่ก็ต้องได้รับผลกระทบ”
ขณะพูดเขามองไปยังหลินสวิน “เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดของเจ้า แต่เป็นศิษย์ของเฒ่าโพธิ ทำลายรากฐานของลัทธิแรกกำเนิดเพื่อเขามันคุ้มกันหรือ”
เวลานี้คนอื่นๆ ในที่นั้นไม่มีสิทธิ์สอดปากสักนิด
บุคคลระดับบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสามคนเผชิญหน้ากัน ต่อให้อยู่ในน่านฟ้าที่เก้าก็มีไม่กี่คนที่สามารถสอดปากได้!
หยวนชูลูบเคราขาวโพลน เอ่ยทอดถอนใจว่า “กี่ปีแล้ว ลาหัวโล้นอย่างเจ้ายังวางท่าเช่นนี้ ปลอมชะมัด ถ้าจะขู่ก็พูดตรงๆ ไยต้องเสแสร้งด้วย”
ซื่อนิ่วหน้า เอ่ยว่า “ตอนนี้ลัทธิแรกกำเนิดมีไท่เสวียนคนเดียวที่เป็นระดับนิรันดร์ ถ้าเขาลงมือต้องมีคนไปจัดการเขาแน่ หากเขาถูกกฎระเบียบฟ้าดินสะท้อนกลับ เกรงว่าจะผ่านเคราะห์แห่งยุคสมัยที่กำลังจะมาเยือนในพันปีไม่ได้ เพื่อผู้สืบทอดของเฒ่าโพธิ คุ้มหรือ”
เขาพูดประโยคนี้ซ้ำอีกครั้ง
ความนัยในคำพูดก็คือ ลัทธิแรกกำเนิดของเจ้าคือลัทธิแรกกำเนิด ไม่ใช่คีรีดวงกมล ทำลายรากฐานของสำนักตนเพื่อปกป้องผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนหนึ่ง เป็นเรื่องโง่เขลาขนาดไหน
ไม่ไกลนักเทียนอูหัวเราะหยัน เสียงดังสายฟ้าสะเทือนเก้าชั้นฟ้า “พูดมากจริง ลงมือพร้อมกันเป็นพอ ดูว่าเขาหยวนชูจะต้านได้ไหม!”
เขาอานุภาพถาโถม ทำให้ฟ้าดินแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายยะเยือก
หยวนชูหัวเราะชอบใจ “ว่ากันถึงที่สุดแล้วข้ายังชื่นชมสวะเฒ่าเทียนอูมากกว่าหน่อย ตรงไปตรงมาไม่พูดจาเรื่อยเปื่อย!”
ซื่อถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องในวันนี้อย่างไรคงไม่อาจพูดคุยกันด้วยดีแล้ว”
ตูม!
รูปจำลองของเขาน่าเกรงขาม แสงธรรมอึงอลกลางฟ้าดิน ภายใต้อานุภาพกดข่มน่ากลัวที่แผ่ขยาย ไม่ว่าจะเป็นพวกถูมู่หุนกับจี้คง หรือพวกหลินสวินกับเสวียนเฟยหลิงต่างก็ตัวแข็งทื่อ สัมผัสถึงแรงกดดันอย่างไม่เคยมีมาก่อน รู้สึกเหมือนใกล้จะหายใจไม่ออก
หยวนชูตบมือเบาๆ พลันหยัดตัวตรง อานุภาพเกรียงไกรไพศาลหาใดเทียบแผ่กระจายออกมา ผมขาวโพลนของเขาปลิวไสว แขนเสื้อใหญ่พัดกระพือ เอ่ยว่า “มาๆๆ สู้ให้สมใจก็พอ!”
“กลัวเจ้าหรือไง”
เทียนอูหัวเราะเหี้ยม กำลังจะลงมือ
“ช้าก่อน คึกคักขนาดนี้จะขาดข้าไปได้อย่างไร”
ทันใดนั้นเสียงคำรามยาวเสียงหนึ่งดังขึ้นไกลๆ
ตอนที่เสียงดังขึ้นยังอยู่ตรงขอบฟ้าไกล แต่พอเสียงเงียบลง เงาร่างผอมแห้งร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เข้ามาที่นี่อย่างแข็งกร้าว
คนผู้นี้แต่งชุดนักพรตสกปรก เส้นผมสีดอกเลามีปิ่นไม้ปักเฉียงๆ เกล้าเป็นมวยนักพรตยุ่งๆ เท้าสวมรองเท้าฟาง ใบหน้าซูบตอบยกยิ้มน้อยๆ
ทันทีที่ปรากฏตัว เงาร่างผอมแห้งของเขาก็มีแสงพิสุทธิ์มหามรรคพวยพุ่งทะลวงฟ้าดิน ทั้งยังเบียดอานุภาพของบรรพจารย์อีกสามคนออกไปได้
“บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งลัทธิวิญญาณซวีอิ่น!”
เสวียนเฟยหลิงตะลึง ตื่นเต้นอยู่บ้าง คล้ายคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ลัทธิวิญญาณจะใช้รูปจำลองเจตจำนงของบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งมาเป็นทัพเสริมได้โดยไม่เสียดาย
ซวีอิ่น!
หลินสวินยังหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ คนผู้นี้ก็เป็นยักษ์ใหญ่ที่ก้าวเดินมาหลายยุคสมัยตั้งแต่อดีตเช่นกัน รากฐานพลังน่าครั่นคร้ามไม่อาจคาดเดาได้
“โอ๋ ทำไมจมูกโค[1]อย่างเจ้าถึงมาได้ล่ะ”
หยวนชูยิ้มเอ่ยถาม
“ถ้าข้าไม่มา เกรงว่ารูปจำลองของเจ้านี้จะต้องถูกอัดตายแน่” ซวีอิ่นหัวเราะหยัน แต่สีหน้ากลับแย้มยิ้มเช่นเดิม
“ตอนนี้ก็กลายเป็นสองต่อสองแล้ว ทั้งสองท่านยังมีโอกาสชนะแค่ไหน”
หยวนชูยิ้มมองเทียนอูกับซื่อที่อยู่ไกลๆ
กลับพบว่าเทียนอูสีหน้าดุดัน วาจาน่ากลัวเหมือนคมกระบี่ “สิบส่วน!”
“สิบส่วนหรือ”
หยวนชูมองไปที่ซื่อบรรพจารย์ลัทธิฌาน
“อย่างไรก็เป็นแค่รูปจำลอง ต่อให้ตายที่นี่แล้วอย่างไร”
ซื่อพนมมือทั้งสองข้าง ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง
“เช่นนั้นก็สู้!”
ซวีอิ่นม้วนแขนเสื้อขึ้น นิ้วหนึ่งชี้ซื่อที่อยู่ไกลๆ “ข้าจะไปสู้กับลาโล้นเฒ่านี่เอง เจ้าเฒ่าเทียนอูยกให้เจ้า”
ขณะพูดเขาก็ซัดหมัดผ่านอากาศออกไปทันที
ตูม!
หมัดนี้ประหนึ่งธารนิรันดร์ สลัดพันธนาการมิติ อยู่เหนือกรงขังฟ้าดิน แข็งแกร่งจนพาให้คนสิ้นหวัง
ไม่ว่าใครได้เห็นต่างรู้สึกเล็กจ้อยเหมือนมด
หลินสวินยังสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่
รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์เหมือนกัน แต่เห็นชัดว่าพลังของคนระดับบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งอย่างซวีอิ่นถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ แข็งแกร่งจนทำให้หลินสวินหมดความคิดจะไปต้านทาน!
ซื่อเอ่ยฉายาธรรมออกมา สีหน้าเคร่งขรึมสงบนิ่ง
ตูม!
จีวรของเขาโบกกระพือ แสงธรรมระลอกหนึ่งควบรวม แปลงเป็นเม็ดทรายเล็กจ้อยหาใดเทียบเม็ดหนึ่ง แต่กลับสลายพลังหมัดนี้ของซวีอิ่นอย่างเงียบเชียบ
“หนึ่งเม็ดทรายหนึ่งโลก สรรพชีวิตเห็นว่าเล็กจ้อย แต่ไม่รู้ถึงความใหญ่โตของมัน วิชานี้ของลาโล้นเฒ่ายอดเยี่ยมจริงๆ”
ซวีอิ่นทอดถอนใจออกมา
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อเขาวาดนิ้วฟ้าดินก็แยกออกเหมือนผืนภาพ แสงพิสุทธิ์สายหนึ่งถือกำเนิดกลางไอขุ่นมัว แปลงเป็นเจตกระบี่พร่าเลือนอย่างรวดเร็ว เหนี่ยวนำอานุภาพนิรันดร์ยิ่งใหญ่ออกมา
ชั่วพริบตานี้ยอดอานุภาพดุจนิรันดร์ปกคลุมฟ้าดินแห่งนี้ ทำให้ห้วงอากาศ กาลเวลา มิติ แสงเงา… ต่างปรากฏเค้าลางบิดเบี้ยวพังทลาย
และผู้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลออกไป ไม่ว่าจะเป็นพวกหลินสวินกับเสวียนเฟยหลิงหรือพวกถูมู่หุนกับจี้คง ล้วนรู้สึกเหมือนห่างไกลหาใดเทียบ
ราวกับว่าบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสี่คนนั้น ต่อให้อยู่ตรงหน้า แต่พวกเขายืนตระหง่านอยู่ในวัฏจักรอันห่างไกลไร้สิ้นสุดมานานแล้ว ให้ความรู้สึกสูงส่งมิอาจเอื้อมถึงได้
นี่ช่างน่ากลัวนัก!
——
[1] จมูกโค เป็นคำเรียกล้อนักพรต เนื่องจากมวยผมของนักพรตมักจะมีลักษณะคล้ายกับจมูกของวัว