ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 397 หางสุนัขจิ้งจอก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 397 หางสุนัขจิ้งจอก

เด็กหนุ่มที่ผ่าฟืนทั้งวันตัวสูงและแข็งแรงขึ้นมาก ดูแล้วมีพลังเต็มเปี่ยม

ดวงตาสีดำสุกสว่างเปล่งประกายความคาดหวังที่มิอาจซ่อนไว้ได้

งานรื่นเริงอย่างขบวนแห่จอหงวนที่สามปีมีหน ใครจะไม่อยากดูเล่า

สามปีก่อนพี่ใหญ่เป็นคนพาเขาไปดู เพียงแต่ว่าได้ยินพี่ใหญ่บ่นสองสามคำ เขาก็แอบมุดหนีเข้าไปในฝูงชนแล้ว

พี่ใหญ่ชี้บัณฑิตจอหงวนสูงสง่าที่นั่งอยู่บนม้าบอกให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือ เขาจะไม่รำคาญได้อย่างไร

รำคาญก็ส่วนของรำคาญ งานครึกครื้นแบบนี้ก็ยังต้องดู เขาไม่อยากผ่าฟืนในเรือนตอนที่ทุกคนออกไปร่วมสนุกหรอกนะ

ลั่วเซิงรู้สึกถึงสายตาคาดหวังของเด็กหนุ่มก็อดใจอ่อนไม่ได้

แม้ว่าหลานชายตัวน้อยยังต้องสั่งสอนอีกมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวันเดียว การให้ลูกกวาดกินบ้างเป็นครั้งคราวก็เป็นเรื่องที่จำเป็น

นางเองก็ไม่ใช่น้าที่เย็นชาและไร้หัวใจ

“ไปเถอะ” ลั่วเซิงพยักหน้า

สวี่ซีดีใจปนประหลาดใจ

ปีศาจสาวอนุญาตจริงๆ ด้วย!

ต้องลองบ้างถึงจะดี หากสำเร็จก็ได้กำไร

หากไม่สำเร็จ… ไม่สำเร็จก็ไม่สำเร็จ ก็แค่กลับไปผ่าฟืนต่อ ไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย

“ไปกับพวกลั่วเฉินและเสี่ยวชีนะ” ลั่วเซิงพูดเสริม

สวี่ซีอดมองลั่วเฉินและเสี่ยวชีไม่ได้ คิดในใจว่าไปกับเด็กซนสองคนไม่น่าสนุกเลย

ลั่วเฉินขมวดคิ้วสบตาเขาด้วยสายตารังเกียจ

ให้ไปกับเจ้าโง่ที่เกือบจะถูกขายไปยังหอคณิกาชายหรือ

มีเพียงเสี่ยวชีที่ไม่ได้คิดอะไร เขายิ้มให้สวี่ซีอย่างเป็นมิตร

“ไปขอรับ!” เสี่ยวชีและสวี่ซีพูดขึ้นพร้อมกัน

ลั่วเฉินเม้มปากอย่างสงวนท่าที

เดิมทีเขาไม่อยากไปอยู่แล้ว แค่ไปเป็นเพื่อนเสี่ยวชีเท่านั้น

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

สวี่ซีรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่แปรปรวนของปีศาจสาว เขาไม่กล้าจู้จี้อีกและรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ม่านประตูที่ผ่านไปยังลานบ้านเปลี่ยนเป็นม่านผ้าสีเขียวนานแล้ว อากาศเริ่มอุ่น เวลากลางวันจะถูกเปิดไว้

เสี่ยวชีเห็นฟู่เสวี่ยที่ยืนอยู่กลางลานผ่านทางประตู ดวงตาของเขาซ่อนความปรารถนาไว้

เสี่ยวชีเป็นคนมีน้ำใจจึงอดพูดไม่ได้ว่า “เถ้าแก่ หรือไม่…ให้เราพาฟู่เสวี่ยไปด้วยกันเถอะ”

ลั่วเซิงหันไปมอง

ฟู่เสวี่ยหน้าแดงในทันใด พูดตะกุกตะกักว่า “คะ คุณหนู ข้าไปได้หรือไม่”

เขาเป็นคนของคุณหนู ออกไปคนเดียวโดยพลการเหมือนกับว่าจะไม่ค่อยดี…แต่ว่าเขาอยากไปดูด้วยจัง

ลั่วเซิงเงียบลงครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ไปพร้อมพวกเสี่ยวชีเถอะ”

ฟู่เสวี่ย ลั่วเฉิน และเสี่ยวชีมีอายุใกล้เคียงกัน อยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็นพอดี

ฟู่เสวี่ยตาเป็นประกายทันที “ขอบคุณคุณหนูขอรับ!”

เด็กหนุ่มพาต้าไป๋เดินไปทางห้องโถง

ลั่วเซิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบว่า “ต้าไป๋น่ะไม่ต้องพาไปดีกว่า”

สวี่ซียังแค้นต้าไป๋ในใจไม่หาย เขารีบเสริมว่า “ใช่แล้ว หากพาออกไปแล้วไปกัดคน จะเป็นปัญหาเอาได้”

ฟู่เสวี่ยตบต้าไป๋เบาๆ เป็นการขอโทษ “ต้าไป๋ เช่นนั้นเจ้าเป็นเด็กดีนะ อย่าทำให้คุณหนูโมโห ข้าจะรีบกลับมา”

ต้าไป๋ “แกวก?”

จนเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสี่ออกไปพร้อมกัน ห่านตัวใหญ่สีขาวจึงเข้าใจว่า มันถูกทิ้งแล้ว

ต้าไป๋หันคอที่แข็งทื่อมองไปที่ลั่วเซิง

“กลับไปที่ลาน” ปีศาจสาวเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

อันที่จริงต้าไป๋ฟังไม่รู้เรื่อง ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงห่านตัวหนึ่ง แม้จะเป็นห่านที่มีชีวิตอยู่มาสิบกว่าปีแล้วก็ใช่ว่าจะกลายเป็นภูตมีสติปัญญาได้

แต่มันก็มีประสบการณ์

ทุกครั้งที่มาห้องโถงมันจะย่ำแย่มาก วิ่งกลับไปรังที่คุ้นเคยจะปลอดภัย ห่านที่โง่เพียงใดก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร

ภายใต้การจ้องมองของปีศาจสาว ต้าไป๋รีบวิ่งกลับไปในลาน เหลือเพียงขนห่านที่ลอยและร่วงลงข้างเท้าลั่วเซิง

ลั่วเซิงหยิบขนห่านขึ้นมาเล่น

หงโต้วและโค่วเอ๋อร์ออกไปพร้อมกัน ไม่นานก็พลัดจากกันเพราะฝูงชนที่พลุกพล่าน

“โค่วเอ๋อร์ เจ้าต้องตามข้าดีๆ ไม่เช่นนั้นถูกคนร้ายลักพาตัวไปจะแย่เอานะ” หงโต้วผลักคนที่ขวางพวกนางทั้งสองไว้แล้วตะโกนขึ้น

พาโค่วเอ๋อร์คนบอบบางแบบนี้ออกมามีแต่ปัญหา

ทั้งสองถูกขวางเอาไว้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง

โค่วเอ๋อร์ใบหน้าสงบนิ่ง

นางไม่กลัวหรอก นางไม่ใช่โค่วเอ๋อร์ในอดีตอีกแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าในฝูงชนมีลูกน้องของนางแฝงตัวอยู่เท่าไร ไม่แน่ว่าหงโต้วอาจจะเจอปัญหาแล้วต้องขอความช่วยเหลือจากนางก็ได้

โค่วเอ๋อร์กำลังได้ใจ จู่ๆ ก็ถูกคนดึงแขนเสื้อ

หรือว่ามีพ่อค้ามนุษย์เห็นความงามดั่งดอกไม้ของนาง?

ปฏิกิริยาแรกของโค่วเอ๋อร์ยังคงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังไม่ชินกับตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองเลย

“ใคร” นางหันไปเห็นเด็กขอทานคนหนึ่ง

โค่วเอ๋อร์ผ่อนคลายลง ถามเสียงเบาว่า “มีธุระหรือ”

เด็กคนนั้นประชิดเข้ามาใกล้ตัวโค่วเอ๋อร์แล้วกระซิบ

โค่วเอ๋อร์สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางพยักหน้าให้เด็กขอทาน จากนั้นก็ตะโกนบอกหงโต้วผ่านฝูงชนว่า “หงโต้ว ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอกลับหอสุราก่อนนะ”

“นี่…” หงโต้วอยากจะเรียกโค่วเอ๋อร์เอาไว้ แต่กลับไม่เห็นเงาของโค่วเอ๋อร์แล้ว

“เจ้ากีบน้อยจอมปัญหานี่” หงโต้วบ่น แต่ก็ไม่ได้กังวลมากนัก

นางสายตาดี เห็นเด็กขอทานคนนั้นแล้ว

ก็ใช่ ตอนนี้โค่วเอ๋อร์เป็นหัวหน้าพรรคยาจกแล้ว หากเจออะไรยังมีเหล่าขอทานช่วยเหลือ

หงโต้ววางใจลง ไปดูขบวนแห่อย่างมีความสุข

โค่วเอ๋อร์วิ่งกลับไปที่หอสุรา “คุณหนู…”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ลั่วเซิงที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างต้นพลับวางหนังสือลงและมองไป

โค่วเอ๋อร์รีบเดินไปข้างกายลั่วเซิง กระซิบข้างหูนางว่า “คุณหนู จูอู่มีความเคลื่อนไหวแล้ว เมื่อครู่นี้มีเด็กขอทานเห็นว่ามีคนๆ หนึ่งเดินเข้าไปที่พักอาศัยของจูอู่…”

ลั่วเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย

รอมานานเช่นนี้ ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว

จำเป็นต้องพูดว่าจูอู่มีความอดทนจริงๆ มาหอสุราสองสามเดือนแล้วเพิ่งเผยพิรุธ

เลือกที่จะติดต่อกับคนภายนอกในวันขบวนแห่จอหงวนเป็นวิธีที่ฉลาด วันนี้บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน ง่ายต่อการปกปิดร่องรอย

“มีแค่คนเดียวหรือ” ลั่วเซิงยืนยันอีกครั้ง

โค่วเอ๋อร์พยักหน้า “เจ้าค่ะ เป็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง”

“ให้คนของเจ้าจับตามองที่พักอาศัยของจูอู่ให้ดี”

ลั่วเซิงสั่งโค่วเอ๋อร์เสร็จก็รีบเรียกสือเยี่ยนมา “ให้พี่รองของเจ้าแฝงตัวเข้าไปซ่อนในที่พักอาศัยของจูอู่ อย่าให้พวกเขารู้ตัวเด็ดขาด…”

เว่ยหานออกเดินทางพาสือหั่วและสืออี้ไปด้วย เหลือสือเหยียนคนรองที่มีฝีมือการต่อสู้ดีที่สุดในบรรดาสี่พี่น้องไว้ช่วยเหลือหอสุรา ที่จริงแล้วเขาเหลือลูกมือไว้ให้ลั่วเซิง

ลั่วเซิงขาดแคลนยอดฝีมือที่เชื่อถือได้จริงๆ

ถึงแม้โค่วเอ๋อร์จะจัดการข้อมูลได้ดีขึ้นทุกวัน แต่ในบรรดาขอทานเหล่านั้น เป็นเรื่องยากที่จะเลือกคนมีฝีมือดี บทบาทของพวกเขาส่วนใหญ่แค่คอยเป็นหูเป็นตา ไม่มีหน้าที่ใช้กำลัง

ทางฝั่งองครักษ์จิ่นหลินมีผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น แต่ลั่วเซิงไม่กล้าใช้

เรื่องบางเรื่องที่นางต้องทำยังต้องปิดบังแม่ทัพใหญ่ลั่ว แล้วจะใช้คนของแม่ทัพใหญ่ลั่วได้อย่างไร

ให้โค่วเอ๋อร์ใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวพวกชาวยุทธภพจำนวนหนึ่งมายังพอฝืนใช้แทนได้

เมื่อเห็นสือเยี่ยนออกไปแล้ว ลั่วเซิงก็รีบเดินเข้าไปในห้องเก็บสุรา

หลังจากที่นักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในบ่อนทองพันชั่งถูกเก็บไปแล้ว จูอู่ก็มาอาศัยที่มีหอสุรา เดิมจัดแจงที่พักอาศัยไว้ให้เขา แต่ต่อมาจูอู่บอกว่าเช่าบ้านใกล้หอสุราไว้จึงย้ายออกไป

บ้านที่จูอู่เช่านั้นเป็นบ้านหลังเดียวกับที่ลั่วเซิงแอบซื้อและขุดอุโมงค์ไว้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท