ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 439 ไปจวนองค์หญิงอีกครั้ง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 439 ไปจวนองค์หญิงอีกครั้ง

ลั่วเซิงนั่งลง พิจารณามองหลิงเซียว

ดวงหน้างดงามทว่าค่อนข้างเรียบง่าย รูปร่างบอบบางแต่กลับสูงตระหง่าน บวกกับบุคลิกเฉยชา นี่คือเด็กหนุ่มที่ทำให้ผู้คนรู้สึกชื่นตาชื่นใจอย่างไม่ต้องสงสัย

ลั่วเซิงวางมือข้างหนึ่งบนที่เท้าแขนโดยไม่ละสายตาไปจากเด็กหนุ่ม

นี่คือหนึ่งในบรรดาเด็กหนุ่มซึ่งไม่เหมือนซูเย่ามากที่สุดที่องค์หญิงฉางเล่อเรียกเข้ามาในงานเลี้ยงเมื่อวาน และเป็นสาเหตุที่นางเลือกเด็กหนุ่มคนนี้เช่นกัน

ไม่ว่าตอนนั้น การตายของคุณหนูลั่วซูเย่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ อย่างไรเสีย นางเห็นแล้วก็นึกรำคาญอยู่ดี

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น นางก็ยังคงสามารถเห็นเงาร่างของซูเย่าได้จากตัวเด็กหนุ่มตรงหน้า

เช่นนั้นบุรุษที่องค์หญิงฉางเล่อหามาเหล่านั้นล่ะ ไม่แน่ว่าอาจมีคนที่เห็นแล้วทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซูเย่าอยู่ก็ได้

ลั่วเซิงทบทวนความทรงจำถึงเด็กหนุ่มแถวนั้นที่พบในงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศเมื่อวานอย่างละเอียด

ตอนนั้นนางแค่เหลือบมองผ่านๆ ตอนนี้จึงจำได้ไม่มากนัก

คนที่เหมือนกับซูเย่ามากนั้นน่าจะไม่มี แต่ที่คล้ายถึงสามสี่ส่วนน่าจะมีสองคน

ลั่วเซิงคิดเรื่องเหล่านี้ แต่สายตายังคงมองไปที่ใบหน้าของหลิงเซียว

หลิงเซียวยืนสงบนิ่ง แม้ว่ายากจะอำพรางความอึดอัดใจ แต่ด้วยฐานะของเขา สามารถสงบนิ่งได้เช่นนี้ก็นับว่ายากมากแล้ว

ลั่วเซิงยกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หลิงเซียว ชื่อนี้ไม่เลว องค์หญิงพระราชทานให้หรือ”

หลิงเซียวคิดไม่ถึงว่าลั่วเซิงจะถามเรื่องนี้จึงตอบว่า “ท่านล้อเล่นแล้ว บ่าวต่ำต้อยดุจดินโคลน จะได้รับเกียรติให้องค์หญิงพระราชทานชื่อได้อย่างไร นามอันต่ำต้อยนี้ มีหมัวมัวที่ดูแลจวนองค์หญิงตั้งให้ขอรับ”

“เมื่อวาน คนที่เหมือนกับเจ้าพวกนั้นล้วนมีหมัวมัวผู้ดูแลเป็นคนตั้งชื่อให้หรือ” ลั่วเซิงคล้ายจะถามไปอย่างนั้น

อดีตของคุณหนูลั่วกับองค์หญิงฉางเล่อ นางไม่รู้เลยสักนิด หลังองค์หญิงฉางเล่อกลับมาเมืองหลวง นางก็เคยถามหงโต้วอย่างละเอียดจึงรู้ว่าจวนองค์หญิงมีหมัวมัวท่านหนึ่งที่คอยอบรมบุรุษให้องค์หญิงฉางเล่อโดยเฉพาะ

“ใช่ขอรับ” หลิงเซียวตอบอย่างไม่ลังเล

“เช่นนั้นลี่ว์ฉี่กับตู๋โยวล่ะ”

“ได้ยินมาว่านามของพวกเขามีองค์หญิงพระราชทานให้ขอรับ”

ลั่วเซิงวางจอกชา ความคิดหมุนวนไปมา

ลี่ว์ฉี่กับตู๋โยวเป็นคนที่องค์หญิงฉางเล่อพากลับมาจากข้างนอก สามารถเห็นได้ว่าได้รับความโปรดปรานยิ่ง อย่างไรเสีย นางก็ได้ฟังข้อมูลมาจากหงโต้วว่า องค์หญิงฉางเล่อไร้ความปรานีต่อบุรุษเหล่านี้มากเพียงใด เมื่อความแปลกใหม่ผ่านพ้นไปก็ไม่รู้ว่าเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ใดแล้ว

ลั่วเซิงดึงความคิดกลับมา มองหลิงเซียวยิ้มๆ แวบหนึ่ง “พูดแบบนี้ องค์หญิงชื่นชอบพวกเขาสองคนมากสินะ?”

หลิงเซียวถูกแววตานี้จ้องมองจนหัวใจเต้นระรัว

หนึ่งวันก่อนงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ ท่ามกลางพวกเขาเหล่านี้ก็เริ่มมีบรรยากาศแปลกๆ ตลบอบอวล ทุกคนรู้ดีแก่ใจว่า องค์หญิงจะเลือกคนหนึ่งมอบให้กับคุณหนูลั่ว

พวกเขาล้วนอยากกลายเป็นคนที่ถูกเลือกคนนั้น

ตอนพวกเขาเหล่านี้ปรนนิบัติองค์หญิงนั้นผ่อนคลายและเป็นเกียรติ แต่เมื่อองค์หญิงเห็นจนเบื่อ ก็พูดยากแล้ว

องค์หญิงผู้เด็ดเดี่ยว มีนายบำเรอต่อเนื่องไม่ขาดสาย ในทางตรงกันข้าม คนที่องค์หญิงมอบให้คุณหนูลั่วเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ยังคงอาศัยอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่อย่างสะดวกสบาย

อาศัยแค่จุดนี้ก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาซึ่งมีฐานะธรรมดาหวั่นไหว

ใช่แล้ว ในสายตาผู้คน อาจจะรู้สึกว่า พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่มองแล้วชื่นตาชื่นใจ ความจริงในสายพระเนตรองค์หญิงที่เห็นสิ่งเหล่านี้จนชินชานั้นไม่ใช่อะไรทั้งนั้น

แน่นอนว่า ต้องมีคนที่พิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่า ความพิเศษนั้นอยู่ตรงไหน แต่องค์หญิงรู้สึกว่าพิเศษก็เพียงพอแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นลี่ว์ฉี่กับตู๋โยวในอดีต ยกตัวอย่างเช่น…

“ทำไมถึงไม่พูดล่ะ” ลั่วเซิงรู้สึกได้ถึงสีหน้าผิดปกติของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ขมวดคิ้วถาม

หลิงเซียวพลันได้สติคืนมา ภายใต้การจับจ้องด้วยนัยน์ตาดำกระจ่างคู่นั้น คล้ายจะเกิดความกล้าที่ยากจะปิดบังขึ้นมา

อาศัยฐานะของเขา หากถูกคุณหนูลั่วไล่ออกไป เกรงว่าคงตกต่ำจนมีจุดจบในสถานที่สกปรกแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่คุณหนูลั่วถามล้วนเป็นเรื่องไม่สำคัญอะไร เดิมก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอยู่แล้ว

“เมื่อก่อนองค์หญิงชื่นชอบพวกเขาสองคนมากขอรับ”

ลั่วเซิงฟังออกถึงความนัยหลายส่วนจึงหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นตอนนี้มีคนใหม่แล้วหรือ”

หลิงเซียวลังเลเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “ตอนนี้คนที่องค์หญิงโปรดปรานมากที่สุด ก็คือเฟยหยางขอรับ”

“มีสง่าราศี ชื่อนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน“

หลิงเซียวมองลั่วเซิงแวบหนึ่ง พลางอธิบาย “เป็นหยางที่มาจากหยางกวง[1]ขอรับ เป็นชื่อที่องค์หญิงประทานให้”

“เหตุใดเมื่อวานข้าไม่เห็นเล่า” ลั่วเซิงเอ่ยถาม

“องค์หญิงไม่เคยให้เฟยหยางมาพบแขกขอรับ”

“พอแล้ว ออกไปเถอะ”

หลิงเซียวอึ้ง

คุณหนูลั่วเรียกเขามาถามแค่ไม่กี่ประโยคก็สามารถออกไปได้แล้วหรือ

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับ ลั่วเซิงก็มุ่นคิ้ว กวาดตามองเขาแวบหนึ่ง

รู้สึกถึงการเร่งเร้าในแววตาของเด็กสาว หลิงเซียวก็โค้งกาย ประสานมือคารวะ แล้วถอยออกไปเงียบๆ

ลั่วเซิงงอนิ้วเล็กน้อย เคาะโต๊ะแผ่วเบา

ซูเย่า เฟยหยาง

ยามพระอาทิตย์ขึ้น แสงสาดส่องเป็นประกายเจิดจ้า

จะเหมือนกับที่นางเดาไหมนะ

ลั่วเซิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว นางจะไปจวนองค์หญิงเพื่อพบองค์หญิงฉางเล่อสักรอบ

ตอนนี้ซิ่วเย่ว์อยู่ที่หอสุราแล้ว ลั่วเซิงเข้าครัวทำข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนด้วยตัวเองแล้วบรรจุใส่กล่อง นำไปยังจวนองค์หญิง

“อาเซิงมาหรือ” องค์หญิงฉางเล่อกำลังพักผ่อนในห้อง เมื่อได้ยินข้ารับใช้รายงานก็เลิกคิ้วแปลกใจ

นับตั้งแต่กลับมาเมืองหลวง ทุกครั้งล้วนมีนางเป็นฝ่ายไปหาอาเซิงก่อน อาเซิงมาหานางนั้นหาได้ยากนัก

ไม่นานนัก ลั่วเซิงก็ถือกล่องอาหาร เดินเข้ามา

องค์หญิงฉางเล่อโค้งริมฝีปาก “อาเซิง มานั่งสิ”

ลั่วเซิงเดินเข้ามาแล้ววางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ

องค์หญิงฉางเล่อสังเกตเห็นกล่องอาหาร ก็ถามยิ้มๆ “นี่คืออะไร”

“หม่อมฉันเรียนทำข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนกับอาซิ่วจึงนำมาให้พระองค์ลองชิมดูเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อแววตาเปล่งประกาย สีหน้าประหลาดใจอย่างยากจะปิดบัง “อาเซิง เจ้าถึงกับทำขนมเป็นด้วยหรือ”

เมื่อก่อนเห็นได้ชัดว่ากินเป็นอย่างเดียว

“อาเซิง ระยะเวลาสองปีสั้นๆ เจ้าเปลี่ยนไปมาก”

ลั่วเซิงเม้มปากยิ้ม “คนเราต้องเปลี่ยนแปลงกันอยู่แล้วเพคะ”

“ข้าไม่ได้เปลี่ยนไป” องค์หญิงฉางเล่อเชิดคางขึ้นใส่สาวใช้ “เปิดกล่องอาหาร”

สาวใช้เปิดกล่องอาหาร ยกจานออกมาด้วยความระมัดระวัง

ผิวนอกข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนที่จัดเรียงเป็นบุปผาคือ ชั้นข้าวเหนียวที่ทอดจนมีสีเหลืองทอง ด้านในคือสีแดงของถั่วกวน มองดูแล้วทำให้ผู้คนน้ำลายสอ

“ข้าจะลองชิม” องค์หญิงฉางเล่อรับผ้าผืนนุ่มที่สาวใช้ยื่นมาเช็ดมือจนสะอาด แล้วหยิบข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก

เมื่อกัดไปคำหนึ่ง นัยน์ตาขององค์หญิงฉางเล่อก็เปล่งประกาย กินขนมหมดในสองสามคำ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “อาเซิง ไส้ถั่วกวนในขนมนี้กินแล้วพิเศษอยู่บ้าง”

“หม่อมฉันใส่น้ำเชื่อมกุหลาบที่อาซิ่วต้มลงไปเล็กน้อย”

“มิน่าล่ะ”

องค์หญิงฉางเล่อกินอีกชิ้น รู้สึกเพียงว่ากินไม่พอ

สำหรับเด็กหนุ่มที่รูปโฉมงดงามกับขนมที่ทำจากข้าวเหนียว นางนั้นชอบเสมอ

องค์หญิงฉางเล่อมองขนมที่เหลือสองชิ้นในจานกระเบื้องใบขาวแล้วสั่งสาวใช้ “ส่งนี่ไปเรือนเฉินเซียง”

เมื่อเห็นสาวใช้ยกจานเตรียมจากไป ลั่วเซิงก็ถามยิ้มๆ “ใครกันที่ทำให้องค์หญิงคิดถึงได้ขนาดนี้”

องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะแผ่วเบา “คนที่ข้าคิดถึงที่สุด ก็คืออาเซิง”

ลั่วเซิงเงียบ

องค์หญิงฉางเล่อที่เป็นเช่นนี้ คนทั่วไปรับมือไม่ไหว

ทว่าเทียบกับความหน้าด้านแล้ว ความมั่นใจในตัวเอง นางก็ไม่มีทางแพ้

“องค์หญิง นี่เป็นการซ่อนคนงามไว้ในเรือน กลัวว่าหม่อมฉันเห็นแล้วจะจ้องตาเป็นมันหรือเพคะ” ลั่วเซิงยิ้มหวาน พลางเอ่ยถาม

องค์หญิงฉางเล่อไม่เพียงไม่หงุดหงิด ในทางตรงกันข้าม กลับค้นเจอความรู้สึกไร้ข้อผูกมัดอันคุ้นเคยได้จากตัวสหายสนิทจึงเอ่ยกับสาวใช้ว่า “ไม่ต้องส่งไปแล้ว เรียกเฟยหยางมาเจออาเซิง”

ไม่นานนัก เด็กหนุ่มในชุดเขียวก็เดินเข้ามาช้าๆ

ลั่วเซิงทอดสายตามองไป ม่านตาสั่นไหวแผ่วเบา

[1] หยางกวง แปลว่า แสงอาทิตย์

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท